Wednesday, August 21, 2019

Reincarnation

เซลล์ในร่างกายคนคือหน่วยความจำมหาศาล

ผนภูมิข้างบนนี้ ระบุจำนวนเซลล์ในร่างกายคน. การคำนวณได้ผลยืนยันว่า น้ำมีพิกเซลจำนวนมหาศาล. Pixel ย่อมาจากคำ picture element เป็นหน่วยเล็กที่สุดของภาพดิจิตัล. จุดเล็กๆแต่ละจุดเป็นข้อมูลสีหนึ่ง ขนาดเล็กมาก นำเรียงเข้าด้วยกัน เกิดเป็นภาพ. จอทีวีถูกแบ่งเป็นแม่แบบของพิกเซลจำนวนพันจำนวนล้านพิกเซล. ตาคนมองไม่เห็นแต่ละพิกเซล. ศาสตราจารย์ Marc Henry สนใจคณิตศาสตร์ ลงมือนับและยืนยันจำนวนเซลล์ในร่างกายว่า มี 3,72·1013 เซลล์ (หรือ 37.2 ล้านล้านเซลล์).  เซลล์ทั้งหมดแยกแยะได้ 56 แบบ.  เขาคำนวณจำนวนเซลล์ทั้งหมดว่า มีความจุได้ถึง 372 Po หรือ petaoctet ( octet เป็นหน่วยวัดข้อมูลดิจิตัลในระบบคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม. หนึ่ง octet = 8 bits. 1018 octets = 1000 Po) แล้วนำไปเทียบกับแผ่นดิสก์บลูเรย์ (BluRay Disc). ณปัจจุบันแผ่นบลูเรย์จุข้อมูลได้ยาว 264 ชั่วโมง. ความทรงจำของร่างกายคนคำนวณออกมาอยู่ที่ 372 petaoctet และเทียบเป็น Mega-Bytes (MB/s) หรือ Mega-Octets (Mo/s) เท่ากับความจุของบลูเรย์นานประมาณ 17 ศตวรรษ. น้ำในร่างกายจำนวน 99%  มีพื้นที่เป็นสนามสมานฉันท์จำนวนมาก จึงมีศักยภาพในการเก็บคลื่นความถี่ต่างๆมาก นั่นคือเก็บข้อมูลได้มาก. 
         มีผู้ตั้งคำถามว่า ตั้งแต่มีคนอุบัติขึ้นบนโลก จนถึงบัดนี้มีกี่คนแล้ว. ศาสตราจารย์ Marc Henry ก็คำนวญออกมาเป็นตัวเลข ว่ามีคนอยู่บนโลกมาแล้วทั้งสิ้นประมาณ 108 ล้านล้านคน. (สถิติของสหประชาชาติระบุว่า ประชากรโลกณปี 2017 อยู่ที่ 7.6 ล้านล้านคน และจะบรรลุ 11.2 ล้านล้านคนในปี 2100).
ศาสตราจารย์ Marc Henry คิดคำนวณให้ว่า คนๆหนึ่งสั่งสมข้อมูลความทรงจำตลอดชั่วชีวิตในตัวเขาเป็นปริมาณ 32·1018 octets.  จิตสำนึกของคน เกิดขึ้นเมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน โดยประมาณแต่ละคนเกิดมาแล้ว 700 ครั้ง(ชาติ) ได้จุความทรงจำไป 2.2x1022 octets. (รายละเอียดของการคำนวณตามที่ปรากฏในแผนภูมินั้น ให้นักคณิตศาสตร์ไปอ่านวินิจฉัยต่อไปเอง).  มุมมองของควอนตัมฟิสิกส์ ยืนยันการเวียนว่ายตายเกิด (reincarnation) ว่าเป็นไปได้จริง.
ภาพสรุปวัฏจักรน้ำ เปรียบกับวงจรการพัฒนาสติปัญญาและจิตสำนึก.
วัฏจักรน้ำ สรุปไว้ชัดเจนเข้าใจง่าย จากความชื้นและหรือฝน (hunidity/rain) à ไปเป็นธารน้ำแข็งตามขั้วโลก (Glaciers) à หรือตกเป็นฝนในแม่น้ำ (Rivers) à ลงในมหาสมุทร (Oceans) à อากาศร้อน น้ำระเหยเป็นไอ จับกลุ่มเป็นเมฆในท้องฟ้า (Atmosphere/Clouds)
วัฏจักรน้ำใช้เป็นบทอุปมาอุปมัยของวิญญาณสำนึกในจักรวาล จากมวลสสารหรืออนุภาค (Matter/Particles) àเป็นแสง (Light) à เป็นพลังงาน(Energy) หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Waves) à คือปัญญาของจักรภพ (Intelligence)

     เมื่อน้ำเป็นองค์ประกอบในเซลล์ร่างกายถึง 99%  ตัวตนที่แท้จริงของคนอยู่ที่ไหน รูปร่างหน้าตาหรือจิตสำนึก อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง เมื่อเทียบกับน้ำแล้ว เป็นเพียงเปลือกหรือเยื่อห่อหุ้มน้ำไว้เท่านั้น.  เนื้อหนังมังสา จึงไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง.
        คนคือน้ำ หรือน้ำคือชีวิต. เมื่อเจาะลึกลงถึงสมบัติของน้ำ ตลอดจนปฏิกิริยาของน้ำภายในร่างกาย (ดังอธิบายมาตั้งแต่สมบัติของอะตอมออกซิเจนกับไฮโดรเจน และพันธะไฮโดรเจน) ไม่มีข้อกังขาใดๆแล้วว่า คนคือน้ำ คือพลังงาน แสง เสียงและความถี่พร้อมกัน.  
       คนเป็นที่สุดของมวลสารและที่สุดของสมบัติควอนตัม โดยมีน้ำเป็นศูนย์ข้อมูลและความจำ ดังได้อธิบายมาตอนต้นแล้วว่า เมื่อน้ำรับข้อมูลใดไปแล้ว ข้อมูลนั้นจะไม่มีวันลบไปได้เลย. ข้อมูลนั้นจะส่งต่อไปในวงจรของน้ำในร่างกาย ตั้งแต่เกิดไปจนตาย ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันและต่อไปในอนาคต. ตามที่ได้อธิบายในเรื่องสมบัติของน้ำกับพันธะไฮโดรเจน (ตอนที่๔), น้ำในสถานะที่สี่และองค์ประกอบที่สามของน้ำ (ตอนที่๕) ทั้งหมดเพราะมีน้ำเป็นตัวกลางนี่เอง ที่ทำให้เราในชาติปัจจุบันนี้ ระลึกชาติในอดีตได้. หากคนนั้นมีจิตสงบ รู้จักมองลึกลงไปในตัวเขาเอง รู้จักตัดตัวเองออกจากมายาคติทั้งปวงของโลกปัจจุบัน เขาก็อาจเห็นชาติต่างๆที่เขาเคยผ่านมา.
         ทบทวนสั้นๆอีกครั้งว่า แต่ละคนเกิดเติบโตห่อหุ้มอยู่ในน้ำคร่ำในครรภ์มารดา ตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้  น้ำในร่างกายเปลี่ยนใหม่ไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน  เพราะน้ำเก่าถูก น้ำใหม่ๆที่ดื่มเข้าไปทุกวัน เข้าแทนที่ (นั่นคือร่างกายเปลี่ยนน้ำใหม่ทั้งหมดภายใน 15-20 วัน). แต่น้ำเดิมๆที่มีมาก่อน ที่เก็บกักข้อมูลทุกอย่างของชีวิตคนนั้นมาแล้ว ก็ถ่ายทอดข้อมูลต่อไปให้น้ำใหม่ที่เข้าไปแทนที่ เพราะน้ำมีความทรงจำ ดังที่พิสูจน์กันมาแล้ว ข้อมูลเก่าที่เคยมี จึงมิได้หายไป. ความทรงจำเรื่องเก่าเรื่องเดิม จึงมีการสืบทอดด้วยกระบวนการนี้ เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า.
         นอกจากข้อมูลเฉพาะของน้ำในร่างกายของแต่ละคน ยังมีข้อมูลน้ำที่เราดื่ม น้ำนั้นมาจากไหน ก็มีความจำที่น้ำนั้นเก็บมาตลอดเส้นทางวงจรของน้ำบนโลก ที่อาจสืบย้อนหลังไปเรื่อยๆจนถึงยุคโบราณ ยุคกำเนิดโลกเป็นต้น หากผู้นั้นได้เคยดื่มน้ำจากยุคนั้น.  มีผู้แนะว่า หากไปเจอน้ำที่ไหลละลายจากธารน้ำแข็ง จากภูเขาสูง จากน้ำตก น้ำในถ้ำลึก น้ำใต้บาดาลลึกๆที่ห่างไกลชุมชน น้ำในธรรมชาติที่สะอาดสวยงาม ให้ดื่มน้ำนั้น เพราะเป็น น้ำเฒ่า ที่มีพลังสูง มีความทรงจำของโลก ของธรรมชาติที่มันเคยไหลผ่านมา. จะเหมือนพบพลังงานต้นกำเนิดของชีวิต. น้ำใหม่หรือน้ำอ่อนวัย มีพลังน้อยกว่าอย่างเทียบกันมิได้เลย  ยิ่งเป็นน้ำผลิตจากระบบอุตสาหกรรม ผ่านระบบการขนส่งน้ำที่ไม่ถูกต้อง สมบัติและพลังงานของน้ำถูกทำลายเกือบหมดสิ้นแล้วกว่าจะมาถึงมือเรา. เพราะเหตุนี้ จึงมีการพัฒนาอุปกรณ์ตั้งแต่การกรองน้ำให้สะอาดขึ้น การกระตุ้นสมบัติของน้ำจนถึงการเพิ่มพลังงานให้น้ำด้วยกรรมวิธีต่างๆ.  

         ทบทวนกันอีกครั้งด้วยว่า 99% ของเซลล์ในร่างกายคนประกอบด้วยโมเลกุลน้ำและ 99.9% ในโมเลกุลน้ำคือความว่าง ที่คือหน่วยความจำมหาศาลที่กักข้อมูลความทรงจำ ที่ถูกแปลงเป็นคลื่นความถี่ภายในร่างกาย. สรุปสั้นๆได้ว่า จิตสำนึกของแต่ละคน สภาวะธรรม สภาวะจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล หรือบุญกรรมต่างๆที่ทำมาในชีวิต ถูกแปลงเป็นคลื่นความถี่ เก็บอยู่ในความว่างควอนตัมที่ไม่มีวันสลายลงไปได้.  เมื่อร่างกายตายลง ร่างกายเหือดแห้งลง แต่ความว่างนั้นยังคงอยู่(เพราะไม่มีเนื้อมีตัว ไม่มีมวลใด จึงไม่มีการสลาย) ติดไปกับวิญญาณสำนึก ที่ถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ หลุดออกจากร่างที่เป็นเพียงเปลือก. ความทรงจำต่างๆที่คนนั้นมีมาตลอดชีวิต ก็ยังติดตามวิญญาณสำนึกของเขาต่อไป เหมือนฟองอากาศฟองหนึ่งฟองเดียวกันกับวิญญาณ.  และเมื่อกลับมาเกิดในร่างใหม่ ก็มีความทรงจำนั้นติดเข้าไปในร่างใหม่ด้วย. ประเด็นนี้อธิบายว่า ทารกที่เกิดมาแต่ละคน มีอุปนิสัยต่างกันตั้งแต่เกิด เพราะเป็นอุปนิสัยที่วิญญาณนั้นเคยมีมาในอดีต.
          แต่ในโลกของคน-สัตว์สังคมทุกวันนี้ น้อยคนจำอดีตได้ หรือไม่รู้ตัวว่าเคยรู้หรือเคยเห็นอะไรมาแล้ว เพราะสังคมแวดล้อมสับสนเกินไป เพราะจิตติดอยู่กับสิ่งที่ตาเห็น ติดอยู่กับมายาทั้งหลายทั้งปวง จึงไม่เคยได้มองลึกลงไปภายในตัวเขาเอง. ตั้งแต่โบราณกาลในทุกศาสนาทุกขนบธรรมเนียม ปราชญ์ นักพรต ผู้นำศาสนาหรือพระสงค์ จึงปลีกวิเวก ออกไปจำศีลภาวนา ทำสมาธิ. คนที่อยู่ในสมาธิ คลื่นความถี่ของสมองลดต่ำลงมาก ทำให้พรมแดนที่แบ่งแยก จิตสำนึกกับจิตวิญญาณเปราะบางลง จนเกือบไม่มีอะไรขวางกั้น นั่นคือเข้าถึงซึ่งกันและกันได้หรือเกือบเป็นหนึ่งเดียวกัน. (คนที่นั่งฟังธรรมอย่างมีสมาธิ หากมีใครปล่อยคลื่นที่ดีที่กระตุ้นความสุข ความหวัง ความรักให้แก่คนนั้น เขาจะรับได้ทั้งหมด. cf. Milton Erickson). ผู้ปฏิบัติธรรมจนมีญาณแก่กล้า เขาก็เห็นย้อนหลังไปในอดีต  เข้าใจโลกในหลายมิติ มองทะลุความคิดและจิตสำนึกอื่นๆ(ของคนหรือของจักรภพ) ซึ่งกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับบุคคลเหล่านี้. การที่คนจำไม่ได้ ลืมอะไรๆไปเมื่ออายุมากขึ้นๆ เพราะโรคความจำเสื่อม หรืออยู่ในอาการโคม่าหรือในร่างที่สมองตายแล้ว ไม่ได้หมายความว่าความจำไม่มีอยู่ แต่สมรรถภาพการเข้าถึงความจำนั้นถูกรบกวนบดบังไป.
          ควอนตัมฟิสิกส์อธิบายการเวียนว่ายตายเกิด ตามแนววิทยาศาสตร์ มิได้เอาความเชื่อหรือศรัทธาของศาสนาใดมาเป็นประเด็นในการวิเคราะห์วิจัยในห้องแล็บวิทยาศาสตร์  จึงไม่เกี่ยวกับผลแห่งบุญกรรมที่มีส่วนกำหนดภพชาติหน้า ตามแนวพุทธ.[1]  
          ศาสตราจารย์ Marc Henry เล่าว่า เมื่ออายุ 47 เขาตายไปแล้ว สมองหยุดทำงาน หัวใจหยุดเต้นแล้ว แต่เขายังมีวิญญาณสำนึก เขาได้ยินและเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องที่ร่างเขานอนอยู่ในโรงพยาบาล. วิญญาณเขาหลุดออกจากร่าง ผ่านไปในอากาศ เขารู้สึกเบาสบาย ไม่เจ็บ ไม่กลัว เขายังเป็นตัวตนของเขาเต็มตัว ไม่ได้หายไปเลย  เพียงแต่อยู่ในมิติความว่าง  เป็นความว่างควอนตัม ที่อยู่นอกกาล/สถานที่ (spacetime) รู้สึกอิสรเสรี. เขาเล่าว่า การตายเป็นสภาวะที่สบายผ่อนคลาย ไม่มีอะไรน่ากลัว. สิ่งที่น่ากลัว กลับเป็นการฟื้นมีชีวิตอีกในนรกที่คือโรงพยาบาล (sic. เล่าเองในการบรรยายครั้งหนึ่ง). จนทุกวันนี้ เขายังมีชีวิตเหมือนคนปกติ มีโอกาสมาเล่าให้รู้ว่า การกระโดดไปสู่ความว่างควอนตัมนั้นเป็นไปได้  การแยกวิญญาณสำนึกออกจากร่างก็ทำได้เช่นกันและพิสูจน์ได้ด้วยเทคโนโลยีสมัยปัจจุบัน (มีโอกาสหน้าจะนำมาเสนอ).
         ศาสตราจารย์ Marc Henry จบการบรรยายด้วยการยกบทกวีของ Birago Diop (1906-1989) กวีและนักเล่านิทานชาวเซเนกัล (Sénégal) แต่งบทกวีเป็นภาษาฝรั่งเศส[2]  ย้ำว่า ให้เงี่ยหูฟังเสียงของสรรพสิ่งในโลก แทนการฟังเสียงของมนุษย์...
ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า สรรพสิ่งในโลกมีจิตสำนึก แสดงออกด้วยกระบวนการธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีเล่ห์กลมายาลวงทั้งหลายที่เป็นความชำนาญของมนุษย์โดยเฉพาะ.  Marc Henry ยืนยันว่า กวีผิวสีคนนี้ ไม่รู้เรื่องควอนตัมฟิสิกส์ ไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ แต่บทกวีของเขา บอกให้รู้ว่า เขารู้จักธรรมชาติ คนตาย การตาย การเกิดอย่างแท้จริง.
ใจความว่า จงฟังเสียงสรรพสิ่งบ่อยๆ ให้ฟังมากกว่าเสียงคน
 เงี่ยหูฟังเสียงไฟ, ฟังเสียงน้ำ.
ฟังเสียงลม เสียงพุ่มไม้สะอื้นไห้ : คือลมหายใจของบรรพบุรุษ...
คนที่ตาย ไม่ได้จากไปเลย : พวกเขาอยู่ในเงาไม้ที่สว่าง และในเงาไม้ที่หนาทึบ...
คนตายไม่ได้อยู่ใต้พื้นดิน: พวกเขาอยู่ในต้นไม้ที่สั่นเทิ้ม, พวกเขาอยู่ในป่าที่ครวญคราง, พวกเขาอยู่ในน้ำที่ไหล, พวกเขาอยู่ในน้ำที่หลับใหล, พวกเขาอยู่ในบ้าน,
พวกเขาอยู่ในหมู่คน : คนตาย ไม่ได้ตาย.

น้ำนำไปสู่ศรัทธา
        Jacques Collin [ฌ๊าค กอแล็ง] เป็นนักวิทยาศาสตร์ วิศวกรชาวฝรั่งเศส อยู่กับทองคำสีดำ เพราะเขาทำงานในอุตสาหกรรมน้ำมัน เกี่ยวกับน้ำมัน ตั้งแต่การขุดน้ำมัน ไปจนถึงกับวางท่อเพื่อส่งน้ำมัน การผลิตและการขายน้ำมัน. ได้ไปทำงานช่วยเรื่องน้ำมันในหลายสิบประเทศ เป็นหัวหน้า ตัวแทน ที่ปรึกษา เจ้าของบริษัทเป็นต้น. ชีวิตอยู่ตามโรงแรมใหญ่ๆ กินดีอยู่ดีในต่างประเทศ. เมื่อมองย้อนกลับไป เขาบอกว่าอาชีพแบบนั้น เครียดมาก เป็นวิถีชีวิตที่เหมือนเส้นทางลาดลงสู่เหว ที่ทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยโรคชนิดต่างๆ ตรงข้ามกับสภาพฉาบฉวยหรูหราภายนอกที่คนเห็น.  ชีวิตเช่นนั้นได้สร้างปัญหารุนแรงแบบต่างๆในครอบครัว ตัวเขาเองก็เป็นสารพัดโรคเพราะความเครียดเป็นเหตุหนึ่ง.
          วันหนึ่งตัดสินใจลาออกจากทุกอย่าง จากบริษัทที่เขาเองมีส่วนสร้างและปั้นมากับมือ. เช่นนั้นจากระดับสูงสุด เขาตกลงในระดับต่ำสุด จนถึงขั้นไม่เหลืออะไรเลย.  มีเพื่อนยื่นมือมาช่วยเพื่อให้เขามีรายได้ยังชีพ ด้วยการเป็นนายหน้าขายเครื่องกรองน้ำ ไปเคาะตามครอบครัว อธิบายเครื่องมือและอุปกรณ์กรองน้ำระบบรีเวิซออซโมซิซ. ตอนนั้นเขาอายุ 56 ปีแล้ว เพื่อนที่เสนอให้งานเขานั้น เป็นอายุรแพทย์ (therapist) ได้อธิบายให้เขาเข้าใจเรื่องการใช้น้ำในการบำบัดสุขอนามัย.  เขาจึงสนใจขึ้นมาก.  เขาไปเข้าเรียนวิชาอายุรศาสตร์ เรียนเข้มอยู่หนึ่งปีเต็มและได้ประกาศนียบัตรอายุรศาสตร์สาขาธรรมชาติบำบัด.
         เมื่อต้องขายเครื่องกรองน้ำ เขาดื่มน้ำที่ผ่านการกรองจนเป็นน้ำบริสุทธิ์ได้ถึง 98%  และตระหนักว่า น้ำสะอาดได้ชำระล้างสารพิษในตัวเขาลงไปมาก(รวมทั้งโรคมะเร็ง) ทำให้เขาศึกษาระบบการทำงานของเครื่องอย่างละเอียด และศึกษาองค์ประกอบเกลือแร่ในน้ำดื่มที่มีขายในท้องตลาดฝรั่งเศส. เห็นความแตกต่างในคุณภาพของน้ำและผลกระทบของน้ำต่อร่างกาย. เขาไม่ได้หยุดอยู่เพียงนั้น. เขาตามศึกษาค้นคว้าเรื่องน้ำจากผู้เชี่ยวชาญ จากแพทย์ จากนักวิทยาศาสตร์ในทศวรรษที่ 1980, 1990 เป็นต้นมา ติดตามผลงานวิจัยแนวหน้าทั้งหลาย ของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ และเรียนรู้ทฤษฎีความทรงจำของน้ำของ Jacques Benveniste ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยา ที่เขารู้จักเป็นการส่วนตัวด้วย. และเขาก็พบว่า ไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญน้ำอย่างแท้จริง จะหาคนที่เป็นพหูสูตรที่มีความรู้ทั้งในด้านเคมี ชีววิทยา สรีรวิทยา ฟิสิกส์ และโดยเฉพาะการแพทย์ ในคนๆเดียวกันนั้น เป็นไปไม่ได้. ชัดเจนว่าจนถึงปลายศตวรรษที่ 20 กระบวนการรักษาเยียวยาโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีการเอาน้ำเข้าไปเป็นประเด็นในการวินิจฉัยโรคเลย ทั้งๆที่ร่างกายคนประกอบด้วยโมเลกุลน้ำถึง 99%. (ให้นึกเทียบว่า เหมือนการปลูกดอกบัวในสระ เมื่อดอกบัวเหี่ยวเฉาตายเพราะแมลงหรือโรคใด  คนถอนต้นนั้นออก ปลูกต้นใหม่ หรือฉีดยาฆ่าแมลงเป็นต้น แทนการวินิจฉัยว่า ปัญหาเกิดจากน้ำในบ่อนั้นไหม มีสารปนเปื้อนไหลจากท่ออุตสาหกรรมไหนหรือเปล่า. แบบเดียวกับที่หมอรักษาแผล ฆ่าเชื้อโรค ตัดส่วนของร่างกายทิ้งไป กี่คนจะนึกถึงน้ำ 99% ที่ห่อหุ้มทุกอย่างในร่างกาย ไม่มีใครคิดฟอกน้ำให้สะอาด เติมพลังดีๆให้น้ำในร่างกายที่ห่อหุ้มอวัยวะทั้งหมดอยู่)
          เขามีความฝันติดค้างคาใจว่า อยากหนีสังคมชาวกรุง ไปอยู่ต่างจังหวัดท่ามกลางธรรมชาติ. เขานึกจินตนาการบ้านว่าจะเป็นเช่นใด ผังบ้าน รอบบ้าน. วันหนึ่ง มีผู้บอกขายบ้านร้างแห่งหนึ่งไกลจากชุมชน  เขาเดินทางไปดู มันตรงกับที่เขาวาดไว้ในฝัน จึงซื้อบ้านหลังนั้นไว้. อีกวันหนึ่งพบบ่อน้ำเก่าในบริเวณบ้าน ปิดมานาน เขาปราบพื้นที่รอบข้าง เปิดบ่อน้ำ และได้วิดน้ำขึ้นมาจากก้นบ่อ.  เขาลองดื่มน้ำนั้น บัดดล ทั้งร่างกายตื่นกระชุ่มกระชวยมาก เหมือนแสงสว่างแปล็บปลาบบังเกิดขึ้นในใจเขา.  เป็นความปิติที่สุดพรรณนา. เขาหาความลึกของบ่อ เหมือนที่เขาเคยมีประสบการณ์ในการขุดบ่อน้ำมัน ในที่สุด เข้าใจว่า น้ำนั้นมาจากธารน้ำใต้ดินลึกมาก เป็นแหล่งน้ำบาดาลหรืออาร์ทีเซียน (aretsian well) ที่มีคุณภาพสูง.
         น้ำที่เขาดื่มจากบ่อนั้น สะอาดบริสุทธิ์ นำจิตสำนึกของเขา ย้อนหลังไปไกลในอดีต ตั้งแต่กำเนิดโลก วิวัฒนาการของภูมิประเทศ ภูมิอากาศ. ความที่เขาเป็นวิศวกรและมีความรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยาจากประสบการณ์การบริหารจัดการแหล่งน้ำมันที่เขาเคยทำมาจนเมื่อเขาอายุ 56 ปี  ทำให้เขาดีใจมากที่พบบ่อน้ำแสนวิเศษเช่นนั้น. ความปลื้มปิติที่ได้สัมผัส «น้ำโบราณ»[3] ทำให้เขาตระหนักว่า น้ำมีเวทมนต์วิเศษอื่นๆ นอกเหนือจากการฟื้นฟูระบบอวัยวะและสภาวะเซลล์ในร่างกาย.
         เช่นนี้ เขาติดตามหาความรู้เรื่องน้ำในคัมภีร์ไบเบิล ในขนบธรรมเนียมของชนชาติโบราณในโลกยุคก่อนคริสตกาล รวมถึงอีจิปต์ อินเดีย จีนฯลฯ ที่ต่างให้ความสำคัญแก่น้ำที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในทุกพิธีกรรม ผูกพันคนกับธรรมชาติเข้าด้วยกันอย่างสมดุลและงามงด.  การได้สัมผัสน้ำและการตระหนักถึงความทรงจำของน้ำ ทำให้เขาเหมือนได้เข้าถึงน้ำศักด์สิทธิ์ที่เล่าไว้ในคัมภีร์ไบเบิล เมื่อพระเยซูพูดถึง น้ำแห่งชีวิต แก่นางชาวซามารีแตนคนหนึ่ง ที่ตักน้ำจากบ่อมอบให้พระเยซูดื่ม. พระเยซูบอกนางว่า  น้ำจากบ่อนี้ ดับกระหายชั่วคราว แต่น้ำที่พระองค์จะให้ดื่มนั้น จะกลายเป็นน้ำพุในตัวผู้ดื่ม เป็นน้ำพุที่ไม่มีวันเหือดแห้ง และผู้ดื่มน้ำนั้น ก็จะไม่กระหายน้ำอีกเลยชั่วกัลปาวสาน (John 4:10-16).  
         บันทึกตอนนี้ในคัมภีร์ของจอห์น เป็นปริศนาธรรมให้เข้าใจว่า การเสาะแสวงหาน้ำเพื่อดับกระหายในชีวิตคน (โดยเฉพาะของผู้คนที่อยู่ในแถบที่ไม่มีน้ำดื่มน้ำใช้เพียงพอ) เป็นการแสวงหาสัจธรรมด้วย เพื่อก้าวข้ามมิติจำกัดของกายภาพ สู่มิติของจิตวิญญาณด้วยศรัทธา. Jacques Collin ได้ค้นพบความหมายของชีวิต. มิติใหม่ๆที่แต่ละคนต้องค้นหาด้วยตัวเอง เขาทุ่มเททั้งกายและใจ ด้วยการฟังเสียงภายในของตัวเอง เพราะร่างกายมีปัญญา มีกระบวนการเสริมสร้างชีวิตเพื่อให้คนบรรลุความสุข ความรัก ความปิติ ที่เป็นความถี่ที่ขับเคลื่อนจักรวาล. น้ำอยู่บนพรมแดนระหว่างโลกฟิสิกส์กับโลกเมต้าฟิสิกส์. 
          ประสบการณ์นี้ เป็นเหมือนแรงกระตุ้นจนเป็นศรัทธาแรงกล้า ที่ทำให้เขาทุ่มเทชีวิตให้แก่น้ำและกลายเป็นผู้เผยแพร่ความตระหนักรู้เรื่องน้ำแก่สาธารณชน มาจนถึงทุกวันนี้. ปัจจุบันอายุแปดสิบกว่าแล้ว สุขภาพแข็งแรง ไร้โรคาพยาธิเบียดเบียน. นอกจากการเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องน้ำหลายเล่ม เขารับเชิญไปบรรยายเรื่องน้ำ จนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง นอกกรอบของสถาบันการศึกษาตั้งแต่นั้น.  เขาเชื่อว่า น้ำจะเป็นพลังงานของโลกอนาคต หล่อหลอมสังคมในแนวใหม่. การค้นพบใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์ บอกให้รู้ว่า แต่ละขณะ เราเชื่อมต่อติดกับอดีตและอนาคตของเราเอง. เราเป็นผู้สำรวจกาลเวลา. ร่างกายเชิงชีวภาพของเรา ระบบพลังงานและระบบข้อมูลในตัวเรา เป็นเพียงจุดนัดพบชั่วคราวในปัจจุบันระหว่างชีวิตในอดีตกับชีวิตเราในอนาคต.  เขาสรุปว่า ความจริง มิใช่อยู่ที่ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ หรือปัจจุบันขณะเท่านั้น แต่อยู่ที่ ที่อื่นและเวลาอื่น ด้วย.  ตามที่ศาสตราจารย์ JP GARNIER MALET ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ระบบชีวภาพของคนตั้งอยู่ในแดนพหุมิติ ร่วมกันด้วยกันในเวลาเดียวกัน (interdimensionality) เหมือนอยู่ในโลกคู่ขนาน หรือเข้าถึงโลกอีกโลกหนึ่ง ที่ภูมิปัญญาในขนบและค่านิยมของชนเผ่าโบราณสืบทอดกันมา เช่นในการเข้าทรงเป็นต้น. 
          น้ำในร่างกายทำหน้าที่เป็นพื้นที่เชื่อม เป็นโปรแกรมประสานรอยต่อระหว่างนานามิติ.  เมื่อเป็นเช่นนี้ คนอาจค้นพบพลังของเขา ค้นพบบทบาทของเขาในการเป็นผู้สร้างคนหนึ่งของจักรภพ.  และท่ามกลางโลกหลายมิติ หลายกาลเวลา เขาจะพบความเป็นเอกภาพจริงแท้ดั้งเดิมของเขาเอง. 
ภาพจาก pinterest.com
เลโอนารโด ดา วินชี กล่าวไว้ว่า 
รู้จักมอง จะตระหนักว่า ทุกสิ่งเชื่อมกับสิ่งอื่นๆทั้งหมด.

นักวิทยาศาสตร์น้ำ ได้อาศัยควอนตัมฟิสิกส์เจาะลึกไปถึงบทบาทของน้ำและความทรงจำของน้ำที่เป็นตัวเชื่อมร่างกายกับวิญญาณสำนึก เชื่อมโลกใบจิ๋วของแต่ละคนกับโลกใบใหญ่ จนถึงจักรภพ.
        ควอนตัมฟิสิกส์ถูกมองในปัจจุบัน ว่าให้คำอธิบายที่ละเอียดลุ่มลึกเกี่ยวกับธรรมชาติมากกว่า และได้เข้าไปเสริมหลักการเดิมของฟิสิกส์คลาซสิกบนฐานทฤษฎีของนิวตันที่สืบทอดมาทั้งในระดับโลกใบจิ๋ว (microphysics) และในระดับโลกใบใหญ่ (macrophysics). จากจุดนั้น สมองคนและสภาวะจิตที่เกี่ยวข้องในระบบการศึกษากายภาพของสมองแบบคลาซสิก ก็ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลควอนตัมฟิสิกส์แล้ว. แต่ยังมีนักประสาทชีววิทยาที่คัดค้านหลักการของ ควอนตัมจิต ว่า มิอาจอธิบายกระบวนการทำงานของสมองและหรือจิต(ใต้)สำนึกได้ โดยที่พวกเขาเองก็หาวิธีอื่นอธิบายไม่ได้. 
        Dirk K.F.Meijer และ Simon Raggett (2016) ได้ลองเขาไปพิจารณา สาธยายสภาวะจิตต่างๆของคน ด้วยมุมมองของทฤษฎีควอนตัมสัมพัทธ์. ทั้งสองเชื่อว่า จักรภพเป็นคลื่นจำนวนมหาศาลที่ซ้อนๆกันเป็นชั้นๆ ไม่มีช่องแตกช่องปริ และสมองคนเป็นส่วนหนึ่งของจักรภพ. จิตสำนึกของเอกบุคคล จึงเป็นสมบัติอย่างหนึ่งของสสารทั้งมวล(matter).  เขายังใช้คำ matter จิตสำนึกไม่น่ามีมวลใดมิใช่หรือ. วิญญาณสำนึกของคน น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของพลังทั้งปวงในจักรภพ หรือเป็นการแสดงออกแบบหนึ่งในสนามควอนตัมจักรภพนี้.
        ในอีกด้านหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาระบบการทำงานของสมองและเซลล์สมอง ได้โยงใยไปถึงอารมณ์ความรู้สึก จิตสำนึก การเก็บความจำของสมอง อัตวิสัย ความเชื่อหรือศรัทธาของคนเป็นต้น และเกิดความคิดว่า เป็นไปได้ไหมที่จะสร้างแอ๊ปพลิเคชั่นเจาะจิตสำนึกของคน เหมือนสร้าง สมองกล หรือ ปัญญาประดิษฐ์ สู่การสร้าง จิตสำนึกประดิษฐ์...

วิญญาณสำนึกของคน เป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณสำนึกของจักรภพ

         มนุษย์ยังจะครุ่นคิดค้นกันต่อไป และเรายังจะได้รู้ได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ สัมผัสความเป็นไปได้แนวใหม่อีกมาก. อย่างหนึ่งที่มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน คือ การยืนยันว่า จักรภพมีวิญญาณสำนึก ว่าคนเป็นส่วนหนึ่งของจักรภพ มีส่วนร่วมเป็นผู้สร้าง ควบคุมจักรภพด้วยปัญญาและจิตสำนึก. จิตและวิญญาณสำนึกของคน เป็นทั้งผู้สังเกตและผู้สลักเสลาจักรภพ. 

โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์
๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๒



[1]  แต่ก็มีชาวตะวันตก(ที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์) ที่ผนวกเรื่องกรรม karma ตามที่เขาเข้าใจ เมื่ออธิบาย(แบบง่ายๆ)ว่า แต่ละคนมิได้เลือกเกิดตามความหวังหรือความพอใจ หากในชาตินี้ ยังมิได้ปลดสัมพันธ์ไม่ดีต่างๆกับใครหรืออะไรไปจนถึงที่สุด เช่นเคยมีเรื่องคาค้างใจกับใครที่ไม่ได้แก้ปลดล็อคก่อนตาย ก็จะเกิดอีก พบสถานการณ์แบบเดียวกันอีกกับใครคนหนึ่ง และจนกว่าเขาจะปลดล็อคตัวเองจากประสบการณ์ที่เคยมีกับคู่กรณีได้ด้วยการอโหสิกรรมแก่กัน เขาก็ยังจะเกิดและพบสถานการณ์แบบเดียวกันอีก. การอโหสิกรรมแก่กันในความคิดของชาวตะวันตกบางคน จึงเป็นตัวกำหนดการมาเกิดใหม่ เป็นตัวช่วยให้ปลดล็อคตัวเอง จนในที่สุดไปถึงชีวิตหน้าที่ไม่มีสัมพันธ์เชิงลบใดๆเหลือแล้ว พบความสุข เบิกบาน ปลอดโปร่งและอิสระ.
     ความคิดแบบตะวันตก แม้บางคนจะอ้างเรื่องกรรม ก็ไม่ไกลไปถึงสภาวะนิพพาน(ในแก่นพุทธศาสนา) จะด้วยความไม่เข้าใจหรือความไม่เชื่อหรือเหตุผลใดก็แล้วแต่. จุดหมายของการมีชีวิตและการเกิดใหม่ จำกัดอยู่ในการมีชีวิตที่เป็นอิสระเต็มที่ ไม่ว่าในมิติใด. การมีเสรีภาพในทุกเรื่อง เสรีภาพในการเลือกหรือไม่เลือกทำ อิสระจากข้อผูกมัด เป็นอุดมการณ์สามัญของชาวตะวันตกส่วนใหญ่ทั้งในชีวิตนี้หรือชีวิตหน้า. ยิ่งหากเชื่อในพระเจ้า(คริสต์หรืออิสลาม) พระเจ้าจะเป็นผู้ที่โอบอุ้มเขาไว้ด้วยความรักเมตตาอยู่แล้ว. การคิดติดอยู่กับความเป็นอิสระเสรีทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า จึงเป็นประเด็นสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่มิได้มุ่งสู่นิพพานในพุทธศาสนคติ. ค่านิยมของการมีชีวิตที่อิสระยังรวมการยอมรับสภาพการเป็นมนุษย์ การพร้อมจะสู้กับชีวิตอย่างกล้าหาญและท้าทายด้วย. อุดมการณ์ชีวิตแบบนี้ อาจฝังรากหยั่งลึกมาจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมโบราณ เช่นจากวรรณกรรมของโฮเมอร์ Homer ที่เร้าทั้งความคิดและความรู้สึก เมื่อยูลิซิสต้องเลือกระหว่างการมีชีวิตนิรันดร์ในความสุขที่สถาพร กับการเป็นมนุษย์ที่ต้องทนทุกข์กับการเกิดแก่เจ็บตาย ทนทุกข์กับอารมณ์ปรวนแปรทั้งของตนเองกับของคนอื่นๆ ทนทุกข์กับการอยู่กับการรักษาอำนาจหรือการปกป้องชีวิตทั้งของตนเองและคนที่เขารักฯลฯ. ยูลิซิส ปฏิเสธการมีชีวิตนิรันดร์ที่กาลิปโซ-Calypso เสนอให้เขา. เยี่ยงชายชาตรี เขาเลือกอยู่อย่างคนที่รู้เจ็บรู้ตาย รู้โลภรักโกรธหลง, สำหรับเขา คือการท้าทายจิตวิญญาณ, ท้าทายสติปัญญาว่าเขาจะรับมือสภาวะต่างๆของมนุษย์อย่างไร. ปรัชญาตะวันตกสรรเสริญความกล้าของคนที่แม้รู้ว่าสุดท้ายเขาอาจแพ้ แต่เขากล้าก้าวต่อไปเผชิญกับชีวิต. ประเด็นสำคัญในที่สุด คือการมีสิทธิ์เลือกทำหรือไม่ทำอะไร ความเป็นไทแก่ตน อิสรภาพและเสรีภาพของเขา มีค่ายิ่งกว่าชีวิตนิรันดร์ในหมู่เทพ. 

[2]  Birago Diop (1906-1989) กวีและนักเล่านิทานชาวเซเนกัล (Sénégal) ผลงานแต่งเป็นภาษาฝรั่งเศส.  เขาเรียนจบสัตวแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเมืองตูลูซ (Université de Toulouse, France) ในปี 1933 แล้วเป็นสัตวศัลยแพทย์ติดตามคณะรัฐบาลฝรั่งเศสไปในแดนซูดานหรือมาลีปัจจุบันและประเทศอื่นๆที่เคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส. ระหว่างปี 1961-1965 เป็นเอกอัครราชทูตของประเทศเซเนกัลอิสระ ไปประจำที่ประเทศตูนีเซีย. ตลอดชีวิต เขารณรงค์เพื่ออนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมของชาวผิวดำไว้ ร่วมกับ Léopold Sédar Senghor กวีและนักการเมืองชาวเซเนกัล ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศเซเนกัลยี่สิบปี (1960-1980). ทั้งสองได้ยกศักดิ์ศรี ธำรงขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม กับเชิดชูความงามของธรรมชาติของภูมิประเทศ ของชนชาวผิวดำในแอฟริกา ขึ้นสู่การยอมรับและความชื่นชมของชาวฝรั่งเศส.

[3]  โลกนี้ไม่มีน้ำใหม่ น้ำที่เราใช้ในปัจจุบัน คือน้ำที่มีมาตั้งแต่กำเนิดโลก ที่วนเวียนเปลี่ยนสถานะไป เป็นน้ำแข็ง เป็นไอ เป็นฝนที่ตกลงมา ซึมลงใต้ดิน ไหลขึ้นมาบนผิวโลก วนเวียนเป็นวัฏจักรน้ำ ที่เป็นวัฏจักรชีวิตคนด้วยในที่สุด และอธิบายการสืบทอดของความทรงจำเกี่ยวกับโลกจากจุดกำเนิดมาจนถึงปัจจุบัน. เช่นนี้ การมีโอกาสดื่มน้ำโบราณ ช่วยให้รำลึกถึงอดีตอันไกลโพ้นได้ เพราะน้ำมีความทรงจำ ดังที่พิสูจน์กันมาชัดเจนแล้ว  หากเขาทำจิตให้หลุดจากความวุ่นวายของโลกภายนอก และหันเข้ามองภายในจิตวิญญาณของเขา เมื่อนั้น เขาอาจเกิดรำลึกอดีตได้ โดยอาศัยน้ำที่มีในตัว ฯลฯ

No comments:

Post a Comment