Tuesday, December 29, 2020

Habes anchor

ได้ติดตามสารคดีและกิจกรรมของกองทัพเรือไทย เครือข่ายการบริการ และการรับใช้ประชาชนในยามวิกฤตแบบต่างๆ (cf. เพจ navy.mi.th/index.php) ตื้นตันใจไม่น้อย ส่วนตัวชอบกองทัพเรือมาก.  ทหารเรืออาจหลงตัวเองน้อยกว่าทหารบกหรือตำรวจ เมื่อตระหนักว่า ตัวเขานั้นเล็กกระจิริดเพียงใดเหนือน่านน้ำผืนมหึมาและใต้น่านฟ้าอันไพศาล.

ได้ฟังเพลง ดอกประดู่ ที่ขึ้นต้นว่า ฮะเบสสมอพลัน บทเพลงพระนิพนธ์ในพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์. แรงบันดาลใจสำคัญในการทรงนิพนธ์เพลงนี้ คือเหตุการณ์วิกฤตการณ์ปากน้ำ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ซึ่งเป็นที่จดจำกันได้ดีทุกคนสำหรับคนไทยในยุคนั้น. สันนิษฐานว่าทรงนิพนธ์เพลงดอกประดู่เมื่อ พ.ศ. 2448.

ติดใจสำนวนขึ้นต้นว่า ฮะเบสสมอ (habes anchor) ที่เริ่มต้นเพลงดอกประดู่.  ตามไปค้นหาที่มาของศัพท์ เท่าที่ค้นมาได้ มาจากภาษาละติน Habeō [อ๊าเบ่โอ] ไปเป็น habēre (to have, to hold), ใช้ในภาษาเก่าในหมู่นักเดินเรือชาวยุโรปสมัยศตวรรษที่ 18 เช่นใน Old Galician และ Old Portuguses ว่า aver แล้วเป็น haber และกระจายผันคำไปตามการใช้เป็น habeš / habēs / habē  ดังคำสั่งให้กว้านสมอขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับเดินทาง. เมื่อตรวจสอบการออกเสียงของคำดั้งเดิมตามนี้ หะเบสสมอ ควรเป็น ฮะเบสสมอ ดังที่ราชบัณฑิตยสภาเลือกใช้.

ทำนองเพลงดอกประดู่ เจาะจงไว้ว่า มาจากเพลง Comin thro’ th Rye ในภาษาสก็อต, มีชื่อเต็มว่า Coming though the Rye ที่เป็นบทกวีบทหนึ่งของ Roberts Burns (1759-1796, นักประพันธ์และกวีชาวสก็อต, ผู้เป็นกวีศิลปินแห่งชาติของสก็อตแลนด์, เขายังมีสมญานามที่คนตั้งให้เช่น Scotland’s favorite son, Ploughman’s poet). บทนี้ประพันธ์ขึ้นในปี 1782. บทกวีส่วนใหญ่ของ Robert Burns แต่งเป็นเพลงให้ร้องในหมู่เด็กๆ หมู่ลูกเสือเป็นต้น. จังหวะทำนองพื้นฐานคล้ายๆกันกับเพลงของนักร้องพเนจร (minstrel) ในยุคนั้น, อาจทอดจังหวะช้าหรือเร่งเร็วขึ้นแล้วแต่บริบท, ต่างกันไม่มากไม่น้อยจากเพลงหนึ่งไปอีกเพลงหนึ่ง. จากปีที่แต่งมาจนถึงทุกวันนี้  เนื้อร้องบทนี้มีหลายเวอชั่น การถอดความจากภาษาถิ่นสก็อตที่กวีใช้ เป็นภาษาอังกฤษปัจจุบัน ก็มีหลายเวอชั่น. ตัวอย่างที่นำมาให้ดูเป็นเวอชั่นหนึ่ง

เนื้อหาให้ภาพของทุ่งข้าวไรย์ (rye) มีหญิงสาวชาวนาที่เจาะจงชื่อไว้ว่า เจนนี่ (Jenny) เดินผ่านไปในทุ่ง ท่ามกลางสายฝน. เธอเปียกปอนทั้งตัว  กระโปรงผ้าหนาหนักชั้นนอก และเพ็ตติโค้ต (petticoats) ชั้นในหลายชั้น เปียกชุ่มน้ำ แนบตัว ทำให้เห็นสัดส่วนเรือนร่างของเธอชัดเจน. ผู้แต่งเห็นเธอในสภาพนี้บ่อยๆ เกิดความหลงใหลตามประสาหนุ่ม, เป็นความต้องตาต้องใจ. เนื้อหาเพลงจึงแฝงนัยของความรักใคร่ ดังท่อนที่แนะว่า gin (=should) a body meet a body หรือ gin a body kiss a body…

ในเวอชั่นอื่นๆ ยังมีเสริมกลอนอีกบทสองบทว่า หนุ่มอื่นๆ ต่างมีผู้หญิงของเขา   พวกเขาชี้เยาะว่าผมไม่มีสักคน   แต่สาวๆยิ้มๆให้ผม   เมื่อผมออกจากทุ่งไรย์   (เหมือนจะบอกว่า เขาได้รู้จักเธอแล้ว)

Ev'ry laddie has his lassie

None, they say, have I

Yet all the lassies smile on me

When comin' thro' the rye.

และจบลงเพราะผู้แต่งต้องจากไปว่า บนรถไฟมีหนุ่มเคลิ้มรัก  ผมรักตัวผมมาก  เธอชื่ออะไร อยู่ที่ไหน  ผมเลือกจะไม่บอก

Upon the train there is a swain

I dearly love myself

But what's her name or where's her name

I do not choose to tell

เนื้อเพลงเรียบง่าย สั้นๆ ตามสไตล์ของ Robert Burns เข้ากับทำนองเพลงพื้นบ้านชาวสก็อต. ทำนองยังนำไปใช้ประกอบเป็นเพลงอื่นๆต่อไปได้ เช่นกรณีเพลง ดอกประดู่  ของกองทัพเรือไทย, หรือเพลง Auld Lang Syne ที่มาเป็นเพลง สามัคคีชุมนุม , เพลง Skye Boat Song ที่ท่านอาจารย์นพคุณ ทองใหญ่ ใส่คำร้องใหม่ให้เป็นเพลงของนิสิตอักษรศาสตร์จุฬาฯเป็นต้น

เชิญฟังเพลง Coming through the rye เวอชั่นตัวอย่างสองสามเวอชั่นข้างล่างนี้ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

1) https://www.youtube.com/watch?v=byAvP_pIXO0

เสียง Florence Easton, soprano sings "Comin' Thro' the Rye." Recorded on September 26, 1928

2) https://www.youtube.com/watch?v=yLrIG51x3Jg

Siobhan Miller - Comin' Thro' the Rye

3) https://www.youtube.com/watch?v=l1_YsTiYTsw

เสียงผู้ชาย

*** และจบลงที่เพลง ดอกประดู่ 

https://youtu.be/W0WSdJwKCaA

ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับกองทัพเรือ ประวัติ ขนบธรรมเนียม ศัพท์ ฯลฯ เชิญเข้าไปเปิดอ่านในทุกแขนง >> navy.mi.th/index.php  

และเกร็ดย่อยชีวิตประสบการณ์ของบุคคลสำคัญในกองทัพเรือไทยในอดีตตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สี่ ได้ที่นี่ >> https://siamnavy.blogspot.com/

ปลาบปลื้ม สงบและรู้คุณราชนาวีไทย

โชติรส รายงาน

๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓.

ปล. คำประพันธ์ของ Robert Burns บทนี้ ยังได้ดลใจให้ J.D. Salinger แต่งนวนิยายเรื่อง The Catcher in the Rye (1951). รายละเอียดเกี่ยวกับบทกวีของ Burns และนวนิยายดังกล่าว ตามไปอ่านได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้ 

https://beamingnotes.com/2016/05/04/comin-thro-the-r-by-robert-burns/  

Monday, December 28, 2020

Carl Sagan

Carl Edward Sagan (1934-1996) คาร์ เอ็ดเหวิด เซเกิ่น เป็นนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน, เป็นนักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์, นักจักรวาลวิทยา, นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์, นักชีวดาราศาสตร์, ทั้งยังเป็นนักเขียน กวีและผู้ชำนาญการสื่อสารถ่ายทอดวิทยาศาสตร์สู่สามัญชน.

       เขาได้ทำงานวิจัยค้นคว้าในวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆดังกล่าว แต่สิ่งที่ทำให้เขาโด่งดัง จนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในทศวรรษที่ 1970-1980 ในสหรัฐฯ คือการเป็นโฆษกของวงการวิทยาศาสตร์. เขาเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยชิคาโก, มีบทบาทสำคัญในโครงการอวกาศของนาซา Nasa ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการในทศวรรษที่ 1950 เป็นต้นมา, เป็นผู้อบรมนักบินอวกาศอพอลโล ก่อนออกเดินทางไปดวงจันทร์.

นอกจากการเขียนเล่าไว้ในหนังสือและบทความจำนวนมาก  เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่นำผลงานการศึกษาวิเคราะห์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ จักรวาลวิทยา มาอธิบายอย่างชัดเจน เข้าใจง่าย เพื่อเป็นความรู้แก่มวลชน, พัฒนาความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ, ทำบททดสอบความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาล, สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ว่ามิใช่อะไรที่มีแต่สูตรเต็มไปด้วยตัวเลขลึกลับ แต่เป็นสิ่งใกล้ตัว... จึงเป็นผู้นำดาราศาสตร์มาสู่ความสนใจอย่างกว้างขวางของมวลมหาชนในสหรัฐฯ.

       เมื่อติดตามอ่านหนังสือของเขา ชัดเจนว่า พื้นฐานการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ การคิดการค้นเป็นระบบ, การรู้จักใช้ภาษาอย่างช่ำชอง, รู้จักเปรียบเทียบ, และในที่สุดรู้จักสอนและถ่ายทอด, ได้สร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ๆต่อมา ที่มีประสิทธิภาพสูง และทำให้สหรัฐฯ (เคย) เป็นผู้นำในด้านการศึกษาและการวิจัยอวกาศในโลกตลอดมาก่อนชาติใดในยุโรปและจีน.

       ที่น่าประทับยิ่งขึ้นอีก คือนักดาราศาสตร์ นักจักรวาลวิทยารุ่นบุกเบิกเกือบทุกคนที่ยังมีชีวิตในปัจจุบัน (Hubert Reeves, Niel deGrasse Tyson) ต่างกลายเป็นผู้รณรงค์รักษ์โลก, ปกป้องธรรมชาติ, เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อมวลมนุษยชาติบนโลก... พวกเขาถ่อมตน รู้คุณ จิตใจอ่อนโยนและเห็นความสำคัญของสรรพชีวิต, กระชับและยกระดับความสำคัญของจิตสำนึกและจิตวิญญาณ... ในฐานะของนักวิทยาศาสตร์ ผู้ไม่ยึดศาสนาใดเป็นสรณะ พวกเขาเป็นตัวอย่างบุคคลที่มีคุณธรรมสูง เข้าถึงสัจธรรมด้วยประสบการณ์ การศึกษาวิจัยและสติปัญญาของเขาเอง...  

       ในที่นี้ จะยกข้อความและแง่คิดบางประการของ Carl Sagan มาให้อ่าน, ให้เป็นสิ่งเตือนใจเราว่า ความรู้นำไปสู่ความดีได้, วิทยาศาตร์นำไปสู่สัจธรรมได้, ชัดเจนกว่าและมีประโยชน์กว่าการเอาลัทธิศาสนาใดมาเป็นฐานสู่ความเข้าใจโลกในมิติต่างๆ. ศาสนาไม่ใช่อิฐ หิน ไม้ ไม่ใช่สิ่งก่อสร้าง, ไม่อาจสร้างบ้านแปงเมืองให้ประชากรจำนวน 7 794 799 ล้านคนบนโลกได้. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นผู้บริหารโลกกายภาพ ที่ทำให้เรามีชีวิตสะดวกสบาย, มีรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน, มีอุปกรณ์สารพัดมาช่วยในการดำรงชีวิต, ความสุขความทุกข์ในชีวิตสังคม ยังเป็นโอกาสให้ปลีกวิเวกไปปฏิบัติธรรมในที่สงบปลอดภัย. หากเราพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะเดียวกันก็มีศาสนามาช่วยพัฒนาจิตใจ, สังคมน่าจะเป็นสังคมที่มีความสมดุลมากกว่าที่เห็นในปัจจุบัน. จะยกศาสดาศาสนาใดขึ้นสูง และด้อยค่าความรู้ความเพียรของนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่วิถีของผู้มีปัญญาและผู้ยุติธรรม. นี่ไม่ใช่การประกวดประชันกัน และก็ไม่ใช่การลบหลู่ศรัทธาความเชื่อของใครต่อศาสดาองค์ใด แต่พึงแยกแยะให้รู้ว่าศรัทธาในพระธรรมคำสอนกับศรัทธาในองค์ศาสดา ไม่เหมือนกัน. แต่ละคนมีสิทธิเชื่อและเคารพบูชาพระธรรมหรือบุคคลผู้ให้กำเนิดศาสนาหรือทั้งสอง. คนอื่นจะรู้หรือไม่ก็ตาม. นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน. ความจริงของคนๆหนึ่ง ไม่ใช่ความจริงของคนอื่นเสมอไป จึงเป็นการดีที่จะเก็บศรัทธาของตัวเองไว้ให้มั่นคงในใจ โดยไม่ไปก้าวก่ายหรือด้อยค่าศรัทธาของคนอื่น. 

Carl Sagan เขียนไว้ว่า >>

วิทยาศาสตร์ เป็นอะไรมากว่าความรู้มวลหนึ่ง. วิทยาศาสตร์คือวิธีคิดวิธีหนึ่ง, เป็นวิธีการซักถามไต่สวนด้วยความสงสัย (เกี่ยวกับจักรวาลหรืออะไรก็ตาม), คนศึกษาซักถามต้องตระหนักรู้อยู่กับใจว่า ธรรมชาติความเป็นคนนั้น ย่อมทำผิดพลาดได้, เข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อนได้เสมอ. ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ อาจวัดได้จากความกล้าในการซักถามและการหาคำตอบที่เจาะลึกไปให้ถึงที่สุด. จากกระบวนการซักไซ้ไต่สวนดังกล่าว เราเปิดใจยอมรับข้อเท็จจริงที่ได้ แทนการเลือกหาคำตอบที่ถูกใจ. 

ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ จัดสัดส่วนตามปริมาตรเพื่อให้เห็นความแตกต่างของขนาดได้ชัดเจน. เรียงตามลำดับจากซ้าย ดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด ออกไปยังดวงที่อยู่ไกลที่สุด ดังนี้ ดาวพุธ, วีนัส, โลก, อังคาร, จูปิเตอร์, เสาร์, ยูเรนัส, เนปจูน. ภาพของ NASA Lunar and Planetary Institute
มองอีกที มองไปที่จุดสีน้ำเงินเล็กๆจุดที่สาม นั่นคือบ้าน นั่นคือเรา. บนจุดนั้น เป็นที่รวมของทุกคนที่คุณรัก, ทุกคนที่คุณรู้จัก, ทุกคนที่คุณเคยได้ยินได้ฟัง, ทุกคนที่เคยอยู่และใช้ชีวิตไปจนหมดอายุขัย. ที่นั่นเป็นที่รวมความสุขสนุกสนานและความทุกข์โศก, รวมลัทธิศาสนาจำนวนนับพัน, อุดมการณ์และลัทธิเศรษฐกิจ, รวมนักล่าและนักคุ้ยหาอาหาร, รวมวีรบุรุษและคนขี้ขลาด, รวมผู้เสกสรรค์และผู้ทำลายวัฒนธรรม, รวมกษัตริย์และชาวนา, รวมคู่รักหนุ่มสาว, รวมพ่อแม่กับลูกที่เปี่ยมด้วยความหวัง, รวมนักประดิษฐ์และนักสำรวจ, ครูผู้สอนจริยธรรม, นักการเมืองมือสกปรก, รวมดารายอดนิยม, ผู้นำคนดีคนเก่ง, นักบุญและคนบาป ในประวัติสปีชีส์คนที่เคยอยู่ที่นั่น, บนจุดเล็กด่างๆเปื้อนฝุ่น ที่ห้อยต่องแต่งในลำแสงหนึ่ง.  
ดาวเคราะห์โลกเป็นเวทีเล็กๆแห่งหนึ่งในอะเรนาที่กว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล. นึกถึงความโหดเหี้ยมสุดสลดใจของคนที่อาศัยอยู่ในมุมหนึ่งของจุดเล็กๆนั้น ที่ชุมชนอื่นจากมุมอื่น มองแทบไม่เห็น, นึกถึงความหลงผิด เข้าใจผิดระหว่างกัน, ความกระเหี้ยนกระหือรือที่เข่นฆ่ากันและกัน, ความเกลียดชังที่เร้ารุ่มใจของคน. นึกถึงพวกนายพลและจักรพรรดิที่ทำให้สายเลือดของคนจำนวนมากไหลอาบแผ่นดิน เพียงเพื่อเข้ายึดครองเป็นเจ้าอย่างผู้มีชัยเกรียงไกรเหนือชาวเมือง... เหนือส่วนหนึ่งของจุดเล็กๆที่เป็นโลกของเรานั้น.

การประกาศอวดตัว, การสร้างภาพความสำคัญของตัวเอง, มายาคติว่าคนอยู่ในตำแหน่งอภิสิทธิ์ในจักรวาล, ทั้งหมดเพียงเพื่อประชันขันแข่ง ข่มแสงสีฟ้าอ่อนๆจุดเล็กๆจุดนั้น. โลกของเรา เป็นจุดเล็กๆโดดเดี่ยวในความมืดที่ครอบจักรวาลไปไม่มีที่สิ้นสุด. เราผู้จมปลักในความมืดแปดด้าน, ในความมเหาฬารของจักรวาล. ไม่มีอะไรยืนยันได้เลยแม้แต่น้อยว่า จะมีใครหรืออะไรมาช่วยเราให้หลุดจากวังวนของตัวเราเองได้.

โลกเป็นโลกเดียวที่เรารู้ณนาทีปัจจุบัน ว่าเป็นอู่ของสรรพชีวิต. ไม่มีที่อื่นใดที่เราจะโยกย้ายสายพันธุ์เราไปได้, เราไม่มีทางไปไหนในอนาคตใกล้ตัวนี้เลย. เราอาจไปเยือนดาวอื่น แต่ไปตั้งรกรากบนดาวอื่นนั้น ยังทำไม่ได้. ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ ณที่นี่และเดี๋ยวนี้ โลกคือจุดยืนจุดเดียวของเรา.  
คนพูดกันว่า การศึกษาดาราศาสตร์ ให้ประสบการณ์ที่บ่มเพาะอุปนิสัยและความถ่อมตน. คงไม่มีภาพใดที่สะกิดให้ประจักษ์ถึงความลุ่มหลง หยิ่งทรนงตนของคน ดีไปกว่าภาพแสงสีฟ้าอ่อนๆที่คือโลกอันกระจิริดของเรา(ดังตัวอย่างภาพข้างบน). สำหรับข้าพเจ้า มันกระชับจิตสำนึกของความรับผิดชอบที่เราพึงมีต่อกันและกัน, ของหน้าที่การอนุรักษ์และถนอมจุดสีฟ้าอ่อนๆจุดนั้น ที่เป็นบ้านหลังเดียวที่เรารู้จัก. 

Carl Sagan จากหนังสือ Pale Blue Dot : A Vision of the Human Future in Space.

ขนาดและอายุของจักรวาล เกินความเข้าใจของสามัญชน. โลกดวงเล็กๆของเรา หลงอยู่ระหว่างความมเหาฬารของเวหาที่ไร้พรมแดนกับกาลนานชั่วกัปชั่วกัลป์. มองในทัศนมิติของจักรวาล ความห่วงหากังวลใดๆของคนไม่มีความหมายอะไรเลย ช่างจิ๊บจ๊อยเสียจริงๆ. ถึงกระนั้น สายพันธุ์คนยังอายุน้อย คนอยากรู้อยากเรียน และกล้าหาญ นี่เป็นนิมิตรหมายที่ดี. หลายสหัสวรรษที่ผ่านมา คนได้วิวัฒน์พัฒนาอย่างก้าวกระโดด และได้ค้นพบเกี่ยวกับจักรวาลและตำแหน่งของเราในจักรวาล, ได้ออกไปสำรวจอวกาศที่เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจอย่างแท้จริง. ทั้งหมดเตือนให้ตระหนักว่า การวิวัฒน์พัฒนาของคนเป็นความมหัศจรรย์เพียงใด, ว่าความรู้จำเป็นต่อการเอาตัวรอด. ข้าพเจ้าเชื่อว่า อนาคตของเราอยู่ที่ว่าเราเข้าใจจักรวาลดีมากเพียงใด จักรวาลที่โลกใบน้อยของเราล่องลอยเสมือนละอองฝุ่นในท้องฟ้ายามย่ำรุ่ง.

Carl Sagan จากหนังสือเรื่อง Cosmos.

ธรรมชาติเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับลง เป็นวงจรในจักรวาล. การเอาตัวรอดหลุดออกไปจากกฎนี้ได้ เป็นอุบัติเหตุ เป็นข้อยกเว้น. สรรพสัตว์ก็เช่นกัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์และเมื่อเสร็จหน้าที่ก็ตายลง. ธรรมชาติไม่เลือกข้าง ไม่มีสองมาตรฐาน ไม่ยินดียินร้าย, ความตายมาตามวาระ.

จักรวาลคือสิ่งที่เป็นอยู่ ที่เป็นมาแล้วและที่จะเป็นต่อไป. การมองชื่นชมจักรวาลแม้เพียงเสี้ยวนิดเดียว มันเขย่าขวัญ, เหมือนมีอะไรมาจี้หลัง, หูจับเสียงความถี่แปลกๆ, ให้ความรู้สึกเลือนลางเหมือนความทรงจำในอดีต, หรือเหมือนตกจากที่สูง. เมื่อมองดูจักรวาล เรารู้ว่าเรากำลังสัมผัสความลึกลับที่เหนือความลึกลับอื่นใด. 

มีใครหรือที่นอบน้อมถ่อมตนไปกว่านักวิทยาศาสตร์ผู้มองดูจักรวาลด้วยใจเปิดกว้างและยอมรับทุกสิ่งที่จักรวาลบอก แนะและสอน. หรือใครคนอื่นที่บอกว่า ให้เชื่อทุกอย่างในหนังสือเล่มนั้นๆ ว่าเป็นความจริง โดยไม่ใส่ใจว่าผู้เขียนในฐานะคน มีโอกาสผิดพลาดได้เหมือนคนทุกคน.(Carl Sagan หมายถึงคัมภีร์)

เมื่อเราตระหนักรู้จุดยืนของเราในมาตราส่วนของร้อยๆของพันๆปีแสงและในกระแสกาลเวลาที่นานสุดพรรณนาได้, เมื่อเราจับความสลับซับซ้อน ความงามและความละเอียดของชีวิตได้, เมื่อนั้น ความรู้สึกพุ่งขึ้น ความปลาบปลื้มปิติบวกความถ่อมตน อุบัติขึ้น, อารมณ์ความรู้สึกดังกล่าว เป็นสภาวะของจิตวิญญาณ. เป็นความปิติที่ตรึงอารมณ์ในแบบเดียวกับเมื่อเราอยู่เบื้องหน้างานศิลป์ชิ้นเลิศ ดนตรี วรรณกรรมที่ประทับจิตประทับใจ, หรือเบื้องหน้าการสละตัวตนของผู้มีจิตเข้มแข็งและกล้าหาญ ดังตัวอย่างที่เราสัมผัสได้ในพฤติกรรมของมหาตมะ คานธี หรือของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง Jr... วิทยาศาสตร์เป็นตาน้ำของจิตวิญญาณ...

โลกนี้ช่างงามวิจิตร เต็มไปด้วยความรักและธรรมอันประเสริฐ. ไม่มีเหตุให้เราต้องหลอกตัวเองด้วยการเสกสรรปั้นแต่งนิยายสวยๆจบหรูๆที่เกินความเป็นจริง (เช่นสร้างเรื่องความสุขในสวรรค์)สำหรับข้าพเจ้า เมื่อตระหนักถึงความเปราะบางของชีวิตคน ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการดีที่จะจ้องมองความตายซึ่งๆหน้า และสำนึกรู้คุณทุกวันที่ยังมีลมหายใจ ยังมีโอกาสสุดวิเศษที่ชีวิตมอบให้บนโลกนี้ แม้จะสั้นเพียงใด...

โชติรส รายงาน

๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๓.

ผู้สนใจติดตามอ่านบางเรื่องเกี่ยวกับ Carl Sagan ตามข้อมูลข้างล่างนี้ >>

*** https://www.goodreads.com/author/quotes/10538.Carl_Sagan

***Carl Sagan, Broca's Brain: Reflections on the Romance of Science (1979)

***Carl Sagan, Cosmos, Part 11: The Persistence of Memory (1980) 

Thursday, December 24, 2020

A species apart

คนเป็นสปีชีส์ต่างหาก 

๑. เปราะบางและไม่สิ้นสุด  

แต่ไหนแต่ไรแล้ว คนเชื่อว่าตัวเองมีพื้นที่พิเศษในจักรวาล. เป็นศูนย์กลางของโลก, เป็นเพชรน้ำหนึ่งของวิวัฒนาการ, คนเงยหน้ามองดูท้องฟ้า และเริ่มต้นสำรวจ... คนค้นพบว่าตัวเองอยู่บนดาวเคราะห์ท่ามกลางดาวเคราะห์อื่นๆในระบบสุริยะ, เป็นจุดน้ำเงินจุดเล็กๆ. ดาวเคราะห์โลก มีขนาดไม่มากไม่น้อย หมุนไปรอบๆดวงดาวหนึ่งที่มองเห็นพร่าๆมัวๆ ที่คนเองจัดมันว่าเป็นดาวแคระสีเหลืองๆ. ดาวเคราะห์โลกมีขนาดจุ๋มจิ๋ม ข้างๆดาวเคราะห์ขนาดยักษ์อีกจำนวนมาก และยังมีดาวเคราะห์ขนาดซุปเปอยิ่งขึ้น อีกจำนวนมาก. ดูตัวอย่างดาว Eta Carinais ที่เป็นดวงดาวสว่างกว่าดวงอาทิตย์หนึ่งล้านเท่า หรือ Uy Scuti ดวงดาวแสนสง่าผ่าเผยที่มีปริมาตรมากกว่าดวงอาทิตย์ ห้าพันล้านเท่า.

มองในเชิงศิลป์ ภาพจักรวาลตรึงใจไม่น้อยเลย.  นี่คือสภาวะแวดล้อมในจักรวาลยุคเริ่มต้น หลังจากสองสามล้านล้านปีแรกๆผ่านไป เมื่อเริ่มมีดวงดาวเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับลง. วงจรชีวิตของดวงดาวทั้งหลาย เป็นกระบวนการพื้นฐานที่กระตุ้นให้จักรวาลวิวัฒน์ ขยายตัว เพิ่มพูน(เนื้อหนังมังสา)ของตัวเองมากขึ้นๆตามลำดับ จากที่มีเพียงแก๊ซไฮโดรเจนและฮีเลียมณจุดเริ่มต้น. ดาวขนาดมหึมาเมื่อใกล้ถึงจุดจบตามวาระ ธาตุหนักๆที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวในระดับนิวเคลียภายในดวงดาว จะพุ่งเข้าสู่ใจกลาง จนเมื่อเกินพิกัด ดาวนั้นระเบิดออก ชั้นนอกริมๆของดาวนั้น จะดูดนิวตรอนเข้าไปอย่างรวดเร็ว แปลงโครงสร้างภายในเป็นธาตุชนิดต่างๆที่ลุกโพลง และพุ่งกระจายกลับคืนสู่จักรวาล (เรียกว่า supernova explosions). ส่วนดาวขนาดเล็ก, ดาวแคระหรือดาวนิวตรอน, อาจหลอมตัวเข้าไปในดาวขนาดใหญ่กว่า แล้วระเบิด นำมวลของมันเสริมเนื้อหนังให้จักรวาลด้วยเช่นกัน. การระเบิดหรือการตายของดวงดาว เพิ่มธาตุหนักๆให้จักรวาล. แก๊ซและธาตุหนักเหล่านี้แหละ ประกอบกันเป็นดวงดาวรุ่นต่อไป, บ้างเป็นดาวเคราะห์ติดตามดวงดาว และเมื่อมีความสมบูรณ์พอเหมาะ สิ่งมีชีวิตก็อุบัติขึ้นได้บนดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งได้ (ตามหลักการ แม้ว่าคนจะยังไม่ค้นพบก็ตาม).  กว่าจะมาเป็นจักรวาลที่มีระบบระเบียบอย่างยิ่งที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยืนยันในปัจจุบัน เวลาผ่านไปแล้วราว 13.7-14 ล้านล้านปี. นี่คือประวัติศาสตร์ของจักรวาลที่คนรู้จักในฐานะผู้อาศัย ณจุดหนึ่งตรงสุดขอบ. ขนาดของจักรวาลและจำนวนกาแล็กซี่, จำนวนดวงดาว, สุดประมาณได้. การติดตามไปในมาตราส่วนที่เกินความคุ้นชินของคนในระดับเท้าติดพื้นโลก จึงยากยิ่ง. ภาษาคนภาษาใด ก็ไม่มีคำที่ครอบคลุมนัยความมเหาฬารของจักรวาลที่ไพศาลไม่สิ้นสุด หรือนัยของขนาดละอองอณู.
เครดิตภาพจาก NASA/ESA/Wolfram Freudling et al.(STECF) ในเว็บนี้
      จักรวาลยั้วเยี้ยไปด้วยดวงดาวที่มีอะไรน่าทึ่งกว่าดวงอาทิตย์มาก เป็นประกายจ้าลึกลับแทบเท้าของระบบดวงดาวขนาดอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน. เพื่อวัดระยะห่างของดวงดาวทั้งมวล คนต้องคิด สมมุติและประดิษฐ์หน่วยวัดความยาวพิเศษขึ้นใหม่ หน่วยที่อณูแสงหนึ่งเดินทางในหนึ่งปี เรียกเป็น หน่วยปีแสง ที่เท่ากับ 10 ล้านล้านกิโลเมตรโดยประมาณ. หนึ่งปีแสงเท่ากับหนึ่งกิโลเมตร(ตามมาตราวัดความยาวปกติของคนบนโลก) และเทียบเท่ากับความยาว(ของเส้นผ่าศูนย์กลางของ)ไวรัสหนึ่งตัว. จักรวาลที่เรารู้จักกันมา วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ 80 ล้านล้านปีแสง... จำนวนดวงดาวมีมากเหลือเชื่อ. ในหนึ่งกาแล็กซี่ มีดวงดาวประมาณ 100-400 ล้านล้านดวง. จำนวนกาแล็กซี่ก็มีไม่น้อยกว่ากัน. สิ่งที่คนเห็น(หรือคิดว่าเห็น ด้วยกล้องโทรทัศน์ชั้นเลิศที่สุดที่คนมี) ไม่ใช่ดวงดาว แต่เป็นกาแล็กซี่จำนวนพันๆกาแล็กซี่. หากจะประเมินจำนวนดวงดาวทั้งหมดในจักรวาลที่คนมองเห็นได้ (ด้วยเครื่องมือที่ดีที่สุดที่คนมี) รวมกันอยู่ที่ 400 x sextillion ดวง (sextillion =10 ยกกำลัง 21 มาตราอเมริกัน หรือ 10 ยกกำลัง 36 มาตราอังกฤษ). ตัวเลขจำนวนนี้ คนจินตนาการปริมาณด้วยความยากลำบาก.  แต่จริงๆ มันไม่ยากนักหรอก ให้นึกเทียบกับจำนวนหยดน้ำในมหาสมุทรและห้วงน้ำทุกๆแห่งบนโลก หรือจำนวนเม็ดทรายบนหาดทุกหาดและในทะเลทรายทุกแห่งบนโลกรวมกัน. แต่ความมหึมาที่กล่าวมานี้ ยังเป็นเพียงในจักรวาลที่มองเห็นได้เท่านั้น (ด้วยอุปกรณ์สุดยอดที่คนประดิษฐ์ขึ้น), ยังมีดวงดาวที่อยู่นอกโซนที่กล้องโทรทัศน์ที่คนใช้ ไปไม่ถึง... ตัวเลขที่บอกมาข้างต้น จึงมาจากส่วนเล็กๆส่วนเดียวของจักรวาลจริง. คนอยู่ไกลไปสุดชายขอบของกาแล็กซี่กระจิริดกาแล็กซี่หนึ่ง เวิ้งว้างหลงอยู่ในจักรวาลที่กว้างประมาณมิได้ และที่คนยังไม่อาจจินตนาการภาพรวมของกาแล็กซี่นี้ได้. เบื้องหน้ามาตราส่วนดาราศาสตร์ดังกล่าว คนอยู่ที่ไหน...ไร้ความหมาย หรือมิใช่ 

๒. ชีวิตที่ไม่มีอะไรเหมือน 

คนอาศัยอยู่ในดาวเคราะห์ที่เป็นภาพสะท้อนตัวตนของคน. ดาวเคราะห์นี้พิเศษ ไม่มีอะไรเหมือน, เป็นดาวเคราะห์ที่บริบูรณ์ที่สุด.  เป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่เป็นร่มโพธิร่มไทรของสรรพชีวิต. โลกเป็นโอเอซิส, เป็นตาน้ำชุบชีวิต, ท่ามกลางทะเลทรายมหึมาในจักรวาล. 

โลกพิเศษน่าทึ่งจริงๆหรือ?

ความจริง คนมีโลกทัศน์ที่เลือนลางมากเกี่ยวกับจักรวาลที่เกิดและที่อยู่ของคนมาถึงทุกวันนี้. หากคิดสัดส่วนตามความคุ้นชินของคน, จักรวาลของคน กว้างใหญ่ไพศาลและเวิ้งว้างว่างเปล่า และคนตั้งชื่อเรียกว่า พื้นที่ว่าง space  เพราะคิดหาคำอื่นใดมาแทนไม่ได้. ตั้งชื่อแล้ว กลับพบว่า พื้นที่ว่างนั้น มิได้ว่างเลย แต่เพียบไปด้วยดาวเคราะห์จำนวนนับไม่ถ้วน ที่มีรูปพรรณทั้งหลากหลายและแปลกแตกต่างกันมาก. โดยเฉลี่ยแต่ละดวงดาวมีดาวเคราะห์อย่างน้อยหนึ่งดวง, นับเฉพาะในกาแล็กซี่ทางช้างเปลือก (The Milky Way ดวงดาวทั้งหลายในทางช้างเผือก กระจายแผ่ออกไปเหมือนแผ่นดิสก์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 100 000 ปีแสง) น่าจะมีดาวเคราะห์มากกว่า 100 ล้านล้านดวง และยังมีไม่น้อยกว่ากันในแต่ละกาแล็กซี่อื่นๆ(นอกจากทางช้างเผือก) ที่มีกว่าหลายร้อยล้านล้านกาแล็กซี่.  แต่ทำไมชีวิตจึงวิวัฒน์ขึ้นเพียงครั้งเดียว(บนดาวเคราะห์โลก) ทั้งๆที่มีดาวเคราะห์จำนวนมากสุดประมาณได้? เมื่อเป็นเช่นนี้ เท่ากับว่า โอกาสเกิดสิ่งมีชีวิตในจักรวาลนั้น แทบจะไม่มีเลย, แต่จักรวาลยั้วเยี้ยไปด้วยชีวิต และปรับตัวเปลี่ยนแปลงมิได้หยุด. มันขัดหลักตรรกะอย่างมาก.

      แต่ละวันมีดวงดาวเกิดใหม่ 275 ล้านดวง เท่ากับมีดาวเคราะห์จำนวนเท่ากันเกิดขึ้นด้วย, และก็มีดวงดาวอีกจำนวนพอๆกันที่ดับลง. ทั้งหมดนี้เคลื่อนที่ตลอดเวลา. คนไม่สามารถรู้จุดที่ตัวเขายืนอยู่ในจักรวาล ในเมื่อจักรวาลไม่หยุดนิ่งกับที่. เริ่มด้วยการโคจรของโลก มุ่งหน้าไปรอบๆดวงอาทิตย์ ณความเร็ว 100 000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยที่คนบนโลกไม่ได้รู้สึกเลยด้วยซ้ำ(ว่าโลกหมุนไปหมุนไปไม่เคยหยุดอยู่กับที่).  คนก็ไม่รู้ตัวด้วยว่า ระบบสุริยะทั้งระบบ พุ่งไปในกาแล็กซี่ด้วยความเร็วมากกว่านั้นอีก. สรุปว่า กาแล็กซี่ของโลก เหมือนกาแล็กซี่อื่นๆทั้งหมด เคลื่อนไหวไม่เคยหยุด. กาแล็กซี่ของโลก รี่ไปสู่กาแล็กซี่ที่ใกล้ที่สุด ที่ชื่อว่า แอนโดรเมดากาแล็กซี่ Andromeda galaxy (ห่างจากดาวเคราะห์โลกประมาณ 2.5 ล้านปีแสง) ด้วยความเร็วที่ 720 000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง.

กาแล็กซี่อันโดรเมดา Andromeda Galaxy (ซ้าย) กาแล็กซี่ทางช้างเผือก The Milky Way galaxy (ขวา) ที่ตั้งของระบบสุริยะของเรา. ภาพถ่ายจากพื้นโลกด้วยกล้องโทรทัศน์ Hubble ขององค์การ Nasa พร้อมคำอธิบายว่า กาแล็กซี่ทั้งสองที่อยู่ใกล้กันที่สุด จะเข้าชนกันและกาแล็กซี่ทางช้างเผือกจะถูกกลืนรวมเข้าไปในกาแล็กซี่อันโดรเมดา ในอีกประมาณสี่พันล้านปีข้างหน้า. ดังภาพจำลองข้างล่างนี้.
กาแล็กซี่ทั้งสองเคลื่อนเข้าหากันอย่างไม่หยุดยั้ง ตามกฎแรงดึงดูด. ทั้งสองภาพจากเว็บเพจของนาซา.  
คนผู้คิดว่าตัวเองเหนือชั้นกว่า ล่องลอยหลงอยู่ในมหาสมุทรดวงดาวที่หมุนไปไม่เคยหยุด... การจะยืนยันว่าในจักรวาลที่วัดขนาดมิได้นี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิต, เหมือนการเอาแก้วจุ่มลงในมหาสมุทร,  ยกขึ้นดู, ไม่เห็นปลาสักตัว จึงสรุปว่า ไม่มีปลาในมหาสมุทรนั้น. คนมิอาจจินตนาการตำแหน่งของเขาได้เลยในจักรวาล. จักรวาลนี้ มีเพียงคนเท่านั้นหรือ?  เพราะคนก็แสนจะไร้ความหมาย. 
  
๓. หนึ่งวินาทีบนโลก  

ดาวเคราะห์โลกเป็นอู่ของมนุษยชาติ. คนเป็นนายใหญ่มีอำนาจสิทธิ์ขาดปกครองโลก, ดูเหมือนว่า ไม่มีอะไรหยุดคนได้. ถึงกระนั้น ดาวเคราะห์โลกไม่ได้คอยการเกิดของคน เพื่อเริ่มเขียนประวัติศาสตร์ของโลก...  ตั้งแต่ชีวิตปรากฏขึ้น โลกเป็นที่อยู่อาศัยของสรรพสัตว์ทุกขนาดจำนวนนับไม่ถ้วน ที่สืบสายพันธุ์ต่อๆกันมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน. ทุกวันนี้ประมาณ 99,9 % ของสายพันธุ์ทั้งหลาย หายไปจากโลกแล้ว. หลายสายพันธุ์ได้วิวัฒน์ไปเป็นสายพันธุ์อื่นๆ. อีกหลายสายพันธุ์หายสูญสิ้นไปจากแผ่นดินอย่างฉับพลัน. โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละสายพันธุ์มีชีวิตบนโลกไม่เกินสองสามล้านปี.

นี่คือบ้านแห่งเดียวของเราในจักรวาล. โลกอยู่ได้โดยไม่มีคน, แต่คนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีโลก. คนหนีไปไหนก็ไม่ได้ และจบลงที่การสูญพันธุ์. 

         หากประวัติของดาวเคราะห์โลก รวมกันเป็นหนังสือหนาหนึ่งพันหน้า... ชีวิตเริ่มขึ้นและจารึกไว้ที่หน้า 185 ตอนนั้นชีวิตเป็นเพียงสัตว์เซลล์เดียว(หรือสองสามเซลล์) ที่ลอยไปมาไร้กังวลไปอีก 700 หน้า... จนถึงเวลาที่ชีวิตทบทวีตัวเป็นสัตว์หลายเซลล์ จากหน้า 870 ไปถึงหน้า 880 และแล้วหลายชีวิตยกพลขึ้นบกที่หน้า 916. ตลอดเวลาที่ชีวิตปรับตัวเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้งนี้ ดาวเคราะห์โลกต้องดิ้นรนผ่านวิกฤตกาลเลวร้ายที่สุดห้าครั้ง. ครั้งหนึ่งเมื่อราว 250 ล้านปีก่อน ดาวเคราะห์โลกเกือบแตกสลายดับสูญ. วิกฤตกาลครั้งนั้น 70% ของสายพันธุ์สัตว์บก, 96% สายพันธุ์สัตว์น้ำ ล้มหายสูญสิ้นไปจากโลก. โลกใช้เวลากว่าสิบล้านปีเพื่อฟื้นฟูตัวเองก่อนจะเคลื่อนย้ายพริ้วตัวไปตามกฎวิวัฒนาการ. บางสายพันธุ์สลายตัวไป, หลายสายพันธุ์เสนอหน้าใหม่ๆโผล่ขึ้นมา เช่นครั้งนั้น ไดโนเสามาปักหลักบนแผ่นดินที่หน้า 960 ในหนังสือประวัติศาสตร์ดาวเคราะห์โลก. ท้ายเล่ม เป็นเรื่องราวของสายพันธุ์มนุษย์ Homo sapiens ตั้งแต่การมาปรากฏตัวจนถึงตัวคนทุกวันนี้ เป็นเนื้อหาที่เล่าไว้ตอนล่างไม่กี่บันทัดที่หน้าสุดท้ายของหนังสือประวัติศาสตร์ดาวเคราะห์โลก.

         การมาเกิดของคน อยู่ที่ 0.004% ของประวัติศาสตร์อันยาวนานของดาวเคราะห์โลก. คนไม่ได้มีตัวตนมานานนักเลย และไม่ได้วิวัฒน์ขึ้นไปสุดศักยภาพ ในขณะที่สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นๆบรรลุจุดสุดของวิวัฒนาการของมันแล้ว และทั้งหมดได้ปรับตัวให้เข้ากับระบบนิเวศธรรมชาติบนผืนโลกนี้แล้ว, ตั้งแต่เพรียงทะเล (Bernacle) ที่เกาะแน่นติดบนตัวปลาวาฬ ไปจนถึงดิ๊กดิ๊ก (Dik-Dik ละมั่งหนู เพราะขนาดเล็กมาก จากแอฟริกา) ที่แสนจะบอบบาง ที่ฟันฝ่าต่อสู้เอาตัวรอดจากปากเหยี่ยว งูหลาม และสิงโต เรื่อยมาจากยุคดึกดำบรรพ์มาจนทุกวันนี้...   ไม่มีอะไรชี้บอกเลยว่า สายพันธุ์คนจะอยู่ไปชั่วนิจนิรันดร์, หรือจะยืนหยัดต้านการสลายตัวของสายพันธุ์ตัวเอง ได้นานกว่าสายพันธุ์อื่นๆ... เป็นไปได้ว่า การผ่านมาเกิดบนแผ่นดินนี้ จักเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียว บนเวทีชีวิตของดาวเคราะห์โลก. ชั่วประเดี๋ยวเดียว จน...ไร้ความหมาย.

เพรียงทะเล (Bernacle) ที่เกาะติดอยู่บริเวณท้องของลูกปลาวาฬ (humpback whale) ภาพนี้ถ่ายระหว่างการชันสูตรศพ ที่เกาะ Baranof Island นอกชายฝั่งอลาสก้า เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมปี 2005. เครดิตภาพของ Aleria Jensen, NOAA/NMFS/AKFSC., Public domain, via Wikimedia Commons
เพรียงที่เกาะติดบนฝาหอย เครดิตภาพ Andrew Butko, CC BY-SA 3.0  ดูใกล้ๆ เพรียงทะเล ที่เห็นในภาพเป็นเพรียงหิน เมื่อดึงตัวหอยออก, กินได้ (คนไทยอาจจิ้มในน้ำจิ้มซีฟูด รสเหมือนกินเนื้อกุ้งกับเนื้อปู). ภาพจาก istockphoto.com
ลูกตัวดิ๊กดิ๊ก (dik-dik)
ดิ๊กดิ๊ก เป็นเหยื่อโอชะของสัตว์ใหญ่กว่า เช่นเสือชีต้า สิงโต งูหลาม หรือเหยี่ยว. 

๔. ใบไม้ที่บังป่า  

คนเป็นสปีชีส์พิเศษ ไม่มีอะไรเหมือน ยืนอยู่บนยอดของกระบวนวิวัฒนาการ. คนรู้ไหมหนอว่า อยู่ที่ไหนบนต้นไม้แห่งชีวิต? คนจัดตัวเองเป็นหนึ่งในหมู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เหมือนลิงกอริลลา, ช้าง, หนู (shrew), ค้างคาวฯลฯ... มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมากกว่า 5000 ชนิด ยังมีสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังเป็นจำนวนมากกว่า 10 เท่า ที่รวมนก, สัตว์เลื้อยคลาน, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ, และปลา. คนเป็นเพียงหนึ่งใน 70 000 สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง.  เป็นใบไม้หนึ่งใบบนต้นไม้ชีวิตขนาดมหึมา... สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ก็ยังไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีจำนวนมากที่สุดบนผืนโลก. คนได้ค้นพบและทำรายชื่อพืชพรรณไม้ที่มีจำนวนมากกว่าสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง 5 เท่า, ยังมีสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังมากกว่าอีก 20 เท่า. ยกตัวอย่าง แค่ตระกูลด้วง (scarab) ก็มีมากกว่า 300 000 สายพันธุ์

Dung beetle เรียกแบบไทยๆว่า แมงขี้ควาย เพราะมันวางไข่ เลี้ยงดูตัวอ่อนในกองขี้ควาย. เครดิตภาพจาก dailymail.co.uk
ดูหน้าและตาของตัวนี้สิ. เหมือนตัวละครในหนัง science fiction สมัยนี้. ธรรมชาติพืชพรรณและสัตว์สายพันธุ์ต่างๆ เป็นนายแบบให้คนเสมอ.  
คนประเมินว่าสิ่งมีชีวิตรวมกันประมาณ 7 ถึง 100 ล้านสายพันธุ์แตกต่างกัน. เราต้องตระหนักด้วยว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง ยังไม่หมดแม้จะรวมสัตว์, พืชพรรณและเห็ดราเข้าไปด้วยแล้ว, ยังมีจำนวนแบ็คทีเรีย, ไวรัสและมวลสัตว์เซลล์เดียว. เมื่อคิดรวมๆกัน อาจมีถึงพันล้านล้านชนิด. บวกเข้ากันแล้ว เป็นปริมาณหลายพันเท่าของ “ต้นไม้แห่งชีวิต” (ที่ใช้หมายถึงสรรพชีวิตในโลก). หากเอาสรรพชีวิตทั้งหมดใส่รวมกันในกระสอบจับสลากเดียวกัน ให้คนหนึ่งหลับตาเลือกสลากขึ้นมาหนึ่งชิ้น โอกาสจับสลากได้สายพันธุ์คนนั้น น้อยเหลือเกิน.  ตั้งแต่กำเนิดเป็นสัตว์เซลล์เดียว ชีวิตได้ทวีแพร่ออกไปเป็นแขนง, เป็นประเภท, เป็นสปีชีส์นับไม่ถ้วน ที่คนเองเพิ่งเห็นความหลากหลายของสายพันธุ์ตัวเอง, ที่คนเองก็มิอาจจัดกลุ่มบันทึกให้ครบทั้งหมดทั้งปวงได้. ใบไม้หนึ่งใบในป่าใหญ่, ใบไม้ที่มองว่าเป็นใจกลาง เป็นความสำคัญของป่านั้น ในความเป็นจริง เป็นอะไรที่ไร้ความหมายที่สุด.   

๕. ความเหนือชั้นของคน  

แม้คนจะเป็นสายพันธุ์หนึ่งเดียว หลงหายท่ามกลางสรรพชีวิต, คนก็ยังเป็นสายพันธุ์ที่เหนือชั้นที่สุดบนผิวโลก. อะไรเป็นหลักเกณฑ์ที่คนเอามาอ้างว่า คนอยู่เหนือสรรพชีวิต. แม้ว่าจะมีคนประมาณ 7 พันล้านคนบนผิวโลก, คนยังไม่ใช่เป็นสายพันธุ์ที่ดกที่สุด ยังอยู่ไกลจากฐานะนั้นมาก. เทียบตัวอย่างง่ายๆว่า จำนวนคนที่มีบนพื้นโลก มีน้อยกว่าจำนวนแม่ไก่สามเท่า. และหากรวมปริมาตรของคนบนพื้นโลกมาชั่งตวงวัดเป็นน้ำหนัก ก็จะรู้ว่า มนุษยชาติทั้งมวลมีน้ำหนักไม่เกินน้ำหนักมดบนโลกเลย!  

         คนก็ไม่ได้เป็นสายพันธุ์ที่ร่างกายสูงใหญ่ที่สุด, ไม่ได้เป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงบึกบึนที่สุด, หรือเป็นสายพันธุ์ที่มีอายุยืนนานที่สุด. ให้นึกถึงปลาฉลามหรือเต่าบางชนิด ที่มีชีวิตได้เรื่อยๆนานกว่า 200 ปี, ปะการังและฟองน้ำในทะเล มีชีวิตอยู่ได้หลายพันปี... แมงกะพรุนบางชนิดยังมีศักยภาพในการฟื้นฟูปรับตัวให้คึกคักเหมือนเกิดใหม่อยู่เสมอในวงจรชีวิตของมัน. แมงกะพรุนเหล่านี้ หากไม่มีอุบัติภัยในธรรมชาติหรือถูกสัตว์อื่นจับกินหมด อาจมีชีวิตไปชั่วกัลปาวสาน. และหากเราเปรียบเทียบสัตว์เหล่านี้ กับสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นๆ, คนเป็นสายพันธุ์ที่อ่อนแอน่ากังวลที่สุด. ปลาดาว (starfish) เป็นต้น ขยาย งอกตัวมันเองได้จากแขนข้างใดข้างหนึ่ง... ตัวแย้หนามเพียบ (Moloch) มีชีวิตเป็นปีๆได้ เพียงซึมซับหยดน้ำผ่านทางผิวของมันโดยไม่ต้องกินอะไรอื่นเลยเป็นปีๆ. และเมื่อเทียบกับตัวทาร์ดีเกรด (Tardigrade ชื่อมาจากภาษาละตินว่า tardus gradus ที่แปลว่า ช้าๆ+เดิน) คนคือตัวอะไรที่จิ๊บจ๊อยกว่ามาก. ทาร์ดีเกรด มีขนาดน้อยกว่า 1 มิลลิเมตร, มีประมาณ 1000 สปีชีส์, มีชีวิตอยู่ได้เป็นปีๆในบริบทแวดล้อมที่เป็นพิษสูง, ที่มีระดับความเค็มสูงมาก, ในอุณหภูมิตั้งแต่  150°C ไปถึง - 270°C, โดยไม่ต้องกินอาหาร น้ำและอ็อกซิเจน, ในความกดอากาศมากกว่าความกดอากาศของคน 1000 เท่า, ต้านรังสีเอ็กซ์เรย์ได้ และยังอยู่ได้ในสุญญากาศ... 

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ตัวทาร์ดิเกรดอยู่ได้เป็นสิบๆปีโดยไม่กินอาหารหรือน้ำ, มีชีวิตได้ในอุณหภูมิจากเกือบศูนย์ถึงอุณหภูมิเหนือจุดเดือดขึ้นไปอีก, เอาชีวิตรอดมาได้ในความกดอากาศจากเกือบศูนย์ถึงความกดบนพื้นท้องน้ำในทะเลลึก, ยังมีชีวิตได้หลังจากอยู่ในบริบทของรังสีอันตรายสูงสุด ทั้งในรังสีอัลตราไวโอเล็ตหรือรังสีเอ็กสเรย์ และยังมีศักยภาพเกินสิ่งมีชีวิตอื่นใดในการอยู่นอกยานอวกาศในจักรวาล (ปี 2011 เขาทำการทดลองนำตัวทาร์ดิเกรดขึ้นยานอวกาศ, ให้อยู่ในสุญญากาศ นอกบรรยากาศโลก และเอามันไปรับรังสีแสงอาทิตย์ตรงๆเลย, มันก็ยังรอดตายได้. ความมหัศจรรย์ยังมีต่อ). หลายสปีชีส์อยู่ได้โดยไม่มีน้ำเหลือในตัวเลย (ในยุควิกฤตโลก) ตัวมันแห้งสนิท หลับแน่นิ่งไป (การแห้งตัว เกิดขึ้นได้เร็วมาก จากนาทีถึงชั่วโมง). ทันทีที่มีความชื้น มีน้ำในแวดล้อมอีกครั้ง มันกลับมีชีวิตชีวาใหม่ในเวลายี่สิบนาที. เจ้าตัวนี้ มีอะไรที่นักวิทยาศาสตร์หลงใหล และศึกษาวิจัยเข้ม เพื่อคุ้ยหาความลับในการอยู่รอดของมันให้ได้มากที่สุด. เจ้าตัวนี้จึงเป็นสุดยอดของสิ่งมีชีวิตบนโลกมนุษย์, ถูกนำไปเป็นตัวละครในหนัง Star Trek (แต่ข้อมูลในหนังยังผิดพลาดอยู่มาก ยังไม่ตรงกับความจริงทางวิทยาศาสตร์ทีเดียว. Cf. https://science.nasa.gov/tardigrade-moss) เครดิตภาพ via Wikimedia Commons
tardigrade ตัวนี้ถ่ายในแสงสี ให้เห็นหน้าตาชัดๆ. ช่องโหว่ตรงกลางใบหน้า คือปากท่อหรือ “ปากคอหอย”.  หน้าตาอย่างนี้ เป็น best candidate ของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว สำหรับคนสร้างหนัง sci-fi  
ส่วนคน ทนการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ไม่มากนัก, ผิวหนังบางเกินไป, อวัยวะอ่อนแอเกินไป และมีสรีระผอมบาง... แทบต้องถามว่าในสภาวะทางกายภาพเยี่ยงนี้ สายพันธุ์คนเอาชีวิตรอดมาได้อย่างไร. เมื่อเทียบกับสัตว์สายพันธุ์อื่นๆ คนยังเชื่อว่าตัวเองเป็นสายพันธุ์ที่เหนือชั้นกว่าสรรพชีวิตอื่นอีกหรือ...ช่างไร้ความหมายเสียจริงๆ.

๖. สายพันธุ์อ่อนแอ

คำขวัญโอลิมปิคที่คุ้นหูกันคือ « เร็วขึ้น สูงขึ้นและแกร่งขึ้น » กระชับจิตสำนึกว่า สายพันธุ์คนเกิดมาเป็นนักสู้, สู้เอาชนะตัวเองและเอาชนะคนอื่น. ทั้งที่ในความเป็นจริง คนเอาชนะใครหรืออะไรได้ไม่มากเลย. แค่นึกถึงบรรดาสัตว์หลายชนิดที่วิ่งเร็วกว่าคน เช่น เสือชีต้า (cheetah), หมูป่าแอฟริกัน (warthog), อูฐ หรือแม้แมลงวันตัวน้อยธรรมดาๆตัวหนึ่ง ก็ไปไหนเร็วกว่านักวิ่งเหรียญทองคนใดโดยไม่ต้องออกแรงมากมายเลย. เรื่องกระโดดสูงหรือ? เสือพูมา ทำสถิติกระโดดสูงได้ถึง 6 เมตรในอากาศโดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำช่วย... เรื่องยกน้ำหนักหรือ? ตัวด้วงแรด ยกน้ำหนักที่หนักกว่าน้ำหนักตัวมันเองได้ถึง 850 เท่า ซึ่งหากเทียบกัน เท่ากับ คนต้องยกน้ำหนักถึง 65 ตันซึ่งคนทำไม่ได้. (สถิติยกน้ำหนักมากที่สุดที่แชมเปียนโอลิมปิคทำได้คือ 3 เท่าของน้ำหนักตัว ประมาณ 260 กิโลกรัม. คนทั่วไปอยู่ที่ 2 เท่าน้ำหนักตัว). ช้างน้ำ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนคน ดำน้ำลึกลงไปและกลั้นหายใจได้นานกว่าคนมาก เช่น มันอยู่ได้ในน้ำลึก 2000 เมตร โดยไม่หายใจนานสองชั่วโมง. (สถิติโลกของนักดำน้ำ ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กันยายน ปี 2020 คือ Arnold Jérald ชาวฝรั่งเศส ณความลึก 112 เมตร). ด้านกีฬาต่อสู้ตัวต่อตัว คนก็ทำไม่ได้ดีกว่า. นักมวยที่แกร่งที่สุด หากสู้กับลิงกอริลลา หมี หรือจิงโจ้, คนจะแพ้ก่อนหมดยกหนึ่ง. นี่ยังไม่ได้พูดถึงสัตว์อื่นๆอีกจำนวนมากที่มีขนาดเล็กกว่ามาก ที่เอาชนะคนได้อย่างง่ายดายโดยยังไม่ลงสนามสู้จริงๆ. เทียบกับสัตว์อื่นๆ คนทำสถิติอะไรไม่ได้ดีเลย. คนมองไปไม่ไกล, มองในความมืดก็ไม่เห็น, ตาบอดสีอัลตราไวโอเล็ตและสีอินฟราเรด, ส่วนหูก็ได้ยินภายในคลื่นความถี่ที่จำกัดมาก, หูคนไม่ได้ยินอัลตราซาวน์. คนไม่ไวต่อคลื่นไฟฟ้า, ไม่สามารถรับคลื่นแม่เหล็กโลก. ในที่สุด หากเราเทียบศักยภาพของคนกับชีวิตอื่นๆที่อาศัยอยู่บนโลกเดียวกันด้วยกันกับคน, ในด้านกายภาพ ไม่เหลือแขนงใดนักที่คนพอมีความหวังได้ขึ้นบนโพเดียมในฐานะผู้ชนะในโอลิมปิคของสิ่งมีชีวิต. เทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ ความสามารถของคน...ช่างไร้ความหมาย.   

๗. ปัญญาหลากมิติ

คนไม่ใช่สัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุด และก็ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดบนพื้นโลก แต่เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่ได้พัฒนาปัญญา. มีสมองที่พิเศษสุดที่ช่วยให้คนคาดการณ์ล่วงหน้า, เข้าใจ, ประดิษฐ์. เป็นสมองที่ทำให้คนมีสถานะที่เหนือชั้นกว่าสัตว์ใดอย่างแท้จริง.  

จริงๆแล้ว ปัญญาคืออะไร? อะไรเป็นตัวเจาะจงปัญญาคือความสามารถในการแก้ปัญญาที่ซับซ้อนได้เช่นนั้นหรือ?

ถ้าปัญญาอยู่ที่แค่นั้น อีกาทั้งหลายแก้ปัญหาของมันได้ดีทีเดียว. ปัญญาอยู่ที่การรู้จักใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์หรือเปล่า? ไม่เพียงแต่ลิง นกก็รู้จักใช้เครื่องมือช่วยแก้สถานการณ์ในชีวิตของมัน. ปลาหมึกนอกจากสมองหลักของมัน มีสมองอิสระในหนวดปลาหมึกแต่ละหนวด ที่สั่งการให้หนวดแต่ละเส้นปฏิบัติการได้อย่างคล่องตัวและฉับพลัน. 

ภาษาล่ะ?  ภาษาเป็นอะไรพิเศษของคนอย่างหนึ่ง. แต่ไม่ได้พิเศษสำหรับคนเท่านั้น. สัตว์ส่วนใหญ่ สื่อสารกันด้วยระบบค่อนข้างซับซ้อนเช่นกัน. ผึ้งอธิบายตำแหน่งของดอกไม้ ชนิดของดอกไม้ ด้วยการบินหมุนตัวประหนึ่งกำลังเต้นรำ.  ลิงพันธุ์ใหญ่ เข้าใจภาษาท่าทางหรือเครื่องหมายต่างๆและยังถ่ายทอดต่อไปยังลิงตัวอื่นๆได้.  ลิงยังคิดคำนวณในใจได้ (mental calculation) เก่งเท่าเด็กเล็ก. 

แม้พืชพรรณก็สื่อสารถึงกัน ต้นอะเคเซีย (acacias) ส่งสัญญาณเคมีบอกอันตรายไปถึงต้นข้างๆเมื่อมันถูกสัตว์แทะกิน. เป็นการเตือนต้นไม้เพื่อนๆในแวดล้อม อย่างฉับพลันทันท่วงที เพื่อให้ต้นไม้เพื่อนๆ กระจายสารพิษไปที่ใบไม้ ทำร้ายศัตรูผู้ไปกินใบของมัน. 

มีอะไรเหลืออีกที่เป็นสมบัติของคนโดยเฉพาะไหม? การมีจิตสำนึกหรือ? การมีความทรงจำที่ยืดยาวหรือ? การเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นหรือ? การรู้จักเล่นและอารมณ์ขันหรือ?

พฤติกรรมทางปัญญาแบบต่างๆ เป็นเนื้อหาที่คนศึกษาสังเกตกันมาอย่างต่อเนื่องในสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ ตั้งแต่พฤติกรรมที่เห็นชัดเจนที่สุด ไปจนถึงพฤติกรรมที่คาดคิดไม่ถึง. แม้ในกระบวนการสร้างสรรค์ของคน ก็ยังต้องมองเกี่ยวโยงไปถึงพฤติกรรมสร้างสรรค์ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ...

หลายแสนปีก่อนมีคนบนโลก มดรู้จัดเพาะปลูก, เลี้ยงสัตว์, มีระบบชนชั้นในสังคมมด. มดทำงานเป็นลูกโซ่ และมีเครือข่ายการสื่อสารที่ครบวงจรมาแล้ว. หากมองใกล้ชิดและเจาะลึก, สิ่งประดิษฐ์ของคนจำนวนมาก เป็นแบบจำลอง ก็อปปี้มาจากโลกของสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่อยู่รอบตัวคน. ในที่สุด คนยังมิอาจให้คำนิยามปัญญาของสรรพสายพันธุ์รอบตัวคน. การสรุปว่าสมองคนเหนือชั้นกว่าสัตว์สปีชีส์อื่นๆนั้น ช่างไร้ความหมายเสียจริงๆ. 

๘. บนเครือข่ายชีวิต

ยิ่งควบคุมเทคโนโลยีได้เพียงใด คนยิ่งเป็นอิสระและก้าวออกจากการอยู่ใต้อิทธิพลธรรมชาติ. ถึงกระนั้น คนจะเอาตัวรอดตามลำพัง โดยไม่อาศัยสัตว์อื่นๆได้หรือ? น้ำที่คนดื่ม, อากาศที่คนหายใจ, ได้พึ่งพาสรรพชีวิตทั้งมวลที่ช่วยทำให้น้ำและอากาศบริสุทธิ์เพียงพอสำหรับคน. นั่นคือความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นผู้สร้างความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งที่คนกิน รวมไปถึงมวลสารอีกมากมายที่ประกอบกันเป็นสังคมของคน และเป็นแก่นของยาทั้งหลายที่บูรณการสุขภาพของคน.  

คนได้เปลี่ยนการเพาะปลูกเป็นอุตสาหกรรม แต่หากขาดผู้ผสมเกสรดอกไม้ การทุ่มเททางการเกษตรจักไม่ก่อผลใดเลย.  อย่าลืมว่า ผึ้งหนึ่งตัว บินไปเยือนมวลดอกไม้ นำละอองเกสรกระจายออกไป มากกว่าสองแสนห้าหมื่นดอกในฤดูหนึ่งฤดูเดียว. ในโลก มีผึ้งผู้ผลิตน้ำผึ้งประมาณห้าหมื่นล้านล้านตัว (ปัจจุบันจำนวนผึ้งลดลงไปอย่างน่าวิตกแล้ว).  การเพาะปลูกได้ประโยชน์จากสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังเหล่านี้ และจากจุลินทรีย์ในดิน ที่ธำรงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดินเพื่อการเพาะปลูก. ดินหนึ่งกรัมมีแบ็คทีเรียเกือบพันล้านตัว, เป็นแบ็คทีเรียต่างชนิดกัน ตั้งแต่สิบถึงหนึ่งแสนชนิด, ในจำนวนนี้ ยังมีแบ็คทีเรียที่คนยังไม่รู้จักเลย อีกจำนวนมาก. หากเราเชื่อมสายพันธุกรรมดีเอ็นเอของแบ็คทีเรียทั้งหมด มันจะต่อเป็นระยะทางไกลไปถึงสุดขอบจักรวาล. นี่เป็นความหลากหลายทางชีวภาพที่สุดจะประมาณได้... 

       สิ่งมีชีวิตแต่ละสายพันธุ์ วิวัฒน์พัฒนา มีปฏิสัมพันธ์กับสายพันธุ์อื่นๆอย่างต่อเนื่องมิเคยขาด. หากสายพันธุ์หนึ่งล้มหายตายจากไป ห่วงโซ่ที่เหลือจะรีบเข้าทดแทนเพื่อปิดช่องโหว่ที่เกิดขึ้น. หากมีสายพันธุ์จำนวนมาก สูญสลายไปพร้อมกันในคราวเดียวกัน เครือข่ายสิ่งมีชีวิตจักเปราะบางลงไปมาก จนถึงขั้นล่มสลายได้. ธรรมชาติทางชีวภาพของคน จึงขึ้นอยู่กับสรรพชีวิตบนโลกที่คนอาศัยอยู่นี้.  แต่โลกจะมีสายพันธุ์คนหรือไม่...มันไร้ความหมายสำหรับโลก. 

๙. ธาตุแท้ของคน

หากสายพันธุ์คนมิได้โดดเด่นเหนือสายพันธุ์อื่น ไม่ว่าในแง่การมีอำนาจครอบงำเหนือชั้นกว่า, ในแง่การมีความสามารถมากกว่า, หรือในแง่การมีปัญญาดีกว่า, ยังเหลือสมบัติหนึ่งที่สายพันธุ์อื่นไม่มี นั่นคือ อัตลักษณ์ความเป็นคนที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ลดราวาศอก.  พูดไปอาจทำให้คนโมโหโกรธาได้.  คนคือคอเล็กชั่นของสปีชีส์ต่างๆจำนวนมาก อยู่ด้วยกันร่วมมือกันอย่างสนิทแนบแน่น.  สายพันธุ์คนธำรงอยู่ได้ด้วยจุลินทรีย์แสนๆตัวที่มีชีวิตบนตัวคน หากไม่มีจุลินทรีย์เหล่านี้ ชีวิตคนก็สิ้นสุดลง. แม้เมื่อร่างกายคนจะสะอาดหมดจด พื้นหน้าของผิวหนังเหมือนมีพรมคลุมไปทุกอณู ที่เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจิ๋วที่ตาคนมองไม่เห็น. เป็นราและแบ็คทีเรีย ที่ทำหน้าที่เหมือนเกราะปกป้องเชื้อโรคและการติดเชื้อ. กลิ่นตัวที่เป็นกลิ่นเฉพาะ กลิ่นส่วนตัวของแต่ละคน มิใช่อะไรอื่น คือกลิ่นผสมที่เกิดจากแบ็คทีเรียบนตัว ที่ออกมาเป็นกลิ่นเหงื่อของแต่ละคน (หากไม่มีแบ็คทีเรีย เหงื่อคนไม่มีกลิ่น). ลึกลงไปในตัวคน การผสมผสานของแบ็คทีเรียในลำไส้ ก็เป็นอะไรเฉพาะของแต่ละคน. แบ็คทีเรียเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการย่อยอาหารเท่านั้น ยังมีอิทธิพลต่อสุขอนามัยโดยรวมของคนนั้น.  แบ็คทีเรียในลำไส้คน รวมกันทำหน้าที่เหมือนสมองที่สองของคน ที่คอยควบคุมความประพฤติ, อารมณ์, รสนิยม, ไปจนถึงบุคลิกภาพของคนนั้น. จุลินทรีย์ทั้งหลายในระบบย่อยอาหาร มีจำนวนนับไม่ถ้วน ประมาณแสนล้านล้านตัว หรือประมาณสิบเท่าของจำนวนเซลล์ในร่างกายของคน (ที่มีประมาณ 37.2 ล้านล้านล้านตัว). เซลล์เหล่านี้ในตัวคนแต่ละคน มิได้เป็นเซลล์มนุษย์บริสุทธ์ตามที่คนเชื่อเลย. ตลอดระยะเวลาในวิวัฒนาการของคน, แบ็คทีเรียถูกผนวกเข้ากัน, ถูกสั่งถูกสอนและถูกแปลงสมบัติ จนมิอาจแยกออกจากเซลล์มนุษย์ได้อีกแล้ว และมันกลายเป็นกลไกหลักของการทำงานในระบบร่างกายของคน. ในสัดส่วนย่อยที่สุดเช่นสัดส่วนโครโมโซม มนุษยชาติก็หาได้มีอัตลักษณ์เป็นเอกเทศอย่างสมบูรณ์จริงๆ.

       ตั้งแต่แรกเกิดบนพิภพนี้ คนได้ผนึกยีนแปลกหน้า ร้อยๆตัว เข้าไปรวมอยู่ในระบบดีเอ็นเอของคนเสมอมา. นั่นคือ ในตัวคน มีปริมาณไวรัสมากกว่าหนึ่งแสนตัว, เทียบเท่ากับ 10% โดยประมาณของระบบจีโนมของคน. ในที่สุด มนุษยชาติในภาพรวม ไม่ใช่อะไรอื่นเลย คือผลผลิตของความร่วมมือระหว่างสปีชีส์ ติดต่อกันมาจากอดีตอันไกลโพ้น.  เมื่อเป็นเช่นนี้ การอวดอ้างว่าคนพิเศษเหนือสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นใด จึงเป็นเรื่องไร้ความหมาย.

๑๐. มรดกพฤติกรรม

คนไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก. หลงอยู่ในเหวลึกของจักรวาล, คนแชร์ดาวเคราะห์เล็กๆดาวหนึ่ง กับสายพันธุ์อื่นๆอีกล้านๆสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ก็พิเศษ เฉพาะแบบและน่าฉงนงงงวยมาก. คนต้องพึ่งสายพันธุ์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น เพื่อความสุขสบายและการอยู่รอดของคนเอง. คนเป็นธุลีในความไพศาลไม่มีที่สิ้นสุด. คิดดูแล้ว คนไม่มีอะไรพิเศษนักหรอก.

ถึงกระนั้น คนก้าวไปบนเส้นทางของเขา, กำราบปราบสภาวะแวดล้อมและต่อต้านสภาวะอากาศ, ผลักไสศัตรูประเภทต่างๆ, ต่อสู้กับความหิวและเชื้อโรค แล้วแบ่งบานเจริญงอกงาม ออกพิชิตโลก.  คนเสกสรรค์ปรัชญา, ศิลปะ, วิทยาศาสตร์. คนได้พัฒนาทัศนวิสัย, เห็นความสำคัญของคนอื่นๆ มากกว่าหรืออย่างน้อยเสมอเท่าตัวเอง, ได้ปรับเปลี่ยนขนาดและขยายสัดส่วนในระบบการสื่อสาร, การแลกเปลี่ยนและการคิดไตร่ตรอง.  คนกำหนดและตั้งค่านิยมต่างๆ, วางระบบศีลธรรมและระบบจริยธรรม.  ทีละขั้นทีละตอน คนก่อตั้งศาสนา การค้า การเมือง... ในขณะเดียวกันคนก็แยกแยะ แบ่งพรรคแบ่งพวก, เกลียดชัง ทำทารุณกรรม...  คนยังพัฒนาการบริโภคนิยม, การทำลายล้างแผ่นดินและผืนน้ำ, ตักตวงเอาเปรียบสายพันธุ์อื่นๆรวมถึงสายพันธุ์คนด้วยกัน.  คนบรรลุความสำเร็จสูงสุด ในการทำลายยอดเขาสูงๆของโลก, ทำร้ายท้องทะเลที่อยู่ลึกที่สุด, เบียดเบียนความสมดุลภายในของสายพันธุ์อื่นๆ และถล่มเปลือกนอกของดาวเคราะห์ที่คนอยู่.  

ทุกนาที คนให้กำเนิดทารก 250 คน, และผลิตขยะ 4000 ตัน. ทุกวัน คนผลิตรถยนต์ 240 000 คันและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชีวิตอื่น 400 สายพันธุ์. ทุกปี คนปล่อยให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ตายลงประมาณ 9 ล้านคน, และปราบพื้นที่ป่าไม้ราพณาสูร 13 ล้านเฮกตาร์.

คนดูเหมือนจะยกระดับความเชื่อขึ้นเหนือความรู้, การมีเหนือการเป็น, สนใจภาพลักษณ์ของความสุขมากกว่าตัวความสุขเอง.  คนคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าครองเหนือสรรพสิ่ง แต่ครองใจควบคุมใจตัวเองไม่ได้.  คนเป็นสายพันธุ์เดียวที่ได้พัฒนาศักยภาพในการทำลายระบบนิเวศของตัวเอง โดยละเลยการพัฒนาปัญญาที่จักหยุดการกระทำของเขาเอง.  คนเติบโตเร็วกว่าปกติ แต่ยังขาดวุฒิภาวะ, สามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดและสิ่งที่เลวร้ายที่สุด.  คนจะบรรลุวัยของการมีเหตุมีผล ได้ทันก่อนที่จะเผาบ้านของตัวเองให้เป็นจุณวอดวายสิ้นซากลง ไหมนะ?

คำถามนี้ จำเป็น สำคัญ และเร่งด่วน...ไม่ไร้ความหมาย.   

ปัจฉิมลิขิต

ข้าพเจ้าติดตามดูและฟังสารคดีฝรั่งเศสเรื่องนี้ ด้วยความทึ่งและชื่นชม. เนื้อหาท้าทายสติปัญญาและความเข้าใจอันจำกัดของข้าพเจ้า แต่ไม่ท้อถอย เพราะความงามของภาษา การเรียบเรียงเนื้อหาเป็นขั้นตอนชัดเจน รวมทั้งเสียงผู้หญิงคนพูดทั้งเรื่อง ติดตรึงใจ มีจังหวะ การออกเสียงสมบูรณ์สุดยอด.

      ขอบคุณอินเตอเน็ตที่มีเรื่องนำเสนอมิได้ขาด จากเรื่องหนึ่งไปเรื่องหนึ่ง เหมือนมาต่อความอยากมีชีวิต...

        เรื่องนี้มาช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางไปในจักรภพ... ไปด้วยจิตวิญญาณที่ไร้น้ำหนัก ไร้มวล, หลุดจากอิทธิพลของแรงธรรมชาติสี่ชนิดที่มีต่อมวลสาร, ต่อสรรพชีวิตทุกประเภทบนโลก (อันมีแรงดึงดูดโน้มถ่วง - gravitational force, แรงนิวเคลียเข้ม - strong neclear force, แรงนิวเคลียอ่อน - weak neclear force, และแรงแม่เหล็กไฟฟ้า - elctromagnetic force)... เช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงอาจไปคารวะดวงจันทร์, แล้วไปโอบรับแสงทองสุกปลั่งของดวงอาทิตย์, ก่อนไปตระเวนทั่วทางช้างเผือก...

      อดคิดไม่ได้ว่า หากมองตามนัยของฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ยามเมื่อกายดับลง คือหลุดจากอิทธิพลของแรงธรรมชาติสี่ชนิดที่มีต่อมวลสสาร  จิตวิญญาณที่ฝึกมาดีพอ อาจมีหวังหลุดจากอิทธิพลของความโลภที่เทียบได้กับแรงดึงดูด, ของความรักที่เหมือนแรงนิวเคลียเข้มที่ต้องการดึงของรักของชอบเข้าหาตัวเอง, ของความโกรธที่เหมือนแรงนิวเคลียอ่อน ที่ส่งผลกระทบทั้งต่อตัวเองและต่อคนอื่นๆ, และของความหลงที่ครอบงำใจคนเหมือนถูกแม่เหล็กดูดติดหนึบและถูกไฟฟ้าจี้ให้กระวนกระวายไม่สิ้นสุด.

Best wishes for a new healthy year in 2021

Let yourself be positively inspired

and expand your perspective

from the infinitely tiny to infinitely grand…

โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์

๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓.

----------------------------------------------

สำหรับผู้สนใจเรื่องต่างๆ เปิดต่อจากลิงค์ในบทความ และตามไปดูลิงค์ข้างล่างนี้ได้

***ความรู้เกี่ยวกับตัว Tardigrades  

https://thebiologist.rsb.org.uk/biologist/158-biologist/features/1897-tardigrades-in-space

***เรื่องตัวด้วง dung beetles

http://www.bbc.com/earth/story/20170608-some-dung-beetles-have-taken-to-decapitating-millipedes

***เรื่องราวของอันโดรเมดากาแล็กซี่ ที่อยู่ใกล้โลกที่สุด

https://www.express.co.uk/news/science/1165999/NASA-news-Andromeda-galaxy-crash-Milky-Way-colliding-galaxies

*** เนื้อหาจากบทความนี้ ถอดความมาจากสารคดีของ ARTE (ทีวีช่องร่วมมือจากสองชาติ ฝรั่งเศสและเยอรมนี) เรื่อง Une espèce à part (intégrale), June 29, 2019. ภาพและข้อมูลอื่นในวงเล็บ มาจากแหล่งข้อมูลวิทยาศาสตร์อื่นๆ.

https://www.youtube.com/watch?v=stCxLxBMjYA&feature=emb_logo