Saturday, August 24, 2019

Trance

เมื่อสาวปารีเซียนไปเรียนวิชาเข้าทรงจากมงโกเลีย 
Corine Sombrun [กอรีน ซอมเบริง] ใช้ชีวิตวัยเยาว์ที่ Ouagadougou (Burkina Faso)ในแอฟริกา. เมื่อกลับมาฝรั่งเศส ศึกษาสังคีตวิทยา เปียโนและการประพันธ์ดนตรี. ในปี 1999 เธอย้ายไปอยู่ลอนดอน ทำงานในฐานะผู้ประพันธ์ดนตรีและทำรายงานข่าวในองค์กร BBC World Service ในโครงการสารคดีเกี่ยวกับศาสนาต่างๆ.
        ในปี 2002 ณมุมหนึ่งในแดนมงโกเลีย ฉันไปที่นั่นกับเพื่อนชื่อ นารา เพื่อทำรายงานข่าวเกี่ยวกับ shamanism ให้สถานี BBC ของอังกฤษ. นาราเพื่อนชาวมงโกเลียนพาฉันไปพบ Balchir ผู้จะประกอบพิธีเข้าทรงในเย็นวันนั้น. ค่ำคืนวันนั้น ทุกคนในหมู่บ้านมารวมกัน แต่ละคนที่มา มีปัญหาต่างๆ พวกเขาอยากรู้ว่าทำไมจึงมีปัญหาเหล่านั้น. ชาวมงโกเลียนไปหาผู้เข้าทรงเป็นเรื่องปกติเมื่อพวกเขามีปัญหาต่างๆไม่ว่าเรื่องใด เหมือนชาวตะวันตกไปหาหมอทั่วไปหรือไปร้านขายยา. ในยุคนั้น ฉันรู้เพียงว่า ชามันเป็นเหมือนคนกลาง เป็นคนเชื่อมโลกของคนกับโลกของจิตวิญญาณ. จิตวิญญาณ(ในบริบทนี้ ขอเรียกว่า วิญญาณทิพย์) อาจเป็นเทพ เป็นวิญญาณบรรพบุรุษ เป็นวิญญาณสำนึกของสรรพสิ่งในธรรมชาติ พืชพรรณหรือสัตว์ ทั้งหมดอยู่ในโลกที่ตามองไม่เห็น อาจบอกว่าในโลกคู่ขนาน หรือในอีกมิติหนึ่ง ที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึง วิญญาณทิพย์ในความเชื่อของชาวมงโกเลียน เป็นผู้ดูแลรักษาและธำรงโลกให้สมดุล. เมื่อใครทำอะไรที่ไปขัดหรือสร้างความไม่สมดุลแก่โลก วิญญาณทิพย์เหล่านี้ จะส่งสัญญาณเตือนภัย ทำให้เกิดปัญหาต่างๆกับคนนั้น. ดังนั้น หากในชีวิตใคร มีปัญหามาก เท่ากับบอกให้รู้ว่า คนนั้นไปก่อกวนวิญญาณทิพย์.  ในกรณีแบบนี้ ผู้มีปัญหาจะมาขอให้ชามันหรือร่างทรงช่วยเป็นตัวกลางสื่อสารกับวิญญาณทิพย์ และบอกวิธีแก้ไขให้. ชามันสำรวมจิตเสียงกลองนำทางเขา เขาเคลิ้มหลุดจากนาทีปัจจุบันของโลกมนุษย์ไปในโลกอีกมิติหนึ่ง ไปพบวิญญาณทิพย์(รูปแบบใดที่เขาเองก็ไม่รู้ล่วงหน้า วิญญาณนั้นปรากฏแก่เขาเอง เขาซักถามสาเหตุที่ทำให้คนนั้นเจ็บป่วยหรือมีปัญหา และขอให้บอกวิธีแก้.
          คืนนั้นฉันไปร่วมพิธีเข้าทรง ฉันติดตั้งอุปกรณ์เครื่องอัดเสียงเครื่องถ่ายภาพไมโครโฟนเป็นต้น เพื่อรวบรวมทำรายงานให้ BBC.  พิธีเริ่มขึ้น หมอร่างทรงเริ่มตีกลองไปตามกระบวนการ. แต่เสียงกลองนั้น มีผลต่อร่างกายฉัน ร่างฉันทั้งร่างสั่นเทิ้ม และรุนแรงมากขึ้นๆ ขนาดลุกขึ้นกระโดดเต้นไปมา ฉันรู้ตัวอยู่แต่ไม่อาจควบคุมพฤติกรรมของร่างกายไว้ได้ ฉันยังทำปากหอนเสียงยาวเหมือนหมาป่า ฉันรู้สึกว่ามือฉันเหมือนตีนสัตว์ จมูกฉันเป็นจมูกหมา ตัวฉันกลายเป็นหมาป่า. สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันนั้น ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้เลย. เมื่อเสียงกลองยุติลง ฉันจึงกลับรู้ตัวอีกครั้ง. เพื่อนที่ไปด้วยเล่าให้ฟังยืนยันว่าฉันได้แสดงกิริยาอาการอะไรไป. หมอร่างทรงเดินมาพูดกับฉันอย่างโกรธๆว่า ทำไมไม่บอกก่อนว่าฉันเป็นชามัน. ฉันบอกว่า ฉันไม่เป็น คุณเข้าใจผิด ฉันมาทำข่าว. เขาพูดว่า ไม่ผิดหรอก ถ้าเสียงกลองทำให้ฉันมีปฏิกิริยาแบบนั้นได้ เท่ากับว่าฉันมีพรสวรรค์และสามารถเข้าถึงสภาวะที่เชื่อมกับโลกของวิญญาณทิพย์ได้. ต่อแต่นี้ไป ฉันต้องอยู่ที่นั่นสามปี หัวหน้าชามันจะจัดหาคนสอนถ่ายทอดความรู้นี้แก่ฉันให้ถูกต้อง เพราะเท่ากับว่า ฉันได้รับเลือกให้เป็นชามัน. นั่นไม่ใช่แผนชีวิตฉันเลย. ถ้าฉันปฏิเสธ จะมีปัญหาไหม. เขาตอบว่า พูดอย่างนั้นไม่ได้ นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญที่นำฉันไปที่นี่. ถ้าฉันปฏิเสธ ต่อแต่นี้ไป ฉันจะมีปัญหาต่างๆมากในชีวิต. ปัญหานั้น ฉันมีแล้ว คนรักฉันตายไปแล้วเมื่อห้าปีก่อนด้วยมะเร็ง. หมอร่างทรงทรงบอกว่า นั่นยังเรื่องเล็ก เมื่อเทียบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ปัญหามากมายที่จะตามมาในชีวิตฉัน ถ้าฉันไม่เป็นตามที่วิญญาณทิพย์ได้ตัดสินให้ฉันเป็น. นาราเพื่อนฉันกระซิบว่า ความรู้ที่ฉันจะได้จากที่นี่นั้น เป็นความลับสูงสุด มันน่าสนใจอยู่นะ. เป็นความรู้ที่เขาถ่ายทอดจากชามันคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง ในวงจำกัดมาก. อีกอย่างหนึ่ง ให้นึกด้วยว่า หากวิญญาณทิพย์ทั้งหลายไม่พอใจ มันเสี่ยงอยู่นะ. ในประเทศฝรั่งเศส อาจนึกว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระ แต่ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะระวังตัวไม่ไปขัดแย้งหรือแข็งข้อกับวิญญาณทิพย์. ฉันเลยต่อรองกับหมอร่างทรงว่า ให้อยู่สามปีนั้น มันทำไม่ได้  ขอให้ฉันไปๆมาๆปีละครั้งๆละหลายเดือน เพื่อมาเรียนได้ไหม. หมอเข้าทรงตกลง บอกว่าประเด็นคือ ฉันทำตามสิ่งที่วิญญาณทิพย์ได้ตัดสินให้ฉันทำ.
         และนี่คือจุดเริ่มต้น ที่ฉันต้องไปอยู่กับหญิงเข้าทรงผู้ได้รับมอบหมายให้สอนฉัน เธอชื่อ Enkhetuya เป็นคนในชุมชนเชื้อสาย Tsaatans อยู่บนดินแดนสเต๊ปป์ในไซบีเรีย. เธอเป็นคนเลี้ยงกวางเรนเดียร์ เมื่อเธอเห็นฉัน ก็วินิจฉัยว่า ฉันมีพลังความพร้อมในตัว. ฉันถามว่า พลังอะไร ถ้าฉันมีจริง ฉันต้องรู้แล้ว. เธอตอบว่า ฉันจะค้นพบอำนาจนั้นเอง เมื่อฉันเรียนและฝึกปฏิบัติ. เธอประดิษฐ์กลอง ทำชุดเข้าทรงให้ฉัน. หลายปีติดต่อกัน ฉันกลับไปอยู่กับเธอที่นั่น สุดพรมแดนของไซบีเรีย ใช้ชีวิตในเต๊นต์ นอนกับพื้น ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า. ฉันเรียนรู้พิธีกรรมต่างๆ ฉันกลายเป็นหมาป่าทุกครั้งเมื่ออยู่ในสภาวะเข้าทรง ร้องหอนเหมือนหมาป่า. ฉันเห็นอะไรต่ออะไร แต่ฉันก็ถามตัวเองตลอดเวลาว่า ทั้งหมดนี้เพื่ออะไร. ฉันซักถามเสมอ จนครูผู้สอนตั้งชื่อเรียกฉันว่า « chichi cochconok » ที่แปลว่า รูเล็กๆที่ก้น. คงจะจริงตามที่เธอเรียกเพราะฉันถามไม่หยุด. ฉันใช้ชีวิตกับครูร่างทรงเช่นนี้ หลายเดือนทุกปีๆ จนในปีที่แปด ฉันได้ตำแหน่ง « Udgan » ที่แปลว่า หญิงเข้าทรง ในภาษาของพวกเขา.
ภาพของ Corine Sombrun กับกลองชามันของเธอ
          แปดปีในการเรียนการอยู่ที่นั่น สิ่งที่ฉันเรียนรู้มา ได้เปลี่ยนวิสัยทัศน์ของฉันไปมาก. ร่างกายฉันไม่เจ็บไม่ปวดเหมือนในตอนแรกๆ เมื่อฉันทุ่มกำลังตีกลอง เพราะกลองนั้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซ็นติเมตร หนักประมาณ 8 กิโลกรัม แต่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ฉันถือกลองนั้นได้เป็นชั่วโมงๆโดยไม่รู้สึกหนักเลยแม้แต่น้อย ฉันจึงมีแรงมากกว่าในสภาวะปกติ.
         ฉันเรียนรู้พิธีกรรม คำสวดคำร้อง เป็นจังหวะอย่างไร ทุกอย่างคือการลงมือทำตามพิธีกรรมที่พวกเขาทำสืบทอดต่อมาจากบรรพบุรุษ. ไม่มีการบอกการเล่าหรือให้จดโน้ต ไม่มีการสอนศีลธรรมใดๆ. ทุกอย่างคือการฝึก การปฏิบัติ ทำกิริยาท่าทางของผู้เป็นร่างทรง. มีข้อเตือนว่า อย่าใช้การเข้าทรงแบบเวทมนต์ บังคับใครให้เป็นไป ที่ขัดกับความต้องการของคนนั้น. เช่นมีผู้ขอให้ฉันช่วยทำให้หนุ่มคนหนึ่งหลงรักเธอ ฉันอยากช่วยแต่ทำไม่ได้.  ถือว่านั่นเป็น Black Magic ถ้าทำเช่นนั้น ผู้ทำจะมีอายุสั้นลงห้าปี.
         ฉันมองเห็นอะไรต่ออะไร โดยที่ตาทั้งสองปิดสนิท ฉันเห็นร่างต่างๆ ทั้งร่างคน ร่างสัตว์  ร่างเหล่านั้นไม่มีกรอบรูปร่างชัดเจน เหมือนก้อนเมฆ บางทีใหญ่กว่าขนาดร่างจริง. เหมือนว่า ฉันเข้าไปในโลกอีกโลกหนึ่งที่มืดสนิท. ฉันมองอะไรแตกต่างไป ฉันรู้สึกว่า ฉันสามารถเข้าถึงโซนมืด โซนที่ขาดสมดุล โซนที่เป็นปัญหาในตัวคนป่วย. ที่น่าแปลกใจคือ เมื่อฉันสัมผัสโซนที่ขาดสมดุล ฉันจะเริ่มร้องเพลงสวด มีกิริยาท่าทางอื่นๆ ส่งเสียง พูดภาษาอะไรที่ฉันไม่เคยรู้ไม่เคยเรียนมาก่อน. ฉันรู้สึกว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของฉัน มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ละเอียดประณีตขึ้น. ฉันยังได้ยินเสียงต่างๆ เสียงนกร้อง เสียงหอน เสียงน้ำ. ประสบการณ์ทำให้ฉันเข้าใจมากขึ้นๆ ว่าแต่ละเสียงที่ได้ยินในขณะเข้าทรงนั้น มีหน้าที่ที่จะไปขจัดความอลหม่านในตัวคนป่วย.
         ครั้งหนึ่ง หญิงชาวบ้านมาขอให้ช่วย เพราะสองปีแล้วที่ประจำเดือนไม่มา โดยไม่มีเหตุผล ฉันเข้าทรงเพื่อขอคำแนะนำจากวิญญาณทิพย์ ในระหว่างที่ฉันเป็นร่างทรง ฉันเข้าไปยีหัวหญิงคนนั้น. เมื่อฉันออกจากร่างทรง เห็นเธอคุกเข่าตรงหน้าฉันบนพื้น หัวฟู  ฉันทำอะไรกับเธอโดยที่ฉันเองควบคุมไม่ได้  เป็นไปตามที่วิญญาณทิพย์ให้ทำหรือไฉน. วันรุ่งขึ้น หญิงชาวบ้านคนนั้น มีประจำเดือนมาตามปกติตั้งแต่นั้น.
          ความรู้หรือสัมผัสพิเศษที่เกิดขึ้นกับฉันในร่างทรง ในที่สุดคือคำตอบที่ฉันค้นหา คือเคล็ดลับ ที่ฉันจะไปใช้คลี่คลายสภาวะสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้นกับคนป่วยหรือคนมีทุกข์ที่ฉันต้องช่วย.  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? การอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ได้เปลี่ยนปฏิกิริยาของสมองและทำให้ฉันมีศักยภาพอื่นๆเพิ่มขึ้นหรือ? ทำไมในสภาวะแบบนั้น ฉันรู้สึกว่า ฉันมีประสาทรับรู้ความจริง ที่คม ชัดและลึกซึ้ง แตกต่างออกไปจากเมื่อฉันไม่เป็นร่างทรง. จะให้ชาวตะวันตกอย่างฉัน เชื่อได้อย่างไรว่ากิริยาท่าทางของร่างทรง เสียงหรือเคล็ดอะไรสักอย่าง มีอำนาจเยียวยารักษาคนเจ็บให้หายได้. ฉันบอกตัวเองว่า ฉันจะต้องค้นคิดต่อไป หาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปฏิกิริยาของสมอง ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ.
          ในที่สุด ปีที่แปด ฉันได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการว่าเป็น « Ougan » ในภาษามงโกเลียนที่แปลว่า หญิงที่ได้พรสวรรค์ และได้รับการฝึกตรงตามขนบชามันของชาวมงโกเลียน. (Corine Sombrun เป็นสตรีชาวยุโรปคนแรกที่มี «พรสวรรค์» ตรงตามมาตรฐานของชาวมงโกเลียน).

          เมื่อฉันกลับมาฝรั่งเศส คนแรกที่ฉันไปพบและเล่าประสบการณ์ของฉัน บอกฉันว่า เขามีเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์ เก่งทีเดียว แนะนำให้ฉันไปหาหมอคนนั้น. โชคดีที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่คิดแบบนี้. ฉันได้พบ Pierre Etevenon ผู้เคยเป็นผู้อำนวยการของสถาบันวิจัยการแพทย์และสุขอนามัยแห่งชาติ INSERM (Institut National de la Santé et de la Recherche Médicale) คนนี้เคยศึกษาเรื่องสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดภาพหลอน ที่ทำให้เขาเข้าใจกระบวนการที่จิตสำนึกแปรเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น . เขาขอให้ฉันสาธิตสภาวะเข้าทรงให้ดู. ฉันตีกลองและเข้าสู่สภาวะเข้าทรง ฉันเป็นหมาป่า. เมื่อฉันออกจากสภาวะนั้น เขาบอกว่าน่าสนใจ แต่ปัญหาอยู่ที่กลอง. เพื่อดูว่าพฤติกรรมของสมองของฉันขณะที่ฉันอยู่ในสภาวะเข้าทรง ต้องเช้คสมองด้วยเครื่อง EEG  เอากลองเข้าไปในห้องแล็บคงทำไม่ได้ พื้นที่จำกัดคับแคบ จะให้ฉันไปเต้นกระโดดเป็นหมาป่าในห้องแล็บไม่ได้.  ฉันต้องหาวิธีอื่นเพื่อให้เกิดสภาวะเข้าทรงแบบเดียวกัน โดยไม่มีกลองเป็นตัวช่วย.
           ฉันไม่รู้หรอกว่า ฉันจะเข้าสู่สภาวะเข้าทรงด้วยเจตนาได้หรือไม่. ในมงโกเลีย พวกเขาไม่สนใจที่จะพิสูจน์เรื่องแบบนี้และฉันก็ไม่เคยลองไม่เคยเรียนมา.  ดังนั้นฉันลองตั้งใจทำตัวให้อยู่ในสภาวะเข้าทรง จิตเพ่งจดจ่อเหมือนเมื่อฉันได้ยินเสียงกลองดังขึ้นในมงโกเลีย  ทำตัวให้สั่นเทิ้มเหมือนที่ฉันเป็นเสมอในการฝึกตลอดแปดปีที่ผ่านมา ซึ่งมันกลายเป็นกลไกในตัวฉันไปแล้วกระมัง. ฉันฝึกจิตให้อยู่ในสภาวะของร่างทรงอยู่นาน และในที่สุด ฉันสามารถเข้าสู่สภาวะเข้าทรง เมื่อใดก็ได้ จะให้สภาวะนี้เกิดขึ้นและหยุดลงเมื่อใดก็ได้. ฉันกลับไปหา Pierre Etevenon และบอกว่าฉันพร้อมแล้ว. ฉันแสดงตนในสภาวะเข้าทรงให้เขาดูอีกครั้งหนึ่ง. เขาตัดสินใจส่งฉันไปยังนักวิจัยคนอื่นๆในแขนงที่เกี่ยวข้องที่น่าจะดำเนินเรื่องต่อไปได้มากกว่าตัวเขาเอง. แต่มีนักวิจัยที่ไม่ตื่นเต้นสนใจศึกษาสมองของฉัน. คนที่สนใจจริงๆคือศาสตราจารย์ Flor-Henry ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทจิตวิทยา ทำงานในโรงพยาบาลประสาทที่เมือง Edmonton ในแคนาดา และเป็นผู้ควบคุมห้องแล็บเกี่ยวกับประสาทจิตวิทยาของที่นั่น. ฉันจึงเป็นหนูตะเภาของห้องแล็บของสถาบันวิจัยนั้น.  เขาให้ฉันแสดงสภาวะเข้าทรงให้ดู ต่อหน้านักวิจัย นักประสาทจิตวิทยา และนักจิตวิทยาทั้งหลายของโรงพยาบาล.  
          เมื่อฉันแสดงจบลง มีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า นี่เป็นการแยกตัวตน เป็นหลายบุคลิกที่รุนแรงมาก.  อีกคนพูดว่า นี่อาจเป็นพหุภาวะของบุคลิกภาพ... อีกคนพูดว่า อาจเป็นอาการของสมองอักเสบเพราะติดเชื้อไวรัส ฯลฯ  แต่ที่น่าแปลกสำหรับนักวิจัยที่มาดูฉันคือ การที่ฉันสามารถควบคุมสภาวะ ผิดปกติ นั้นได้ และสามารถหยุดและออกจากสภาวะนั้น.

Corine Sombrun ในห้องแล็บกับศาสตราจารย์ Flor-Henry
ติดเครื่องวัดคลื่นสมองบนศีรษะ
ภาพ Corine Sombrun ในห้องแล็บ ขณะเป็นร่างทรง กำลังหอนเสียงหมาป่า
ศาสตราจารย์ Flor-Henry ได้บันทึกไว้  เสียงหอนของหมาป่านั้น เหมือนหมาป่าจริงๆ
มิใช่แค่ในไม่กี่วินาทีแต่เป็นเสียงยาวต่อเนื่องตลอดเวลาที่เธออยู่ร่างทรง

         ขั้นต่อไป คือการสาธิตในห้องแล็บโดยมีสายระโยงระยางของเครื่องวัดคลื่นสมอง EEG (electroencephalograms) บันทึกคลื่นสมองในสภาวะปกติและในสภาวะของร่างทรง.  คลื่นสมองในขณะเข้าทรงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด และหลังจากใช้เวลาวิเคราะห์ ศาสตราจารย์ Flor-Henry ได้ให้ผลตอบมาว่า สมองของฉันปกติทุกอย่าง ไม่มีอาการของโรคใดๆ สุขภาพสมองเยี่ยม. แต่ในขณะเข้าทรงนั้น คลื่นสมองฉันเหมือนคลื่นของคนป่วยสามประเภทพร้อมกัน นั่นคือ ผู้ป่วยอาการหนักจากโรคซึมเศร้าหนึ่ง,  คนไข้โรคจิตหรืออยู่ในสภาพคลุ้มคลั่งหนึ่ง, และคนป่วยโรคจิตที่เก็บตัว ทำตัวแปลกๆ เห็นภาพหลอนอีกหนึ่ง. เขาบอกว่านี่เป็นการค้นพบครั้งสำคัญเกี่ยวกับสมอง เพราะไม่เคยมีใครคิดกันมาก่อนว่า สมองคนปกติ สุขภาพดี ด้วยความตั้งใจของคนนั้นเอง ได้กระตุ้นให้สมองมีสภาพเจ็บป่วยถึงสามแบบพร้อมกันในเวลาเดียวกัน ในระยะเวลาที่ต้องการ แล้วก็กลับเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น.
           ผลจากการทดลองครั้งนี้ ได้ปูทางสู่การจัดตั้งโครงการวิจัยเรื่องการเข้าทรงตามวิถีชาวมงโกเลียนเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ในแขนงประสาทจิตวิทยาของสถาบัน. คำถามต่อไปคือ ถ้าสมองคนสามารถแปรเปลี่ยนไปในสภาวะอื่นๆและกลับคืนสู่สภาวะปกติได้  เทคนิคของการเข้าทรงที่ถือปฏิบัติกันมาในมงโกเลีย  น่าจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสภาพป่วยสามแบบนั้นได้.  ณปัจจุบัน ยังไม่มีการยืนยัน ไม่มีคำตอบ งานค้นคว้าจึงยังต้องดำเนินต่อไป. ศาสตราจารย์ Flor-Henry จักนำผลการทดลองออกพิมพ์ ในวารสารวิทยาศาสตร์ ส่วนฉันได้เขียนเล่าการผจญภัยครั้งนี้ไว้ในหนังสือ (เช่น Mon Initiation chez les chamanes, Albin Michel 2004. Les Esprits de la steppe, Albin Michel 2012. Fabienne Berthaud สตรีนักเขียน นักแสดงและผู้กำกับภาพยนต์ชาวฝรั่งเศส ได้ติดต่อขอนำเล่มแรกไปทำเป็นภาพยนต์ ในชื่อว่า Un Monde plus Grand และมีกำหนดนำออกฉายในโรงภาพยนต์ในวันที่ 30 ตุลาคมปี 2019).

การผจญภัยครั้งนี้ได้สอนฉันอะไรบ้าง?
         นอกจากได้สอนให้ฉันรีดนมกวางเรนเดียร์เป็นแล้ว ฉันได้เรียนรู้ว่า ฉันสามารถเข้าสู่สภาวะของการเข้าทรงเมื่อใดก็ได้ที่ฉันต้องการ. หมายความว่า นั่นเป็นศักยภาพหนึ่งของสมอง ที่พวกเราทุกคนน่าจะเข้าถึงได้เช่นเดียวกัน. จึงไม่ใช่ปาฏิหาริย์หรือพรสวรรค์ของชาวมงโกเลียนโดยเฉพาะ. หลายคนในฝรั่งเศสได้พัฒนาศักยภาพนี้แล้ว. ส่วนภาพต่างๆที่ฉันเห็นในสภาะวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เป็นการสัมผัส การรับรู้ความจริง ที่ครอบพื้นที่ออกไปกว้างกว่าปกติ  ขยายโลกออกไปในมิติอื่นๆที่ตามองไม่เห็น. ภาพต่างๆเกิดจากการเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาในเซลล์สมองของฉันหรือมิใช่?  ทำไมเสียงกลอง หรือสำนึกว่าได้ยินเสียงกลอง ทำให้ฉันกลายเป็นร่างทรงได้ทันที. ความรู้จากประสบการณ์เป็นร่างทรง จะนำไปใช้ประโยชน์ในการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเด็ดขาดจริงๆไหม?  ณปัจจุบันนี้ ยังไม่มีนักวิจัยคนใดกล้ายืนยัน (เพราะคงไม่มีนักวิจัยคนไหนที่มีประสบการณ์เป็นร่างทรง).
         Chris Frith (1942-) นักประสาทจิตวิทยา แห่ง University College of London พูดไว้ว่า โลกที่เห็น(หรือที่คิดว่าเห็น) ไม่ใช่โลกของความเป็นจริง เป็นเพียงภาพของโลกภาพหนึ่งที่สมองสร้างขึ้นมา. แต่โลกที่ชามันเห็นในจิตใต้สำนึกของคนป่วย คนมีปัญหาที่ไปขอให้ชามันช่วยนั้น เป็นไปตามสภาพจิตของแต่ละคนมิใช่หรือ? ชามันสร้างโลกภายในของแต่ละคนหรือ? ยังต้องคิดวิเคราะห์ต่อไป.
         ในปี 2005 เธอได้ร่วมในโครงการวิจัยกับอาสาสมัครจำนวนกว่าห้าร้อยคน เพื่อบันทึกสภาวะของร่างทรงด้วยคลื่นเสียง. ผลที่ได้ คือ 85% ของผู้เข้าร่วม ตกอยู่ในสภาวะของร่างทรง. การทดลองนี้ยืนยันว่า การเข้าทรงมิใช่เป็นพรสวรรค์ของเหล่าชามันเท่านั้น แต่เป็นศักยภาพของสมองคน ที่ทุกคนมีได้และพัฒนาให้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้. ผลจากการทดลองนี้ ได้สร้างเครือข่ายใหม่ๆในการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ (โดยเฉพาะในแขนงประสาทจิตวิทยาศาสตร์) เช่นที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเมือง Liège [ลีแอ๊จ]ในเบลเยียม (สถาบัน CHU - Centre Hospitalier Universitaire de Liège) ที่มี Steven Laureys เป็นผู้อำนวยการ และได้สถาปนาสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ Trance Science Research Institute ขึ้น ให้เป็นศูนย์นานาชาติรวมนักวิจัยที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับกลไกและการนำศักยภาพพิเศษนี้ไปใช้ในการเยียวยารักษาโรค ที่เรียกกันตั้งแต่นั้นว่า Transe cognitive.
          Corine Sombrun ยังได้ร่วมมือกับศาสตราจารย์ Marc Henry เพื่อดูว่า สภาวะของการเข้าทรงว่าส่งอิทธิพลของน้ำด้วยหรือไม่. Marc Henry ให้เธอเข้าทรงไปดูน้ำในแก้วหนึ่ง เธอบอกว่า น้ำถ้วยนั้นสงบ เงียบ เรื่อยๆเอื่อยๆ เหมือนดนตรีเบาๆที่คนนิยมเปิดฟังเป็นพื้นหลัง.  จบแล้วไปเข้าทรงในน้ำอีกแก้วหนึ่ง เธอบอกว่าน้ำแก้วที่สองรุนแรง มีพลังคุกกรุ่น เป็นพลังบวก. เมื่อออกจากสภาวะเข้าทรง Marc Henry บอกว่า น้ำทั้งสองแก้วมาจากแหล่งเดียวกัน ไม่ต่างกัน. เพียงแต่น้ำในแก้วที่สอง มีการกระตุ้นน้ำในแก้ว (เช่นการคนน้ำวนไปมาก่อน). เธอไม่รู้ว่าน้ำมาจากไหนอย่างไร ใครทำอะไรกับน้ำมาก่อนหรือไม่. แต่เธอรู้สึกเช่นนั้นเมื่อเธอเข้าทรงไปดูน้ำในแต่ละแก้ว. และที่น่าสนใจคือ Marc Henry ได้บันทึกให้เธอดูว่า เมื่อเธอเข้าทรงไปดูน้ำแก้วที่สอง มือของเธอทำท่าคน ท่าวนๆเวียนๆ (ดังกระแสน้ำวน หรือ vortex). Marc Henry ได้ทดลองและพิสูจน์ในห้องแล็บมานานแล้วว่า อารมณ์และจิตสำนึกของคนส่งผลต่อน้ำที่เราดื่ม เป็นต้น.
        ควบคู่ไปกับการร่วมมือกับนักวิจัยในเครือข่ายดังกล่าวมาข้างต้น Corine Sombrun ได้รับเชิญไปบรรยายตามสถาบันต่างๆ. นอกจากร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ ยังร่วมมือกับศิลปินคนอื่นๆเพราะเธอเองเชี่ยวชาญเรื่องดนตรีและประพันธ์ดนตรีประกอบ. เธอเขียนหนังสือจำนวนมากจากประสบการณ์และจากการวิเคราะห์วิจัย ที่มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ.

ชามันในบริบทของชาวมงโกเลียคืออะไร
         ชามัน คือคนกลางที่เชื่อมโลกมนุษย์กับโลกของวิญญาณ. วิญญาณที่เราเรียกว่าวิญญาณทิพย์ในบทความนี้ อาจเป็นบรรพบุรุษ เป็นสัตว์ เป็นพืชพรรณ ที่มีหน้าที่ดูแลโลกมนุษย์และธรรมชาติให้สมดุล. หากใครทำลายความสมดุลนี้ วิญญาณทิพย์ย่อมไม่พอใจและจะดลบันดาลให้คนนั้นมีปัญหาประเภทต่างๆเพื่อบอกให้เขารู้ตัวว่าได้ทำอะไรที่ไม่ดี. เกิดปัญหากับคนนั้น หรือคนนั้นเจ็บป่วยลงโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน. เขาไปหาชามันเพื่อให้ชามันช่วยติดต่อวิญญาณทิพย์ว่า เขาทำอะไรพลาดไป ถึงได้เจ็บป่วย กลัดกลุ้มฯลฯ.  ด้วยเสียงกลอง ชามันเปลี่ยนเป็นร่างทรง ไปพบวิญญาณทิพย์และเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาเห็นโซนมืดดำของจิตสำนึกคนนั้น ขอคำแนะนำเพื่อเยียวยาคนนั้น. คนนั้นต้องทำพิธีเซ่นไหว้วิญญาณทิพย์ ขอขมาและสัญญาจะไม่ทำเช่นนั้นอีก.
        หน้าที่และพิธีกรรมของชามันร่างทรง มีมานานแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Neolithic) เมื่อราวเจ็ดแปดพันปีก่อน ที่อาจถือว่าเป็นขนบธรรมเนียมของลัทธิความเชื่อแบบหนึ่ง. ขนบดั้งเดิมของพวกเขา แสดงวิถีชีวิตที่ติดดิน ติดกับดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติเต็มตัวเต็มใจ และที่สำคัญควบคู่กันคือ การเคารพเชื่อฟังวิญญาณทิพย์เต็มหัวใจโดยไม่มีเงื่อนไข. แต่ละคนมิได้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เป็นตัวตนโดดเดี่ยว แต่เชื่อมต่อติดกับทุกอย่างรอบข้าง กับวิญญาณสำนึกของสรรพสิ่งบนโลก. ชามันในฐานะตัวเชื่อมของสองโลก มีหน้าที่ความรับผิดชอบสูงมาก ยิ่งเป็นกรณีที่คนป่วยอาการปางตาย เขาต้องรู้จักต่อรองกับวิญญาณทิพย์เพื่อขอชีวิตให้คนนั้น จนบางครั้งอาจต้องแลกด้วยชีวิตของเขาเอง. ในกรณีง่ายกว่า การเข้าทรงทำให้ชามันเห็นโซนลึกลับโซนมืดในจิตวิญญาณของคนป่วย แล้วหาวิธีหรือขอคำแนะนำวิญญาณทิพย์ เพื่อไปกำจัดความมืด ความไม่สมดุลภายในคนนั้น. เช่นนี้หลายคนจินตนาการชามัน เมื่อเห็นร่างทรงนั้นลุกขึ้นร้อง รำหรือเต้นไปมา ส่งเสียงอะไรแปลกๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ ว่าเป็นการแสดงที่ตื่นตาตื่นใจ เขาเห็นเพียงสภาพภายนอกของพิธีกรรมเท่านั้น ตัวชามันผู้เป็นร่างทรงเอง ต้องมีจิตวิญญาณเข้มแข็ง ต้านแรง ต้านพลังต่างๆที่เขาสัมผัส รับรู้ได้ และต้องรู้จักสกัดการสื่อสารกับวิญญาณทิพย์ที่มาปรากฏกับเขาในรูปแบบต่างๆ ให้เป็นสิ่งเยียวยาคนเจ็บคนป่วยได้ในที่สุด. ในปัจจุบัน ยังมีชนเผ่ามงโกเลียนที่ใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรไปบนดินแดนทุ่งหญ้าสเต๊ปป์ในไซบีเรียอยู่อีก การสืบทอดประเพณีการเข้าทรงตลอดจนการเลือกบุคคลให้เป็นร่างทรงนั้น ยังมีอยู่ แต่ไม่ช้าไม่นาน ก็อาจหายสาบสูญไปได้.
ภาพของ Marcin Konsek / Wikimedia Commonsเต๊นต์ที่อยู่บนดินแดนสเต๊ปป์ ระหว่างเมือง Ulan Bator และ Kharkhorin ในมงโกเลีย. ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2010.
มองไกลออกไปตอนบนของภาพ เห็นแนวเนินทรายยาวเหยียดของทะเลทรายโกบี (sands dunes of Khongoryn Els, Gobi Gurvansaikhan National Park, Ömnögovi Province, Mongolia. ภาพของผู้ใช้นามว่า User:Doron ในเว็บเพจ
http://creativecommons.org/licenses/by-sa/3.0/

         จีนที่เคยบีบคั้น กำจัดขนบโบราณความเชื่อทางไสยศาสตร์ให้หมดสิ้นไปจากมงโกเลีย ที่มองในแง่หนึ่งเป็นการบีบคั้นเชิงปรัชญามากกว่า เพราะการที่ชาวมงโกเลียนเชื่อว่ามีโลกของวิญญาณทิพย์ ขัดกับปรัชญาและอุดมการณ์ของพรรคคอมมูนิสต์จีน ที่มุ่งหมายจะเปลี่ยนมงโกเลียให้เป็นประเทศทันสมัย. ต่อมาจีนคอมมูนิสต์เอง กลับประกาศเปิดแดนมงโกเลียให้นักท่องเที่ยวเข้าไปได้. เมื่อมีนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกเข้าไป จีนอนุญาตให้แสดงพิธีกรรมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เบนขนบธรรมเนียมไปเป็นเครื่องมือทำเงิน และสร้างฐานของอุดมการณ์วัตถุนิยมมากขึ้นๆในหมู่ชาวมงโกเลียผู้เคยอยู่กับธรรมชาติเท่านั้น.
         Corine Sombrun เล่าว่ายุคที่เธอไปเรียนเข้าทรงนั้น ครูผู้สอนของเธอเกิดในปี 1957 บิดามารดาถูกชาวจีนฆ่าตายเมื่อรู้ว่าครอบครัวเธอเป็นชามัน. ตัวเธอเองต้องหลีกลี้ผู้คนไปไกลในภูเขา ต้องแอบฝึกปฏิบัติการเข้าทรงในที่ลับตาคน มิให้ถูกจับได้ และเพราะเธอมีพรสวรรค์ดังที่หัวหน้าชามันบอกเธอ เธอจึงต้องเรียนและฝึกให้เป็นร่างทรงเพื่อชุมชนของเธอ.
         ทุกอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 เมื่อจีนสั่งเปิดประเทศมงโกเลีย และส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อนำเงินเข้าประเทศ. จากเดิมในปี 2001 ที่มีชามันเพียง 30 คนในหมู่ชาวมงโกเลียนประมาณสองล้านแปดแสนคน บัดนี้มีถึง 3000 คนแล้ว เพราะยังมีชามันกำมะลอปนอยู่ด้วยจำนวนมาก ที่แสดงให้นักท่องเที่ยวดู เพื่อหาเงิน. แต่เดิมการเข้าทรงทำกันในยามค่ำคืน เดี๋ยวนี้ เพื่อความสะดวกของคณะท่องเที่ยว ก็จัดแสดงได้ในตอนห้าโมงเย็นเป็นต้น. กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไป ก็ยินดีจ่ายเงินถึงพันเหรียญสหรัฐเพื่อดูพิธี. เช่นนี้ อำนาจของวัตถุนิยมจึงเข้าไปปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวมงโกเลียน ซึ่งนับว่าน่าเห็นใจอยู่ ในเมื่อพวกเขาไม่มีอะไรที่เป็นความสะดวกของโลกสมัยใหม่เลย อย่าว่าแต่รถยนต์ โทรทัศน์ จานดาวเทียม โทรศัพท์ แม้น้ำ ไฟฟ้า ก็ยังไม่มี.  
           สิบสองสิบสามปีต่อมา เมื่อเธอกลับไปเยือนชุมชนชาวมงโกเลียนที่เธอเคยอยู่ด้วย  เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน. ที่สะดุดตาสะดุดใจเธอเป็นที่สุด คือ โทรศัพท์มือถือ ที่ห้อยลงมา ระหว่างชิ้นเนื้อสัตว์ ที่แขวนตากแห้งเป็นอาหาร. การตั้งเต๊นต์ของชนเผ่าเดี๋ยวนี้ ก็เลือกไปตั้งตามแนวที่มีสายไฟฟ้าผ่าน เพื่อให้รับคลื่นวิทยุโทรทัศน์ คลื่น wifi ได้เป็นต้น.  เมื่อก่อน ชาวมงโกเลียนย้ายถิ่นฐานไปบนดินแดนที่มีหญ้า มีอาหาร สำหรับฝูงกวางเรนเดียร์ที่พวกเขาเลี้ยงเพื่อขายหนังและเป็นอาหาร.
         วัตถุนิยมจึงเป็นตัวกัดกร่อนชนเผ่ามงโกเลียและขนบธรรมเนียมดั้งเดิมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่คงถูกปราบเหี้ยนเตียนไปในไม่ช้า...ไม่ใช่ด้วยกำลังทหารอีกต่อไป. หากยังมีพิธีเข้าทรง เหลือให้เห็นต่อมา ก็น่าสงสัยว่า เป็นการเข้าทรงจริงเพื่อความสงบสันติ เพื่อเยียวยาแก้ไขปัญหาของชุมชน หรือเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น.
         ในฝรั่งเศสจนถึงอเมริกา เมื่อผู้คนได้รู้เห็นและได้อ่านหนังสือของ Corine Sombrun ที่เล่าถึงประสบการณ์การไปเรียนเข้าทรงที่มงโกเลีย และที่เธอเขียนเล่าเกี่ยวกับ วิญญาณแห่งทุ่งหญ้าสเต๊ปป์ (Les Esprits de la Steppe, Albin Michel, 2012) มีผู้สนใจมาก. เธอเองก็มีส่วนสร้างกระแสในหมู่ชาวตะวันตก เกิดการจัดทัวร์มุ่งไปเยือนมงโกเลียอย่างเฉพาะเจาะจง. ในเวลาไม่กี่ปี มีชาวตะวันตกประกาศตนเป็นชามันอีกจำนวนมาก. เคราะห์ดีที่เธอมีจุดยืน มีจิตสำนึกของนักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ต้น จึงได้ยอมตนเป็นหนูตะเภาให้สถาบันประสาทจิตวิทยาศาสตร์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมของสมอง ด้วยความหวังว่าจะปูทางไปสู่ความรู้หรือการตระหนักรู้ใหม่ๆของจิตสำนึก.
         วิทยาศาสตร์สมัยนี้ จะยึดติดอยู่กับสิ่งที่จับต้องได้ เห็นได้ วัดได้เท่านั้น คงไม่ได้แล้ว ต้องคำนึงถึงบริบทแวดล้อมที่มีปัจจัยอื่นๆเพียบ ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น. เป็นการดีหากเปิดทั้งสมองและหัวใจออกกว้าง รับรู้ทุกกระแส ขยายหรือเปลี่ยนกรอบของวิชาการเก่าๆหรือความรู้คลาซสิกทั้งหลาย ให้กว้างขึ้น ก้าวข้ามกรอบแข็งและจำกัดของแต่ละวิชา ไปสู่ความรู้องค์รวมที่ครอบจักรวาลได้ในที่สุด.

           ข้าพเจ้าได้ฟังบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับ Corine Sombrun ผู้ได้รับเชิญไปร่วมเสวนาพร้อมกับศาสตราจารย์ Marc Henry นักเคมีนักควอนตัมฟิสิกส์และผู้เชี่ยวชาญเรื่องวิทยาศาสตร์น้ำ และติดตามไปฟังการบรรยายของเธอในสถาบันต่างๆ. เห็นเป็นเรื่องที่น่ารู้ จึงนำประสบการณ์ของสตรีปารีเซียนคนนี้มาเล่าอย่างย่อๆ.
         ในฐานะที่เธอเป็นชาวตะวันตก ที่เติบโตมาในระบบของการศึกษา การคิดหาเหตุหาผล การสังเกตวิเคราะห์เจาะลึก โดยไม่เกี่ยวกับศรัทธาหรือความเชื่อความหลงใด แต่เพราะความอยากรู้อยากเรียน อยากพิสูจน์ จนเป็นการท้าทายสมรรถภาพ สติปัญญา ความพร้อม ความเป็นตัวตนของเธอ  เธอสละอาชีพที่มั่นคง ความสุขสบายในประเทศที่เจริญมั่งคั่ง ไปอยู่ในหมู่ชาวมงโกเลียนบนดินแดนทุ่งหญ้ากว้างสุดสายตาของสเต๊ปป์ (steppe) ในไซบีเรีย เพื่อเรียนรู้ถึงแก่นเรื่องการเข้าทรง ที่ไม่น่าจะกลายเป็นวิธีการทำมาหาเลี้ยงชีพของเธอได้ในยุโรป... ข้าพเจ้าชื่นชมความเป็นคนเยี่ยงนี้ของเธอ. ชีวิตเธอมีส่วนผลักความคิด จินตนาการและความจำกัดของการเป็นมนุษย์ ไกลออกไปๆ ในหมู่สามัญชนชาวฝรั่งเศสและชาวยุโรป จนถึงนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายในโลกปัจจุบัน...
         เรื่องการเข้าทรง ยังแนะให้คิดหรือตระหนักว่า มีโลกที่ตามองไม่เห็น ที่เป็นโลกคู่ขนาน เป็นโลกในมิติอื่นๆที่คนสัมผัสได้ หากรู้จักลับประสาทสัมผัสและมีความตั้งใจ กับการใฝ่รู้ใฝ่เรียนด้วยวิญญาณสำนึกที่ดี เช่นการอนุรักษ์โลกและชีวิต.
       ชาวตะวันตกมองว่า การเข้าทรงตัวเอง จะด้วยเสียงดนตรีหรือเสียงสวด อาจเป็นวิถีเข้าไปมองสำรวจจิตสำนึกจนถึงจิตใต้สำนึกของตัวเอง นำไปสู่การปรับสมดุลระหว่างโลกภายนอกกับโลกภายใน เหมือนการเยียวยาตัวเองจากความเครียดประเภทต่างๆ.
       เมื่ออยู่ในสภาวะเข้าทรง Corine Sombrun กลายเป็นหมป่าทุกครั้ง.จิตใต้สำนึกของเธอคงมีอุปนิสัยของหมาป่า เป็นสำนึกเยี่ยงสัตว์ชนิดหนึ่ง สัตว์ที่หมายถึงธรรมชาติดิบ ธรรมชาติที่เติบโตมากับดิน น้ำ ลม ไฟ. ทุกคนมีธรรมชาติสัตว์ในตัว. น่ารู้ว่าใครเป็นสัตว์อะไรในจิตใต้สำนึก. มีผู้ศึกษาเรื่องนี้กันแล้ว (cf. Totem animals)
ภาพจาก Pinterest.com
       การเข้าทรงยังทำให้นึกถึงการร่ายรำจนเคลิ้มในลัทธิซูฟิซึม (Sufism) การรำหมุนตัวไปเรื่อยๆเหมือนวงโคจรของดวงดาวในจักรภพ ทำให้ผู้รำแยกกายในขณะนั้น ออกจากจิตที่มุ่งสู่พระเจ้า ที่โดยปริยายหมายถึงการยกระดับจิตสำนึกให้สูงขึ้น ดีขึ้นหรือบริสุทธิ์ขึ้น.
        การเข้าสู่ตัวเอง มองจิตของตัวเอง ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกสมาธิและสติตามแนวของพุทธด้วยเช่นกัน. เพียงแต่การเข้าทรงของชนเผ่ามงโกเลียในกรณีที่นำมาเล่านี้ เน้นการแก้ปัญหาสภาวะผิดปกติทางกาย ที่อาจโยงไปถึงการมีอะไรมืดมัว ไม่โปร่งใสในจิตวิญญาณ.
         ขนบการรักษาบรรเทาทุกข์ของคนโบราณ ที่ยังคงมีอยู่ในมุมต่างๆของโลก (เช่นในจีน อินเดีย แอฟริกา อเมริกาใต้) สืบทอดและยืนยันต่อมาถึงทุกวันนี้ ว่าอะไรที่ไม่น่าเชื่อ อย่าเพิ่งประณามว่า เป็นเรื่องไสยศาสตร์ เป็นความป่าเถื่อนหรือความหลงงมงาย ทุกอย่างเป็นไปได้และเป็นไปแล้ว. ทั้งยังเตือนคนอีกกลุ่มหนึ่งว่า อย่าเอาทักษะ ความรู้หรือขนบโบราณ ไปเป็นเครื่องมือหากิน มอมเมาหรือสร้างความหลงในเวทมนต์คาถา เบนออกจากทิศทาง ไปสู่การเพิ่มพูนกิเลสตัณหา สร้างความหวังในกามสุข ในโชคลาภ ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายดั้งเดิมของการเข้าทรงเลย.
         วันหนึ่งการแพทย์อาจยอมรับว่าภูมิปัญญาในโลกโบราณ มีอะไรดี หรือเป็นบทเรียนแก่คนรุ่นใหม่ได้. คนควรใช้เทคโนโลยีปัจจุบัน พัฒนาศักยภาพของการแพทย์แผนโบราณของชนหลายชาติหลายเผ่าพันธุ์ ให้เป็นประโยชน์ในการธำรงชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติมากขึ้น แทนการผลิตยาหรือผลิตภัณฑ์ใดที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์.

โชติรส รายงาน
๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๒.
---------------------------------------------------- 
ติดตามการบรรยายของเธอได้ในลิงค์ต่อไปนี้ ที่เปิดต่อไปยังลิงค์อื่นๆได้อีก >>

Le chamanisme avec Corine Sombrun, le 13 janvier 2013 (1:38:58)


Corine Sombrun: chamanisme et neuroscience – Nice Future 5. Publié sur youtube par Les Visionsutes, le 1 octobre 2015 (42:30)

Wednesday, August 21, 2019

Reincarnation

เซลล์ในร่างกายคนคือหน่วยความจำมหาศาล

ผนภูมิข้างบนนี้ ระบุจำนวนเซลล์ในร่างกายคน. การคำนวณได้ผลยืนยันว่า น้ำมีพิกเซลจำนวนมหาศาล. Pixel ย่อมาจากคำ picture element เป็นหน่วยเล็กที่สุดของภาพดิจิตัล. จุดเล็กๆแต่ละจุดเป็นข้อมูลสีหนึ่ง ขนาดเล็กมาก นำเรียงเข้าด้วยกัน เกิดเป็นภาพ. จอทีวีถูกแบ่งเป็นแม่แบบของพิกเซลจำนวนพันจำนวนล้านพิกเซล. ตาคนมองไม่เห็นแต่ละพิกเซล. ศาสตราจารย์ Marc Henry สนใจคณิตศาสตร์ ลงมือนับและยืนยันจำนวนเซลล์ในร่างกายว่า มี 3,72·1013 เซลล์ (หรือ 37.2 ล้านล้านเซลล์).  เซลล์ทั้งหมดแยกแยะได้ 56 แบบ.  เขาคำนวณจำนวนเซลล์ทั้งหมดว่า มีความจุได้ถึง 372 Po หรือ petaoctet ( octet เป็นหน่วยวัดข้อมูลดิจิตัลในระบบคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม. หนึ่ง octet = 8 bits. 1018 octets = 1000 Po) แล้วนำไปเทียบกับแผ่นดิสก์บลูเรย์ (BluRay Disc). ณปัจจุบันแผ่นบลูเรย์จุข้อมูลได้ยาว 264 ชั่วโมง. ความทรงจำของร่างกายคนคำนวณออกมาอยู่ที่ 372 petaoctet และเทียบเป็น Mega-Bytes (MB/s) หรือ Mega-Octets (Mo/s) เท่ากับความจุของบลูเรย์นานประมาณ 17 ศตวรรษ. น้ำในร่างกายจำนวน 99%  มีพื้นที่เป็นสนามสมานฉันท์จำนวนมาก จึงมีศักยภาพในการเก็บคลื่นความถี่ต่างๆมาก นั่นคือเก็บข้อมูลได้มาก. 
         มีผู้ตั้งคำถามว่า ตั้งแต่มีคนอุบัติขึ้นบนโลก จนถึงบัดนี้มีกี่คนแล้ว. ศาสตราจารย์ Marc Henry ก็คำนวญออกมาเป็นตัวเลข ว่ามีคนอยู่บนโลกมาแล้วทั้งสิ้นประมาณ 108 ล้านล้านคน. (สถิติของสหประชาชาติระบุว่า ประชากรโลกณปี 2017 อยู่ที่ 7.6 ล้านล้านคน และจะบรรลุ 11.2 ล้านล้านคนในปี 2100).
ศาสตราจารย์ Marc Henry คิดคำนวณให้ว่า คนๆหนึ่งสั่งสมข้อมูลความทรงจำตลอดชั่วชีวิตในตัวเขาเป็นปริมาณ 32·1018 octets.  จิตสำนึกของคน เกิดขึ้นเมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน โดยประมาณแต่ละคนเกิดมาแล้ว 700 ครั้ง(ชาติ) ได้จุความทรงจำไป 2.2x1022 octets. (รายละเอียดของการคำนวณตามที่ปรากฏในแผนภูมินั้น ให้นักคณิตศาสตร์ไปอ่านวินิจฉัยต่อไปเอง).  มุมมองของควอนตัมฟิสิกส์ ยืนยันการเวียนว่ายตายเกิด (reincarnation) ว่าเป็นไปได้จริง.
ภาพสรุปวัฏจักรน้ำ เปรียบกับวงจรการพัฒนาสติปัญญาและจิตสำนึก.
วัฏจักรน้ำ สรุปไว้ชัดเจนเข้าใจง่าย จากความชื้นและหรือฝน (hunidity/rain) à ไปเป็นธารน้ำแข็งตามขั้วโลก (Glaciers) à หรือตกเป็นฝนในแม่น้ำ (Rivers) à ลงในมหาสมุทร (Oceans) à อากาศร้อน น้ำระเหยเป็นไอ จับกลุ่มเป็นเมฆในท้องฟ้า (Atmosphere/Clouds)
วัฏจักรน้ำใช้เป็นบทอุปมาอุปมัยของวิญญาณสำนึกในจักรวาล จากมวลสสารหรืออนุภาค (Matter/Particles) àเป็นแสง (Light) à เป็นพลังงาน(Energy) หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Waves) à คือปัญญาของจักรภพ (Intelligence)

     เมื่อน้ำเป็นองค์ประกอบในเซลล์ร่างกายถึง 99%  ตัวตนที่แท้จริงของคนอยู่ที่ไหน รูปร่างหน้าตาหรือจิตสำนึก อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง เมื่อเทียบกับน้ำแล้ว เป็นเพียงเปลือกหรือเยื่อห่อหุ้มน้ำไว้เท่านั้น.  เนื้อหนังมังสา จึงไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง.
        คนคือน้ำ หรือน้ำคือชีวิต. เมื่อเจาะลึกลงถึงสมบัติของน้ำ ตลอดจนปฏิกิริยาของน้ำภายในร่างกาย (ดังอธิบายมาตั้งแต่สมบัติของอะตอมออกซิเจนกับไฮโดรเจน และพันธะไฮโดรเจน) ไม่มีข้อกังขาใดๆแล้วว่า คนคือน้ำ คือพลังงาน แสง เสียงและความถี่พร้อมกัน.  
       คนเป็นที่สุดของมวลสารและที่สุดของสมบัติควอนตัม โดยมีน้ำเป็นศูนย์ข้อมูลและความจำ ดังได้อธิบายมาตอนต้นแล้วว่า เมื่อน้ำรับข้อมูลใดไปแล้ว ข้อมูลนั้นจะไม่มีวันลบไปได้เลย. ข้อมูลนั้นจะส่งต่อไปในวงจรของน้ำในร่างกาย ตั้งแต่เกิดไปจนตาย ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันและต่อไปในอนาคต. ตามที่ได้อธิบายในเรื่องสมบัติของน้ำกับพันธะไฮโดรเจน (ตอนที่๔), น้ำในสถานะที่สี่และองค์ประกอบที่สามของน้ำ (ตอนที่๕) ทั้งหมดเพราะมีน้ำเป็นตัวกลางนี่เอง ที่ทำให้เราในชาติปัจจุบันนี้ ระลึกชาติในอดีตได้. หากคนนั้นมีจิตสงบ รู้จักมองลึกลงไปในตัวเขาเอง รู้จักตัดตัวเองออกจากมายาคติทั้งปวงของโลกปัจจุบัน เขาก็อาจเห็นชาติต่างๆที่เขาเคยผ่านมา.
         ทบทวนสั้นๆอีกครั้งว่า แต่ละคนเกิดเติบโตห่อหุ้มอยู่ในน้ำคร่ำในครรภ์มารดา ตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้  น้ำในร่างกายเปลี่ยนใหม่ไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน  เพราะน้ำเก่าถูก น้ำใหม่ๆที่ดื่มเข้าไปทุกวัน เข้าแทนที่ (นั่นคือร่างกายเปลี่ยนน้ำใหม่ทั้งหมดภายใน 15-20 วัน). แต่น้ำเดิมๆที่มีมาก่อน ที่เก็บกักข้อมูลทุกอย่างของชีวิตคนนั้นมาแล้ว ก็ถ่ายทอดข้อมูลต่อไปให้น้ำใหม่ที่เข้าไปแทนที่ เพราะน้ำมีความทรงจำ ดังที่พิสูจน์กันมาแล้ว ข้อมูลเก่าที่เคยมี จึงมิได้หายไป. ความทรงจำเรื่องเก่าเรื่องเดิม จึงมีการสืบทอดด้วยกระบวนการนี้ เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า.
         นอกจากข้อมูลเฉพาะของน้ำในร่างกายของแต่ละคน ยังมีข้อมูลน้ำที่เราดื่ม น้ำนั้นมาจากไหน ก็มีความจำที่น้ำนั้นเก็บมาตลอดเส้นทางวงจรของน้ำบนโลก ที่อาจสืบย้อนหลังไปเรื่อยๆจนถึงยุคโบราณ ยุคกำเนิดโลกเป็นต้น หากผู้นั้นได้เคยดื่มน้ำจากยุคนั้น.  มีผู้แนะว่า หากไปเจอน้ำที่ไหลละลายจากธารน้ำแข็ง จากภูเขาสูง จากน้ำตก น้ำในถ้ำลึก น้ำใต้บาดาลลึกๆที่ห่างไกลชุมชน น้ำในธรรมชาติที่สะอาดสวยงาม ให้ดื่มน้ำนั้น เพราะเป็น น้ำเฒ่า ที่มีพลังสูง มีความทรงจำของโลก ของธรรมชาติที่มันเคยไหลผ่านมา. จะเหมือนพบพลังงานต้นกำเนิดของชีวิต. น้ำใหม่หรือน้ำอ่อนวัย มีพลังน้อยกว่าอย่างเทียบกันมิได้เลย  ยิ่งเป็นน้ำผลิตจากระบบอุตสาหกรรม ผ่านระบบการขนส่งน้ำที่ไม่ถูกต้อง สมบัติและพลังงานของน้ำถูกทำลายเกือบหมดสิ้นแล้วกว่าจะมาถึงมือเรา. เพราะเหตุนี้ จึงมีการพัฒนาอุปกรณ์ตั้งแต่การกรองน้ำให้สะอาดขึ้น การกระตุ้นสมบัติของน้ำจนถึงการเพิ่มพลังงานให้น้ำด้วยกรรมวิธีต่างๆ.  

         ทบทวนกันอีกครั้งด้วยว่า 99% ของเซลล์ในร่างกายคนประกอบด้วยโมเลกุลน้ำและ 99.9% ในโมเลกุลน้ำคือความว่าง ที่คือหน่วยความจำมหาศาลที่กักข้อมูลความทรงจำ ที่ถูกแปลงเป็นคลื่นความถี่ภายในร่างกาย. สรุปสั้นๆได้ว่า จิตสำนึกของแต่ละคน สภาวะธรรม สภาวะจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล หรือบุญกรรมต่างๆที่ทำมาในชีวิต ถูกแปลงเป็นคลื่นความถี่ เก็บอยู่ในความว่างควอนตัมที่ไม่มีวันสลายลงไปได้.  เมื่อร่างกายตายลง ร่างกายเหือดแห้งลง แต่ความว่างนั้นยังคงอยู่(เพราะไม่มีเนื้อมีตัว ไม่มีมวลใด จึงไม่มีการสลาย) ติดไปกับวิญญาณสำนึก ที่ถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ หลุดออกจากร่างที่เป็นเพียงเปลือก. ความทรงจำต่างๆที่คนนั้นมีมาตลอดชีวิต ก็ยังติดตามวิญญาณสำนึกของเขาต่อไป เหมือนฟองอากาศฟองหนึ่งฟองเดียวกันกับวิญญาณ.  และเมื่อกลับมาเกิดในร่างใหม่ ก็มีความทรงจำนั้นติดเข้าไปในร่างใหม่ด้วย. ประเด็นนี้อธิบายว่า ทารกที่เกิดมาแต่ละคน มีอุปนิสัยต่างกันตั้งแต่เกิด เพราะเป็นอุปนิสัยที่วิญญาณนั้นเคยมีมาในอดีต.
          แต่ในโลกของคน-สัตว์สังคมทุกวันนี้ น้อยคนจำอดีตได้ หรือไม่รู้ตัวว่าเคยรู้หรือเคยเห็นอะไรมาแล้ว เพราะสังคมแวดล้อมสับสนเกินไป เพราะจิตติดอยู่กับสิ่งที่ตาเห็น ติดอยู่กับมายาทั้งหลายทั้งปวง จึงไม่เคยได้มองลึกลงไปภายในตัวเขาเอง. ตั้งแต่โบราณกาลในทุกศาสนาทุกขนบธรรมเนียม ปราชญ์ นักพรต ผู้นำศาสนาหรือพระสงค์ จึงปลีกวิเวก ออกไปจำศีลภาวนา ทำสมาธิ. คนที่อยู่ในสมาธิ คลื่นความถี่ของสมองลดต่ำลงมาก ทำให้พรมแดนที่แบ่งแยก จิตสำนึกกับจิตวิญญาณเปราะบางลง จนเกือบไม่มีอะไรขวางกั้น นั่นคือเข้าถึงซึ่งกันและกันได้หรือเกือบเป็นหนึ่งเดียวกัน. (คนที่นั่งฟังธรรมอย่างมีสมาธิ หากมีใครปล่อยคลื่นที่ดีที่กระตุ้นความสุข ความหวัง ความรักให้แก่คนนั้น เขาจะรับได้ทั้งหมด. cf. Milton Erickson). ผู้ปฏิบัติธรรมจนมีญาณแก่กล้า เขาก็เห็นย้อนหลังไปในอดีต  เข้าใจโลกในหลายมิติ มองทะลุความคิดและจิตสำนึกอื่นๆ(ของคนหรือของจักรภพ) ซึ่งกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับบุคคลเหล่านี้. การที่คนจำไม่ได้ ลืมอะไรๆไปเมื่ออายุมากขึ้นๆ เพราะโรคความจำเสื่อม หรืออยู่ในอาการโคม่าหรือในร่างที่สมองตายแล้ว ไม่ได้หมายความว่าความจำไม่มีอยู่ แต่สมรรถภาพการเข้าถึงความจำนั้นถูกรบกวนบดบังไป.
          ควอนตัมฟิสิกส์อธิบายการเวียนว่ายตายเกิด ตามแนววิทยาศาสตร์ มิได้เอาความเชื่อหรือศรัทธาของศาสนาใดมาเป็นประเด็นในการวิเคราะห์วิจัยในห้องแล็บวิทยาศาสตร์  จึงไม่เกี่ยวกับผลแห่งบุญกรรมที่มีส่วนกำหนดภพชาติหน้า ตามแนวพุทธ.[1]  
          ศาสตราจารย์ Marc Henry เล่าว่า เมื่ออายุ 47 เขาตายไปแล้ว สมองหยุดทำงาน หัวใจหยุดเต้นแล้ว แต่เขายังมีวิญญาณสำนึก เขาได้ยินและเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องที่ร่างเขานอนอยู่ในโรงพยาบาล. วิญญาณเขาหลุดออกจากร่าง ผ่านไปในอากาศ เขารู้สึกเบาสบาย ไม่เจ็บ ไม่กลัว เขายังเป็นตัวตนของเขาเต็มตัว ไม่ได้หายไปเลย  เพียงแต่อยู่ในมิติความว่าง  เป็นความว่างควอนตัม ที่อยู่นอกกาล/สถานที่ (spacetime) รู้สึกอิสรเสรี. เขาเล่าว่า การตายเป็นสภาวะที่สบายผ่อนคลาย ไม่มีอะไรน่ากลัว. สิ่งที่น่ากลัว กลับเป็นการฟื้นมีชีวิตอีกในนรกที่คือโรงพยาบาล (sic. เล่าเองในการบรรยายครั้งหนึ่ง). จนทุกวันนี้ เขายังมีชีวิตเหมือนคนปกติ มีโอกาสมาเล่าให้รู้ว่า การกระโดดไปสู่ความว่างควอนตัมนั้นเป็นไปได้  การแยกวิญญาณสำนึกออกจากร่างก็ทำได้เช่นกันและพิสูจน์ได้ด้วยเทคโนโลยีสมัยปัจจุบัน (มีโอกาสหน้าจะนำมาเสนอ).
         ศาสตราจารย์ Marc Henry จบการบรรยายด้วยการยกบทกวีของ Birago Diop (1906-1989) กวีและนักเล่านิทานชาวเซเนกัล (Sénégal) แต่งบทกวีเป็นภาษาฝรั่งเศส[2]  ย้ำว่า ให้เงี่ยหูฟังเสียงของสรรพสิ่งในโลก แทนการฟังเสียงของมนุษย์...
ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า สรรพสิ่งในโลกมีจิตสำนึก แสดงออกด้วยกระบวนการธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีเล่ห์กลมายาลวงทั้งหลายที่เป็นความชำนาญของมนุษย์โดยเฉพาะ.  Marc Henry ยืนยันว่า กวีผิวสีคนนี้ ไม่รู้เรื่องควอนตัมฟิสิกส์ ไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ แต่บทกวีของเขา บอกให้รู้ว่า เขารู้จักธรรมชาติ คนตาย การตาย การเกิดอย่างแท้จริง.
ใจความว่า จงฟังเสียงสรรพสิ่งบ่อยๆ ให้ฟังมากกว่าเสียงคน
 เงี่ยหูฟังเสียงไฟ, ฟังเสียงน้ำ.
ฟังเสียงลม เสียงพุ่มไม้สะอื้นไห้ : คือลมหายใจของบรรพบุรุษ...
คนที่ตาย ไม่ได้จากไปเลย : พวกเขาอยู่ในเงาไม้ที่สว่าง และในเงาไม้ที่หนาทึบ...
คนตายไม่ได้อยู่ใต้พื้นดิน: พวกเขาอยู่ในต้นไม้ที่สั่นเทิ้ม, พวกเขาอยู่ในป่าที่ครวญคราง, พวกเขาอยู่ในน้ำที่ไหล, พวกเขาอยู่ในน้ำที่หลับใหล, พวกเขาอยู่ในบ้าน,
พวกเขาอยู่ในหมู่คน : คนตาย ไม่ได้ตาย.

น้ำนำไปสู่ศรัทธา
        Jacques Collin [ฌ๊าค กอแล็ง] เป็นนักวิทยาศาสตร์ วิศวกรชาวฝรั่งเศส อยู่กับทองคำสีดำ เพราะเขาทำงานในอุตสาหกรรมน้ำมัน เกี่ยวกับน้ำมัน ตั้งแต่การขุดน้ำมัน ไปจนถึงกับวางท่อเพื่อส่งน้ำมัน การผลิตและการขายน้ำมัน. ได้ไปทำงานช่วยเรื่องน้ำมันในหลายสิบประเทศ เป็นหัวหน้า ตัวแทน ที่ปรึกษา เจ้าของบริษัทเป็นต้น. ชีวิตอยู่ตามโรงแรมใหญ่ๆ กินดีอยู่ดีในต่างประเทศ. เมื่อมองย้อนกลับไป เขาบอกว่าอาชีพแบบนั้น เครียดมาก เป็นวิถีชีวิตที่เหมือนเส้นทางลาดลงสู่เหว ที่ทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยโรคชนิดต่างๆ ตรงข้ามกับสภาพฉาบฉวยหรูหราภายนอกที่คนเห็น.  ชีวิตเช่นนั้นได้สร้างปัญหารุนแรงแบบต่างๆในครอบครัว ตัวเขาเองก็เป็นสารพัดโรคเพราะความเครียดเป็นเหตุหนึ่ง.
          วันหนึ่งตัดสินใจลาออกจากทุกอย่าง จากบริษัทที่เขาเองมีส่วนสร้างและปั้นมากับมือ. เช่นนั้นจากระดับสูงสุด เขาตกลงในระดับต่ำสุด จนถึงขั้นไม่เหลืออะไรเลย.  มีเพื่อนยื่นมือมาช่วยเพื่อให้เขามีรายได้ยังชีพ ด้วยการเป็นนายหน้าขายเครื่องกรองน้ำ ไปเคาะตามครอบครัว อธิบายเครื่องมือและอุปกรณ์กรองน้ำระบบรีเวิซออซโมซิซ. ตอนนั้นเขาอายุ 56 ปีแล้ว เพื่อนที่เสนอให้งานเขานั้น เป็นอายุรแพทย์ (therapist) ได้อธิบายให้เขาเข้าใจเรื่องการใช้น้ำในการบำบัดสุขอนามัย.  เขาจึงสนใจขึ้นมาก.  เขาไปเข้าเรียนวิชาอายุรศาสตร์ เรียนเข้มอยู่หนึ่งปีเต็มและได้ประกาศนียบัตรอายุรศาสตร์สาขาธรรมชาติบำบัด.
         เมื่อต้องขายเครื่องกรองน้ำ เขาดื่มน้ำที่ผ่านการกรองจนเป็นน้ำบริสุทธิ์ได้ถึง 98%  และตระหนักว่า น้ำสะอาดได้ชำระล้างสารพิษในตัวเขาลงไปมาก(รวมทั้งโรคมะเร็ง) ทำให้เขาศึกษาระบบการทำงานของเครื่องอย่างละเอียด และศึกษาองค์ประกอบเกลือแร่ในน้ำดื่มที่มีขายในท้องตลาดฝรั่งเศส. เห็นความแตกต่างในคุณภาพของน้ำและผลกระทบของน้ำต่อร่างกาย. เขาไม่ได้หยุดอยู่เพียงนั้น. เขาตามศึกษาค้นคว้าเรื่องน้ำจากผู้เชี่ยวชาญ จากแพทย์ จากนักวิทยาศาสตร์ในทศวรรษที่ 1980, 1990 เป็นต้นมา ติดตามผลงานวิจัยแนวหน้าทั้งหลาย ของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ และเรียนรู้ทฤษฎีความทรงจำของน้ำของ Jacques Benveniste ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยา ที่เขารู้จักเป็นการส่วนตัวด้วย. และเขาก็พบว่า ไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญน้ำอย่างแท้จริง จะหาคนที่เป็นพหูสูตรที่มีความรู้ทั้งในด้านเคมี ชีววิทยา สรีรวิทยา ฟิสิกส์ และโดยเฉพาะการแพทย์ ในคนๆเดียวกันนั้น เป็นไปไม่ได้. ชัดเจนว่าจนถึงปลายศตวรรษที่ 20 กระบวนการรักษาเยียวยาโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีการเอาน้ำเข้าไปเป็นประเด็นในการวินิจฉัยโรคเลย ทั้งๆที่ร่างกายคนประกอบด้วยโมเลกุลน้ำถึง 99%. (ให้นึกเทียบว่า เหมือนการปลูกดอกบัวในสระ เมื่อดอกบัวเหี่ยวเฉาตายเพราะแมลงหรือโรคใด  คนถอนต้นนั้นออก ปลูกต้นใหม่ หรือฉีดยาฆ่าแมลงเป็นต้น แทนการวินิจฉัยว่า ปัญหาเกิดจากน้ำในบ่อนั้นไหม มีสารปนเปื้อนไหลจากท่ออุตสาหกรรมไหนหรือเปล่า. แบบเดียวกับที่หมอรักษาแผล ฆ่าเชื้อโรค ตัดส่วนของร่างกายทิ้งไป กี่คนจะนึกถึงน้ำ 99% ที่ห่อหุ้มทุกอย่างในร่างกาย ไม่มีใครคิดฟอกน้ำให้สะอาด เติมพลังดีๆให้น้ำในร่างกายที่ห่อหุ้มอวัยวะทั้งหมดอยู่)
          เขามีความฝันติดค้างคาใจว่า อยากหนีสังคมชาวกรุง ไปอยู่ต่างจังหวัดท่ามกลางธรรมชาติ. เขานึกจินตนาการบ้านว่าจะเป็นเช่นใด ผังบ้าน รอบบ้าน. วันหนึ่ง มีผู้บอกขายบ้านร้างแห่งหนึ่งไกลจากชุมชน  เขาเดินทางไปดู มันตรงกับที่เขาวาดไว้ในฝัน จึงซื้อบ้านหลังนั้นไว้. อีกวันหนึ่งพบบ่อน้ำเก่าในบริเวณบ้าน ปิดมานาน เขาปราบพื้นที่รอบข้าง เปิดบ่อน้ำ และได้วิดน้ำขึ้นมาจากก้นบ่อ.  เขาลองดื่มน้ำนั้น บัดดล ทั้งร่างกายตื่นกระชุ่มกระชวยมาก เหมือนแสงสว่างแปล็บปลาบบังเกิดขึ้นในใจเขา.  เป็นความปิติที่สุดพรรณนา. เขาหาความลึกของบ่อ เหมือนที่เขาเคยมีประสบการณ์ในการขุดบ่อน้ำมัน ในที่สุด เข้าใจว่า น้ำนั้นมาจากธารน้ำใต้ดินลึกมาก เป็นแหล่งน้ำบาดาลหรืออาร์ทีเซียน (aretsian well) ที่มีคุณภาพสูง.
         น้ำที่เขาดื่มจากบ่อนั้น สะอาดบริสุทธิ์ นำจิตสำนึกของเขา ย้อนหลังไปไกลในอดีต ตั้งแต่กำเนิดโลก วิวัฒนาการของภูมิประเทศ ภูมิอากาศ. ความที่เขาเป็นวิศวกรและมีความรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยาจากประสบการณ์การบริหารจัดการแหล่งน้ำมันที่เขาเคยทำมาจนเมื่อเขาอายุ 56 ปี  ทำให้เขาดีใจมากที่พบบ่อน้ำแสนวิเศษเช่นนั้น. ความปลื้มปิติที่ได้สัมผัส «น้ำโบราณ»[3] ทำให้เขาตระหนักว่า น้ำมีเวทมนต์วิเศษอื่นๆ นอกเหนือจากการฟื้นฟูระบบอวัยวะและสภาวะเซลล์ในร่างกาย.
         เช่นนี้ เขาติดตามหาความรู้เรื่องน้ำในคัมภีร์ไบเบิล ในขนบธรรมเนียมของชนชาติโบราณในโลกยุคก่อนคริสตกาล รวมถึงอีจิปต์ อินเดีย จีนฯลฯ ที่ต่างให้ความสำคัญแก่น้ำที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในทุกพิธีกรรม ผูกพันคนกับธรรมชาติเข้าด้วยกันอย่างสมดุลและงามงด.  การได้สัมผัสน้ำและการตระหนักถึงความทรงจำของน้ำ ทำให้เขาเหมือนได้เข้าถึงน้ำศักด์สิทธิ์ที่เล่าไว้ในคัมภีร์ไบเบิล เมื่อพระเยซูพูดถึง น้ำแห่งชีวิต แก่นางชาวซามารีแตนคนหนึ่ง ที่ตักน้ำจากบ่อมอบให้พระเยซูดื่ม. พระเยซูบอกนางว่า  น้ำจากบ่อนี้ ดับกระหายชั่วคราว แต่น้ำที่พระองค์จะให้ดื่มนั้น จะกลายเป็นน้ำพุในตัวผู้ดื่ม เป็นน้ำพุที่ไม่มีวันเหือดแห้ง และผู้ดื่มน้ำนั้น ก็จะไม่กระหายน้ำอีกเลยชั่วกัลปาวสาน (John 4:10-16).  
         บันทึกตอนนี้ในคัมภีร์ของจอห์น เป็นปริศนาธรรมให้เข้าใจว่า การเสาะแสวงหาน้ำเพื่อดับกระหายในชีวิตคน (โดยเฉพาะของผู้คนที่อยู่ในแถบที่ไม่มีน้ำดื่มน้ำใช้เพียงพอ) เป็นการแสวงหาสัจธรรมด้วย เพื่อก้าวข้ามมิติจำกัดของกายภาพ สู่มิติของจิตวิญญาณด้วยศรัทธา. Jacques Collin ได้ค้นพบความหมายของชีวิต. มิติใหม่ๆที่แต่ละคนต้องค้นหาด้วยตัวเอง เขาทุ่มเททั้งกายและใจ ด้วยการฟังเสียงภายในของตัวเอง เพราะร่างกายมีปัญญา มีกระบวนการเสริมสร้างชีวิตเพื่อให้คนบรรลุความสุข ความรัก ความปิติ ที่เป็นความถี่ที่ขับเคลื่อนจักรวาล. น้ำอยู่บนพรมแดนระหว่างโลกฟิสิกส์กับโลกเมต้าฟิสิกส์. 
          ประสบการณ์นี้ เป็นเหมือนแรงกระตุ้นจนเป็นศรัทธาแรงกล้า ที่ทำให้เขาทุ่มเทชีวิตให้แก่น้ำและกลายเป็นผู้เผยแพร่ความตระหนักรู้เรื่องน้ำแก่สาธารณชน มาจนถึงทุกวันนี้. ปัจจุบันอายุแปดสิบกว่าแล้ว สุขภาพแข็งแรง ไร้โรคาพยาธิเบียดเบียน. นอกจากการเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องน้ำหลายเล่ม เขารับเชิญไปบรรยายเรื่องน้ำ จนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง นอกกรอบของสถาบันการศึกษาตั้งแต่นั้น.  เขาเชื่อว่า น้ำจะเป็นพลังงานของโลกอนาคต หล่อหลอมสังคมในแนวใหม่. การค้นพบใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์ บอกให้รู้ว่า แต่ละขณะ เราเชื่อมต่อติดกับอดีตและอนาคตของเราเอง. เราเป็นผู้สำรวจกาลเวลา. ร่างกายเชิงชีวภาพของเรา ระบบพลังงานและระบบข้อมูลในตัวเรา เป็นเพียงจุดนัดพบชั่วคราวในปัจจุบันระหว่างชีวิตในอดีตกับชีวิตเราในอนาคต.  เขาสรุปว่า ความจริง มิใช่อยู่ที่ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ หรือปัจจุบันขณะเท่านั้น แต่อยู่ที่ ที่อื่นและเวลาอื่น ด้วย.  ตามที่ศาสตราจารย์ JP GARNIER MALET ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ระบบชีวภาพของคนตั้งอยู่ในแดนพหุมิติ ร่วมกันด้วยกันในเวลาเดียวกัน (interdimensionality) เหมือนอยู่ในโลกคู่ขนาน หรือเข้าถึงโลกอีกโลกหนึ่ง ที่ภูมิปัญญาในขนบและค่านิยมของชนเผ่าโบราณสืบทอดกันมา เช่นในการเข้าทรงเป็นต้น. 
          น้ำในร่างกายทำหน้าที่เป็นพื้นที่เชื่อม เป็นโปรแกรมประสานรอยต่อระหว่างนานามิติ.  เมื่อเป็นเช่นนี้ คนอาจค้นพบพลังของเขา ค้นพบบทบาทของเขาในการเป็นผู้สร้างคนหนึ่งของจักรภพ.  และท่ามกลางโลกหลายมิติ หลายกาลเวลา เขาจะพบความเป็นเอกภาพจริงแท้ดั้งเดิมของเขาเอง. 
ภาพจาก pinterest.com
เลโอนารโด ดา วินชี กล่าวไว้ว่า 
รู้จักมอง จะตระหนักว่า ทุกสิ่งเชื่อมกับสิ่งอื่นๆทั้งหมด.

นักวิทยาศาสตร์น้ำ ได้อาศัยควอนตัมฟิสิกส์เจาะลึกไปถึงบทบาทของน้ำและความทรงจำของน้ำที่เป็นตัวเชื่อมร่างกายกับวิญญาณสำนึก เชื่อมโลกใบจิ๋วของแต่ละคนกับโลกใบใหญ่ จนถึงจักรภพ.
        ควอนตัมฟิสิกส์ถูกมองในปัจจุบัน ว่าให้คำอธิบายที่ละเอียดลุ่มลึกเกี่ยวกับธรรมชาติมากกว่า และได้เข้าไปเสริมหลักการเดิมของฟิสิกส์คลาซสิกบนฐานทฤษฎีของนิวตันที่สืบทอดมาทั้งในระดับโลกใบจิ๋ว (microphysics) และในระดับโลกใบใหญ่ (macrophysics). จากจุดนั้น สมองคนและสภาวะจิตที่เกี่ยวข้องในระบบการศึกษากายภาพของสมองแบบคลาซสิก ก็ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลควอนตัมฟิสิกส์แล้ว. แต่ยังมีนักประสาทชีววิทยาที่คัดค้านหลักการของ ควอนตัมจิต ว่า มิอาจอธิบายกระบวนการทำงานของสมองและหรือจิต(ใต้)สำนึกได้ โดยที่พวกเขาเองก็หาวิธีอื่นอธิบายไม่ได้. 
        Dirk K.F.Meijer และ Simon Raggett (2016) ได้ลองเขาไปพิจารณา สาธยายสภาวะจิตต่างๆของคน ด้วยมุมมองของทฤษฎีควอนตัมสัมพัทธ์. ทั้งสองเชื่อว่า จักรภพเป็นคลื่นจำนวนมหาศาลที่ซ้อนๆกันเป็นชั้นๆ ไม่มีช่องแตกช่องปริ และสมองคนเป็นส่วนหนึ่งของจักรภพ. จิตสำนึกของเอกบุคคล จึงเป็นสมบัติอย่างหนึ่งของสสารทั้งมวล(matter).  เขายังใช้คำ matter จิตสำนึกไม่น่ามีมวลใดมิใช่หรือ. วิญญาณสำนึกของคน น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของพลังทั้งปวงในจักรภพ หรือเป็นการแสดงออกแบบหนึ่งในสนามควอนตัมจักรภพนี้.
        ในอีกด้านหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาระบบการทำงานของสมองและเซลล์สมอง ได้โยงใยไปถึงอารมณ์ความรู้สึก จิตสำนึก การเก็บความจำของสมอง อัตวิสัย ความเชื่อหรือศรัทธาของคนเป็นต้น และเกิดความคิดว่า เป็นไปได้ไหมที่จะสร้างแอ๊ปพลิเคชั่นเจาะจิตสำนึกของคน เหมือนสร้าง สมองกล หรือ ปัญญาประดิษฐ์ สู่การสร้าง จิตสำนึกประดิษฐ์...

วิญญาณสำนึกของคน เป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณสำนึกของจักรภพ

         มนุษย์ยังจะครุ่นคิดค้นกันต่อไป และเรายังจะได้รู้ได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ สัมผัสความเป็นไปได้แนวใหม่อีกมาก. อย่างหนึ่งที่มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน คือ การยืนยันว่า จักรภพมีวิญญาณสำนึก ว่าคนเป็นส่วนหนึ่งของจักรภพ มีส่วนร่วมเป็นผู้สร้าง ควบคุมจักรภพด้วยปัญญาและจิตสำนึก. จิตและวิญญาณสำนึกของคน เป็นทั้งผู้สังเกตและผู้สลักเสลาจักรภพ. 

โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์
๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๒



[1]  แต่ก็มีชาวตะวันตก(ที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์) ที่ผนวกเรื่องกรรม karma ตามที่เขาเข้าใจ เมื่ออธิบาย(แบบง่ายๆ)ว่า แต่ละคนมิได้เลือกเกิดตามความหวังหรือความพอใจ หากในชาตินี้ ยังมิได้ปลดสัมพันธ์ไม่ดีต่างๆกับใครหรืออะไรไปจนถึงที่สุด เช่นเคยมีเรื่องคาค้างใจกับใครที่ไม่ได้แก้ปลดล็อคก่อนตาย ก็จะเกิดอีก พบสถานการณ์แบบเดียวกันอีกกับใครคนหนึ่ง และจนกว่าเขาจะปลดล็อคตัวเองจากประสบการณ์ที่เคยมีกับคู่กรณีได้ด้วยการอโหสิกรรมแก่กัน เขาก็ยังจะเกิดและพบสถานการณ์แบบเดียวกันอีก. การอโหสิกรรมแก่กันในความคิดของชาวตะวันตกบางคน จึงเป็นตัวกำหนดการมาเกิดใหม่ เป็นตัวช่วยให้ปลดล็อคตัวเอง จนในที่สุดไปถึงชีวิตหน้าที่ไม่มีสัมพันธ์เชิงลบใดๆเหลือแล้ว พบความสุข เบิกบาน ปลอดโปร่งและอิสระ.
     ความคิดแบบตะวันตก แม้บางคนจะอ้างเรื่องกรรม ก็ไม่ไกลไปถึงสภาวะนิพพาน(ในแก่นพุทธศาสนา) จะด้วยความไม่เข้าใจหรือความไม่เชื่อหรือเหตุผลใดก็แล้วแต่. จุดหมายของการมีชีวิตและการเกิดใหม่ จำกัดอยู่ในการมีชีวิตที่เป็นอิสระเต็มที่ ไม่ว่าในมิติใด. การมีเสรีภาพในทุกเรื่อง เสรีภาพในการเลือกหรือไม่เลือกทำ อิสระจากข้อผูกมัด เป็นอุดมการณ์สามัญของชาวตะวันตกส่วนใหญ่ทั้งในชีวิตนี้หรือชีวิตหน้า. ยิ่งหากเชื่อในพระเจ้า(คริสต์หรืออิสลาม) พระเจ้าจะเป็นผู้ที่โอบอุ้มเขาไว้ด้วยความรักเมตตาอยู่แล้ว. การคิดติดอยู่กับความเป็นอิสระเสรีทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า จึงเป็นประเด็นสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่มิได้มุ่งสู่นิพพานในพุทธศาสนคติ. ค่านิยมของการมีชีวิตที่อิสระยังรวมการยอมรับสภาพการเป็นมนุษย์ การพร้อมจะสู้กับชีวิตอย่างกล้าหาญและท้าทายด้วย. อุดมการณ์ชีวิตแบบนี้ อาจฝังรากหยั่งลึกมาจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมโบราณ เช่นจากวรรณกรรมของโฮเมอร์ Homer ที่เร้าทั้งความคิดและความรู้สึก เมื่อยูลิซิสต้องเลือกระหว่างการมีชีวิตนิรันดร์ในความสุขที่สถาพร กับการเป็นมนุษย์ที่ต้องทนทุกข์กับการเกิดแก่เจ็บตาย ทนทุกข์กับอารมณ์ปรวนแปรทั้งของตนเองกับของคนอื่นๆ ทนทุกข์กับการอยู่กับการรักษาอำนาจหรือการปกป้องชีวิตทั้งของตนเองและคนที่เขารักฯลฯ. ยูลิซิส ปฏิเสธการมีชีวิตนิรันดร์ที่กาลิปโซ-Calypso เสนอให้เขา. เยี่ยงชายชาตรี เขาเลือกอยู่อย่างคนที่รู้เจ็บรู้ตาย รู้โลภรักโกรธหลง, สำหรับเขา คือการท้าทายจิตวิญญาณ, ท้าทายสติปัญญาว่าเขาจะรับมือสภาวะต่างๆของมนุษย์อย่างไร. ปรัชญาตะวันตกสรรเสริญความกล้าของคนที่แม้รู้ว่าสุดท้ายเขาอาจแพ้ แต่เขากล้าก้าวต่อไปเผชิญกับชีวิต. ประเด็นสำคัญในที่สุด คือการมีสิทธิ์เลือกทำหรือไม่ทำอะไร ความเป็นไทแก่ตน อิสรภาพและเสรีภาพของเขา มีค่ายิ่งกว่าชีวิตนิรันดร์ในหมู่เทพ. 

[2]  Birago Diop (1906-1989) กวีและนักเล่านิทานชาวเซเนกัล (Sénégal) ผลงานแต่งเป็นภาษาฝรั่งเศส.  เขาเรียนจบสัตวแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเมืองตูลูซ (Université de Toulouse, France) ในปี 1933 แล้วเป็นสัตวศัลยแพทย์ติดตามคณะรัฐบาลฝรั่งเศสไปในแดนซูดานหรือมาลีปัจจุบันและประเทศอื่นๆที่เคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส. ระหว่างปี 1961-1965 เป็นเอกอัครราชทูตของประเทศเซเนกัลอิสระ ไปประจำที่ประเทศตูนีเซีย. ตลอดชีวิต เขารณรงค์เพื่ออนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมของชาวผิวดำไว้ ร่วมกับ Léopold Sédar Senghor กวีและนักการเมืองชาวเซเนกัล ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศเซเนกัลยี่สิบปี (1960-1980). ทั้งสองได้ยกศักดิ์ศรี ธำรงขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม กับเชิดชูความงามของธรรมชาติของภูมิประเทศ ของชนชาวผิวดำในแอฟริกา ขึ้นสู่การยอมรับและความชื่นชมของชาวฝรั่งเศส.

[3]  โลกนี้ไม่มีน้ำใหม่ น้ำที่เราใช้ในปัจจุบัน คือน้ำที่มีมาตั้งแต่กำเนิดโลก ที่วนเวียนเปลี่ยนสถานะไป เป็นน้ำแข็ง เป็นไอ เป็นฝนที่ตกลงมา ซึมลงใต้ดิน ไหลขึ้นมาบนผิวโลก วนเวียนเป็นวัฏจักรน้ำ ที่เป็นวัฏจักรชีวิตคนด้วยในที่สุด และอธิบายการสืบทอดของความทรงจำเกี่ยวกับโลกจากจุดกำเนิดมาจนถึงปัจจุบัน. เช่นนี้ การมีโอกาสดื่มน้ำโบราณ ช่วยให้รำลึกถึงอดีตอันไกลโพ้นได้ เพราะน้ำมีความทรงจำ ดังที่พิสูจน์กันมาชัดเจนแล้ว  หากเขาทำจิตให้หลุดจากความวุ่นวายของโลกภายนอก และหันเข้ามองภายในจิตวิญญาณของเขา เมื่อนั้น เขาอาจเกิดรำลึกอดีตได้ โดยอาศัยน้ำที่มีในตัว ฯลฯ