Monday, November 30, 2020

Beauty&Religion

      รอเจอ สกรูเทิน Roger Scruton (1944-2020 นักเขียนและนักปรัชญาชาวอังกฤษ) อภิปรายว่า ศิลปะเคยเป็นผู้วางลัทธิความงาม แต่ศตวรรษที่ 20 โลกกำลังสับสนอลหม่าน ศิลปะก็เป็นเช่นนั้น. ใครที่ยังมองหาความงามในศิลปะ คนนั้นหลุดออกจากบริบทความเป็นจริงสมัยใหม่. สถาปัตยกรรมและดนตรี หันหลังให้ความงาม และเบนไปปลูกฝังลัทธิความน่าเกลียด ที่นำผู้คนเข้าสู่ความเวิ้งว้างของทะเลทราย. สถาปัตยกรรมแห้งแล้ง, ไร้วิญญาณ. บริบทแวดล้อมทางกายภาพของคนน่าเกลียดมากขึ้นๆ. ภาษา ดนตรีและพฤติกรรมของคน อึกทึกครึกโครม, มุ่งเน้นตัวตนของตนและปกป้องอีโก้ไว้. ความงาม รสนิยมดีๆ ไม่มีจุดยืนในชีวิตของคนแล้ว. คำเดียวที่โดดเด่น ประกาศชูหราเป็นอักษรตัวใหญ่บนสรรพสิ่ง คือคำว่า กู (ความต้องการของกู ความสุขความพอใจของกู).

      สกรูเทินกล่าวย้อนไปในอดีต โยงไปถึงนักปราชญ์คนสำคัญๆ เช่น Plato, Kant และเชื่อมต่อมาถึงศิลปินยุคใหม่ เช่น Marcel Duchamp, Michael Craig-Martin หรือ Jeff Koons. เขาชี้ให้เห็นว่า ศิลปะพลาดท่าไปอย่างไร และเสนอมุมมองส่วนตัวของเขาเพื่อฟื้นฟูความงามสู่สถานะที่เคยมีมาก่อนในใจกลางของวัฒนธรรมตะวันตก.

      ในเมื่อความงามอยู่ในวัฒนธรรมตะวันตกมาตลอดสองพันกว่าปี ชาวตะวันตกย่อมคุ้นชินกับความงาม เขาจึงได้ตั้งคำถาม สำรวจความเห็นจากผู้คน เกี่ยวกับความงาม ติดต่อมานานนับปี. ตั้งแต่ยุคกรีซโบราณ ปรัชญากรีกสะท้อนในความงามทั้งศิลปะ, กวีนิพนธ์, ดนตรี, สถาปัตยกรรมและในชีวิตประจำวัน. นักปรัชญาได้เน้นกันมาเสมอว่า เมื่อคนเราสรรหาและรังสฤษดิ์ความงาม เท่ากับกำลังสร้างโลกให้เป็นบ้าน, ที่นำให้เข้าใจธรรมชาติของคนในฐานะของสิ่งที่มีจิตวิญญาณ. มาบัดนี้ โลกได้หันหลังให้กับความงาม, เมื่อเป็นเช่นนั้น คนจึงถูกห้อมล้อมในความน่าเกลียดและความผิดที่ผิดทาง. ศิลปะหมดความหมาย หมดคำพูด. คนกำลังสูญเสียความงาม และนั่นอันตรายมาก เพราะเท่ากับคนกำลังสูญเสียความหมายของชีวิต. สกรูเทินตอกย้ำว่า ความงามมีความหมายสำคัญ มากกว่าการเป็นความรู้สึกส่วนตัว, เป็นความจำเป็นสากลของมนุษย์. หากเราไม่ใส่ใจความจำเป็นนี้  จิตวิญญาณของเราเหมือนตกอยู่กลางทะเลทราย. เขาอยากเสนอทางออกจากทะเลทรายดังกล่าว และทางออกนั้น เป็นเส้นทางสู่ «บ้าน» ด้วย.

        ศิลปินสำคัญๆในอดีต ตระหนักชัดเจนว่า ชีวิตคนเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเจ็บปวดและความสับสนอลหม่าน. พวกเขามียาแก้ ยานั้นคือ ความงาม. ผลงานสวยงามของศิลปะ ปลอบประโลมใจในยามเศร้าโศก และกระชับความปลื้มปิติ, ยืนยันว่า ชีวิตคนนั้นมีค่าควรแก่การอยู่ การต่อสู้เพื่อบรรลุความสุขความปิติ.  ศิลปินสมัยใหม่หลายคน เหนื่อยล้าเกินไปสำหรับหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้. พวกเขาคิดว่า ศิลปะมิอาจกลบความลุ่มๆดอนๆของชีวิตสมัยใหม่ได้.      

        Marcel Duchamp (1887-1968 ศิลปินฝรั่งเศส-อเมริกัน) ได้สร้างผลงานให้เห็นเป็นตัวอย่างเมื่อร้อยปีกว่ามาแล้ว ใช้นามแฝง ว่า R.Mutt, 1917 และตั้งชื่องานศิลป์ที่เป็น โถปัสสาวะ วางนอนราบลงว่า น้ำพุ Fountain และส่งเข้าแสดงในงานนิทรรศการศิลป์ที่กรุงนิวยอร์ค (Society of Independent Artists’ salon, New York). ผลงานชิ้นนี้ถูกปฏิเสธ และถูกตราว่า นี่ไม่ใช่งานศิลป์.  ดูช็องผู้เป็นสมาชิกหนึ่งในคณะกรรมการของสมาคมดังกล่าว ลาออกจากสมาคมเพื่อประท้วง. งานศิลป์ดังกล่าวของเขา แน่นอน! ล้อเลียนและถากถางโลกศิลปะกับความหลงตัวของศิลปินที่มักเกิดคู่ขนานกัน. 

เครดิตภาพที่นี่.

มีผู้วิเคราะห์ว่า เจ้าของผลงานที่ลงชื่อว่า Mutt ได้สร้างโถปัสสาวะด้วยมือเขาเองหรือไม่ ไม่สำคัญ. สำคัญคือ เขาเป็นคนเลือกโถปัสสาวะนั้น. ได้นำวัตถุธรรมดาๆในชีวิตประจำวัน จัดวางมันในที่แสดง,  วางนอนลงในมุมใหม่, ตั้งชื่อใหม่เรียกวัตถุนั้น, สร้างความคิดใหม่เกี่ยวกับโถปัสสาวะนั้น. ด้วยวิธีการดังกล่าว นัยใช้สอยของวัตถุนั้น ถูกลบหายไปสิ้น. (cf. Beatrice Wood).

       งานชิ้นนี้ของดูช็อง สื่อความชาญฉลาดที่ไม่มีใครคิดมาก่อน. เขาได้สร้างศิลปะที่เตะตาและท้าทายคนดู, สกรูเทินเห็นว่า นั่นเป็นสุดยอดของศิลปะในศตวรรษที่ 20. งานของดูช็อง เปิดตาทุกคนให้เข้าใจในบัดดลว่า ทุกอย่างเป็นศิลปะได้ ไม่ว่าจะเป็นแค่กระป๋องสิ่งโสโครก หรือกองอิฐ. ตั้งแต่นั้น ศิลปะปลีกตัวออกจากสถานะศักดิ์สิทธิ์ที่คนเคยจัดกรอบให้, มันไม่มีบทบาทในการยกระดับศีลธรรมและจิตวิญญาณอีกต่อไป. มันเป็นเพียงพฤติกรรมหนึ่งของคนหนึ่ง, ไม่มีนัยแฝงนัยลึก แต่กำลังหลอกล่อยั่วเย้าคนดู.

      บางทีศิลปะยุคใหม่นี้ ต้องการช็อคเรา แต่อะไรที่ช็อคเราในครั้งแรก หากเกิดขึ้นซ้ำๆ ก็น่าเบื่อ. ศิลปะที่ถูกสร้างให้เหมือนเรื่องตลก แต่เห็นซ้ำๆ ก็ไม่ทำให้ขัน. การจินตนาการสร้างงานศิลป์, กระบวนการอาจน่าสนใจและชวนสนุก แต่นั่นไม่เพียงพอที่จะประกาศว่า การมีจินตนาการเกี่ยวกับศิลปะ คือศิลปะ. หากงานศิลป์ ไม่เป็นอะไรมากไปกว่าความคิดแล้วล่ะก็  ไม่ว่าใครก็เป็นศิลปิน และไม่ว่าวัตถุใดก็เป็นศิลปะชิ้นหนึ่ง. เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมีความชำนาญ, รสนิยมหรือวิธีการเสกสรรค์ปั้นแต่ง. คนกำลังตีค่าศิลปะต่ำลงๆ ให้เป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง ด้วยการประกาศว่า นั่นเป็นงานศิลป์ แล้วให้ทุกคนเห็นว่า มันคืองานศิลป์.

      งานของดูช็องยังคงมีอิทธิพลต่อมา เช่น Michael Craig Martin (1941- , ศิลปินและจิตรกร ชาวไอริช) ได้สร้างงานตามวิสัยทัศน์ของดูช็อง. ผลงานที่มีชื่อเสียงคือ An Oak Tree ที่เขายืนยันและอธิบายว่ามันเป็นงานศิลป์.

An Oak Tree by Michael Craig-Martin. 1973; เครดิตภาพที่นี่.

ไมเคิล เครก มาร์ติน ตั้งแก้วน้ำใส บนหิ้งกระจกใสที่มีกรอบเป็นโลหะ ทั้งหมดติดอยู่บนผนังกำแพง. ใต้ลงมามีแผ่นกระดาษให้คำอธิบายว่า สิ่งที่เขาจัดแสดงนั้นคือต้นโอ๊ค. (ไอ้หยา! พึมพำอยู่ในใจ)

       เมื่อคนดู เห็นโถปัสสาวะของดูช็อง หรือต้นโอ๊คของเครก มาร์ติน ไม่มีใครคิดว่ามันสวย แต่มีอะไรบางอย่างที่ตรึงความสนใจขึ้นมา. งานศิลป์ต้องการจับจินตนาการของคน และนั่นคือกุญแจของศิลปะหรือไม่. แก่นของศิลปะคือความคิดที่คนหนึ่งจินตนาการขึ้นมาหรือ? ความจริงของศิลปะ มิได้อยู่ที่ผลิตผลที่มีรูปมีร่าง ที่ถ่ายทอดความคิดนั้นมาหรือ?  

       ดูช็องอาจเห็นว่า ศิลปะชักเบนไปสนใจเรื่องเทคนิคมากเกินไป มุ่งเรื่องมุมมองมากเกินไป จนไปกัดกร่อนมิติทางปัญญาและทางจิตญญาณในศิลปะ. ดูช็องดูเหมือนต้องการเนรมิตรศิลปะ โดยไม่ยึดหลักการเก่าๆที่หลายคนเชื่อว่า ศิลปะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้, เขาตัดบริบทเหล่านั้นออก, เขาคิดว่า ประเด็นของศิลปะไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ศิลปะควรมีหรือควรเป็น. ศิลปะควรขยายออกไปรวมสรรพสิ่งที่คนไม่เคยคิดหรือสนใจมาก่อน. นั่นน่าจะเป็นหน้าที่ของศิลปิน คือทำอะไรให้ดูสวย ทำให้คนเห็นอะไรที่สวยน่าทึ่งในสิ่งที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นสวยมาก่อนเป็นต้น.

       อีกตัวอย่างหนึ่งของเจฟ คูนซ์ Jeff Koons (1955-  ศิลปินชาวอเมริกัน สร้างสรรค์ประติมากรรมเกี่ยวกับสรรพสิ่งในชีวิตประจำวัน รวมทั้งบัลลูนรูปสัตว์เป็นต้น).

สุนัข Puppy (1992 ที่ใช้ต้นไม้ดอกสีต่างๆประกอบกันเป็นรูปสุนัข) หน้าหอศิลป์ Guggenheim Museums ที่เมือง Bilbao ประเทศสเปน. เครดิตภาพที่นี่. 

บัลลูนลูกสุนัขสีส้มๆ  เครดิตภาพจากที่นี่.

ศิลปะมีประโยชน์อะไร ศิลปะช่วยคนอย่างไร

      สกรูเทินเชื่อและหวังว่า ศิลปะจะช่วยให้คนมองโลก แล้วเห็นความหมาย, มองให้เห็นโลกปัจจุบัน ณที่นี่และเดี๋ยวนี้, เห็นโลกที่เราอยู่จริง, ตามความเป็นจริงที่ไม่สมบูรณ์ ที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องและความน่าเกลียด, โลกที่เราต้องอยู่ และพยายามอยู่ให้ดีที่สุด ให้สบายใจที่สุด, ไม่ใช่โลกในอุดมการณ์ที่ดีกว่า. ในแง่นี้ ศิลปะคือการแบ่งปัน, เป็นเสียงร้องเรียกให้คนอื่นมองโลกตามที่ศิลปินเห็น. ในแบบเดียวกับงานวาดเขียนของเด็กๆ ที่วาดภาพ ยืนยันโลกตามที่เขาเห็นและบอกเล่าความรู้สึกที่พวกเขามีในโลกที่เขาอยู่และเห็น. สายลมเย็นสดชื่นที่เกิดจากภาพของเด็กเยี่ยงนี้เอง มีแทรกอยู่ในงานศิลป์ที่แท้จริง. แต่ความคิดสร้างสรรค์ยังไม่เพียงพอ ความชำนาญของศิลปินที่แท้จริง อยู่ที่การนำเสนอความจริงในแสงสว่างของอุดมการณ์. หากทำเช่นนี้ได้ เท่ากับศิลปินบรรลุเป้าสูงสุดของศิลปะ ตามแบบอย่างของไมเคล แอนเจโลเมื่อรังสรรค์รูปปั้นเดวิด. รูปปั้นจำลองของเดวิดที่ไปตั้งประดับสวนหรือที่ใด มันไม่งามเท่า ไม่ตรึงใจเลย เพราะรูปปั้นจำลองเหล่านั้น ขาดมิติของความคิดสร้างสรรค์ของศิลปิน.

       สกรูเทินเตือนว่า อย่าเสี่ยงไปตัดสินรสนิยมของคนอื่น มันไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น. มีมาตรฐานของความงามที่มีฐานมั่นคงในธรรมชาติมนุษย์กันอยู่แล้ว. เราต้องมองหาฐานนั้นและนำมันเข้ามาในชีวิตเรา. หลายคนได้สูญเสียศรัทธาในความงาม เพราะพวกเขาได้สูญเสียความเชื่อในอุดมการณ์ต่างๆไปแล้ว. พวกเขาจึงพยายามคิดถึงโลกของการเสพ. ค่าของสรรพสิ่ง เหลืออยู่ที่การเป็นสิ่งอำนวยประโยช์เท่านั้น ไม่มีค่าอะไรอื่นอีก. คนคุ้นชินกับ « สิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งนั้นมีค่า »

      Oscar Wilde เคยเขียนไว้ว่า ศิลปะเป็นสิ่งไร้ประโยชน์จริงๆ. ที่เขาพูดอย่างนี้ เขาต้องการสรรเสริญความงามดิบ ความงามธรรมชาติ ว่ามีค่ามากกว่าการมีประโยชน์. สกรูเทินยืนยันว่า คนต้องการสิ่งไม่มีประโยชน์มากพอๆกัน บางทีมากกว่าด้วยซ้ำ. ลองคิดหาประโยชน์ของความรัก,  มิตรภาพ, ศรัทธา/การบูชา, หรือความงาม. สังคมบริโภคของเรา เอาประโยชน์ขึ้นตั้งก่อน,  ความงามเป็นเพียงผลพลอยได้นิดๆหน่อยๆ. เมื่อศิลปะไม่มีประโยชน์ มันจึงหมดความสำคัญสำหรับคนยุคใหม่. ข้อมูลรอบตัว รุกเร้าเราตลอดเวลาให้เสพ เสพและเสพ. นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ความงามกำลังหายไปจากโลกของเรา. (ในภาษาญี่ปุ่น มีคำพังเพยหรือสุภาษิตสอนใจว่า 花より団子 - Hana yori dango [ฮะหนะ โยริ ดังโกะ สิ่งที่เป็นประโยชน์ย่อมต้องมาก่อนสิ่งที่สวยอย่างเดียว.  สำนวนนี้ทำให้นึกถึงสภาพความเป็นจริงในชุมชน, นึกถึงพฤติกรรมของชาวญี่ปุ่นเมื่อออกไปออกันในสวน ในวัดหรือศาลเจ้า, ว่าทุกคนดูจะสนใจ มุ่งอยู่กับการกินการดื่มเหล้าใต้ต้นซากุระหรือร้องรำทำเพลง มากกว่าการไปนั่งพินิจพิจารณาชื่นชมความงามของดอกไม้, หรือคิดลุ่มลึกเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของชีวิต ดังที่ชาวญี่ปุ่นพูดย้ำชวนเชื่อไว้. ความจริงคือคนสนใจไปกินไปดื่มและสนุกกับเพื่อนๆมากกว่าสิ่งอื่นใด.  อุดมการณ์เป็นเรื่องสูงส่ง แต่ชีวิตจริงในแต่ละวันต้องมาก่อน ).

       Wordsworth เขียนไว้ว่า เราใช้กำลังของเราให้สูญเปล่าไปกับการซื้อ การจ่ายในวัฒนธรรมบริโภคปัจจุบัน. งานโฆษณา สำคัญกว่างานศิลป์มากนัก และงานศิลป์ก็มักมุ่งไปจับความสนใจของเรา ไม่ผิดแผ่นป้ายโฆษณาสินค้า. ดังตัวอย่างของหัวกะโหลกปลาตินัมฝังเพชร (ผลงานปี 2007) ของเดเมียน เฮิร์ส Damien Hirst (1965-  , ศิลปินร่วมสมัยชาวอังกฤษ ศิลปะของเขาสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะ, ศาสนา, วิทยาศาสตร์, ชีวิตและความตาย)

เดเมียน เฮิร์ส ตั้งชื่อกะโหลกศีรษะนี้ว่า เพื่อเห็นแก่พระเจ้า จงหัวเราะ For the love of God, laugh. กะโหลกเหมือนกำลังหัวเราะเบื้องหน้าความตาย. สื่อนัยย้อนกลับไปยังสำนวนละตินว่า memento mori จำไว้ว่า วันหนึ่งเจ้าต้องตาย. ศิลปินดูเหมือนต้องการเน้นให้เห็นเกมและความบ้าคลั่งในตลาดเสพศิลปะ. เครดิตภาพที่นี่. 

       สกรูเทินวิจารณ์ต่อไปว่า การโฆษณาในตลาดซื้อขายศิลปะทุกวันนี้ เป้าหมายคือการสร้างแบรนด์ ทั้งๆที่บางทีไม่มีอะไรขายด้วยซ้ำ นอกจากภาพโฆษณานั้น. ความงามถูกโจมตีจากสองทิศทาง คือ จากลัทธิของความน่าเกลียดในศิลปะ (รสนิยมของคนยุคปัจจุบัน ใฝ่ความน่าเกลียด สยดสยอง เหมือนเพื่ออวดตัวว่า มีจิตวิญญาณที่อยู่เหนือหรือสยบความสยดสยองนั้นได้).  อีกทิศทางหนึ่ง คือจากลัทธิของความเป็นประโยชน์ใช้สอยจริงในชีวิตประจำวัน.  สองลัทธินี้ มารวมกันอยู่ในโลกของสถาปัตยกรรมยุคใหม่.

        ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของศตวรรษที่ 20 สถาปนิกเหมือนศิลปิน เริ่มไม่ยี่หระกับความงามและเอาประโยชน์ขึ้นก่อน. หลุยซ์ซัลลีเวิน Louis Sullivan (1856-1924, สถาปนิกอเมริกัน. ติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับสถาปนิกอเมริกันคนนี้ได้ที่นี่. ได้พูดถึงลัทธิสำหรับคนยุคใหม่ว่า รูปลักษณ์ต้องเป็นไปตามหน้าที่ (form ever follows function).  หยุดคิดเรื่องหน้าตาของอาคารสถาปัตยกรรม แต่ให้คิดว่าอาคารนั้นจะใช้ทำอะไร. สกรูเทินวิจารณ์ว่า ซัลลีเวิน มีหลักการที่กลายเป็นฆาตรกรรมความงาม ที่ยังส่งผลกระทบสืบต่อมาจนทุกวันนี้, เป็นอาชญากรรมต่อสถาปัตยกรรมยุคใหม่ (อาคารหรือตึกรามบ้านช่องสี่เหลี่ยมตั้งสูง ดุ้นๆเป็นกล่องไม้ขีดไฟ ทะยานสูงขึ้นๆ เป็นพยานหลักฐานของผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจเหนือสิ่งอื่นใด). เมื่อคนออกแบบอาคาร โดยไม่คำนึงถึงความงาม, ผลที่ออกมา พิสูจน์ให้เห็นมากต่อมากรายแล้วว่า หากยึดแต่ประโยชน์ใช้สอยของสรรพสิ่ง, ไม่ช้าไม่นาน สิ่งที่สร้างจะกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ และจะถูกปิดลงในที่สุด. เมืองส่วนใหญ่มีตึกที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยอย่างเร่งด่วน และกลายเป็นตึกที่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้จริง. สถาปนิกรุ่นใหม่ๆ ไม่เคยเรียนจากข้อผิดพลาดในทศวรรษที่ 1960 ยังคงออกแบบตึกใหม่ๆ คอนโดมากมาย ตามความคิดเดิมๆ ที่จบลงด้วยการรื้อถอนในอนาคต...

       อ้อสกา ไวด์ที่เคยบอกว่าศิลปะทั้งหลายทั้งปวงนั้น ไม่มีประโยชน์. หากนำประเด็นประโยชน์ใช้สอยขึ้นหน้า ไม่ช้าก็จะสูญเสียสิ่งนั้น หากนำความงามขึ้นหน้า, สิ่งที่ได้ จะเป็นประโยชน์สืบต่อไปยั่งยืนนาน เพราะในที่สุด ไม่มีอะไรที่มีประโยชน์มากกว่าสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์. สถาปัตยกรรมแบบเก่า ปลดปล่อยคนจากความบีบคั้นของการต้องมีประโยชน์ และสนองความต้องการความสมดุลในธรรมชาติของเรา ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านตัวเอง และเตือนเราว่า เรามีความต้องการอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับการเสพเช่นการกิน การนอน, เรายังมีจิตวิญญาณและความต้องการด้านอื่นด้วย และเมื่อไม่มีการตอบสนองด้านอื่นที่จิตวิญญาณโหยหา เราย่อมอยู่ไม่เป็นสุข.

       เราต่างรู้ว่าแม้ในโลกประจำวัน บัดดลเรารู้สึกเหมือนหลุดออกจากโลกธรรมดาของการเสพ ไปยังโซนสว่างของความคิดคำนึง ดั่งแสงแปล็บปลาบของแสงแดด, เหมือนทำนองเพลงหนึ่งที่จำได้, ใบหน้าของคนที่เรารัก. นาทีที่รู้สึกปลาบปลื้มเช่นนั้น เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ที่ยืนยันว่า ชีวิตนี้มีค่า. นาทีอมตะเยี่ยงนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า มีโลกอีกโลกหนึ่งที่อยู่เหนือโลกปัจจุบันเบื้องหน้าเรา. ตั้งแต่เริ่มต้นของอารยธรรมตะวันตก กวีและนักปราชญ์ ได้สัมผัสความงาม ว่าเป็นสิ่งที่เชิญชวนจิตใจไปสู่เบื้องบน (เรียกสะดวกๆว่า พระเจ้า). เปลโตเขียนไว้ในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาลแล้วว่า ความงามเป็นตราของระเบียบที่เหนือกว่าแบบหนึ่ง. ให้มองดูความงามด้วยดวงตาของจิตใจ แล้วเจ้าจะสามารถหล่อเลี้ยงคุณธรรมและเป็นเพื่อนของพระเจ้า. เปลโตเป็นผู้ยึดมั่นในอุดมคติ เขาเชื่อว่า มนุษย์เป็นผู้จาริกและผู้โดยสารของโลกนี้ ที่บ่ายหน้าสู่สิ่งที่อยู่ไกลออกไปจากโลกที่เห็น, ไปยังอาณาจักรนิรันดร์ที่แต่ละคน จะเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นเจ้า. พระเจ้าอยู่เหนือโลกของวัตถุ (เรียกง่ายๆเพื่อความสะดวกว่า) โลกสวรรค์, โลกที่มนุษย์อยากไป แต่ไม่รู้ว่าจะไปได้อย่างไร. แต่มีทางสัมผัสโลกสวรรค์จากที่นี่ จากโลกนี้ เมื่อคนสามารถสัมผัส ดื่มด่ำกับความงาม.

      สกรูเทินบอกว่า สำหรับเปลโต เหนือสิ่งอื่นใด ความงามคือความงามของใบหน้ามนุษย์และรูปร่างมนุษย์ (สุนทรีย์กรีก). ความรักความงามน่าจะเริ่มขึ้นใน เอโรซ eros คือกัมมภาวะ (emotion) ที่คนแต่ละคนรู้สึกได้ ที่เราอาจเรียกความรู้สึกดังกล่าวว่า เป็นความรักโรแมนติก.  สำหรับเปลโต เอโรซคือพลังจักรวาลที่ไหลผ่านตัวคน, คือกามฉันทะ. แต่หากความงามกระตุ้นกามฉันทะ มันจะไปเกี่ยวกับความเป็นเทพได้อย่างไร (กามฉันทะนั้น สำหรับมนุษย์เดินดิน คือความรักใคร่, ความปรารถนาทางเพศ, ความลุ่มหลงในกามหรือราคะ) ในเมื่อราคะเกี่ยวกับการเอา การยึดมาครอง.  เปลโตจึงเสนอ platonic love หรือ ความรักฉันท์มิตร เป็นทางออกสู่(พระเจ้า/เทพ) เบื้องบน, ว่าเป็นความปรารถนาที่ไม่มีราคะเจือปน เช่นเมื่อเห็นความงามของเด็กหนุ่มสาว ที่ทำให้เหมือนได้สัมผัสแสงเรืองรองของนิรันดร ที่ส่องมาจากโลกอื่น. ความงามของร่างคน เป็นคำเชิญชวนให้หลอมตัวเชื่อมกับความงามนั้นทางจิตวิญญาณ มิใช่ทางกาย. เป็นความงามเพื่อการชื่นชม มิใช่เพื่อการจับจองเป็นเจ้าของ. ความรู้สึกต่อความงามดังกล่าว จึงเป็น «อารมณ์ศาสนา» มิใช่กามารมณ์. เปลโต้จึงสรุปว่า ความงามที่แท้จริงอยู่เหนือความรักใคร่. ดังนั้น เราอาจเห็นความงามในร่างของเด็กรุ่นๆ หรือในใบหน้าที่เหี่ยวชราด้วยวัย ด้วยทุกข์เวทนา หรือด้วยความสงบสุขุม ดังที่เรมแบรนด์ได้วาดไว้, แสดงให้เห็นความงามของใบหน้าหนึ่ง ที่ชีวิตได้ประทับรอยของมันบนเลือดเนื้อนั้น, กลายเป็นภาพของจิตวิญญาณ. และเมื่อเรามองใบหน้านั้น เราเหมือนได้สัมผัสจิตวิญญาณของคนนั้น.

       ทฤษฎีของเปลโต้นี้น่าทึ่งจริงๆ เขาคิดว่า ความงามเหมือนอาคันตุกะจากอีกโลกหนึ่ง, เราทำอะไรกับมันไม่ได้ นอกจากชื่นชมความงามกระจ่างผุดผ่องนั้น. หากลงมือทำอะไรกับความงามนั้น จะกลายเป็นการทำลาย เป็นการล่วงละเมิดออร่าศักดิ์สิทธิ์. คนยุคปัจจุบัน อาจคิดว่าแปลกประหลาด แต่เป็นทฤษฎีที่ส่งอิทธิพลอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์อารยธรรมตะวันตก, ได้ดลใจมุมมองเกี่ยวกับเพศและความรัก แก่กวี นักเล่านิทาน จิตรกร นักบวชและนักปรัชญา. วรรณกรรมจำนวนมากได้ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของกามฉันทะตามมุมมองของเปลโต (Thomas Malory, John Donne, Guido Cavacanti, Spencer Johnson, Christina Rossetti, รวมทั้งจิตรกรเช่น Sandro Botticelli)

       จิตรกรเช่นเรมแบรนด์ได้เสนอและนำเราให้เห็นว่า ความงามเป็นสิ่งธรรมดาๆในชีวิตประจำวัน, อยู่รอบตัวเรา. เราเพียงมีตามอง มีหัวใจที่มีความรู้สึก ก็จะเห็นว่า แม้สิ่งแสนสามัญที่สุด อาจกลายเป็นสิ่งที่งามได้ โดยเฉพาะเมื่อจิตรกรสามารถเจาะทะลุเข้าถึงใจกลางของสิ่งนั้น. ศิลปะจะยังอยู่ นานตราบเท่าที่ใจกลางของอารยธรรมของเรา ยังมีความเชื่อในสิ่งที่ตามองไม่เห็นหรือสัมผัสได้ ที่อาจเรียกว่า พระเจ้า(เพื่อความสะดวก).  ศิลปินและนักปรัชญา ยังคงคิดถึงความงามตามแนวของเปลโต, เป็นความงามที่เปิดเผยการมีอยู่ของพระเจ้าเบื้องบนในโลกปัจจุบันของที่นี่และเดี๋ยวนี้. การเข้าถึงความงามตาม “แนวศาสนา” นี้ สืบทอดมานานกว่าสองพันปีแล้ว.

       แต่ในศตวรรษที่ 17 การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ได้หว่านเมล็ดแห่งความสงสัยไปทั่วยุโรป. คริสตจักรยุคกลางยอมรับมุมมองจากยุคโบราณว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล. โคแปร์นิกุส กับกาลิเลโอ กลับพิสูจน์ให้เห็นว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์, ตามด้วยนิวตันที่อธิบายว่า จักรวาลหมุนไปเหมือนระบบนาฬิกา, แต่ละนาทีตามหลังนาทีก่อนอย่างอัตโนมัติ. นี่เป็นวิสัยทัศน์ยุคแสงสว่างนำปัญญาในอารยธรรมตะวันตก. จุดยืนดังกล่าว ไม่เหลือพื้นที่ให้พระเจ้าหรือวิญญาณใดๆอีกเลย, ไม่มีที่สำหรับคุณค่า, อุดมคติอื่นใด, ไม่มีพื้นที่สำหรับเรื่องอื่นใด, นอกจากการเคลื่อนไหวสม่ำเสมอของระบบนาฬิกา ที่ทำให้ดวงจันทร์หมุนไปรอบโลกและโลกหมุนไปรอบดวงอาทิตย์. ทุกอย่างเป็นไปเช่นนั้นอย่างอัตโนมัติ โดยไม่มีเป้าหมายใดๆเลย. 

        ความคิดที่ว่าโลกตั้งอยู่และวิวัฒน์เต็มศักยภาพของมันอย่างอัตโนมัติอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีลัทธิศาสนาใด มาจัดระบบโลกและจักรวาล. พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ปลูกความงามลงในโลก, คนต้องค้นพบความงามนั้นเอง. การค้นพบความงาม จักยกระดับความชื่นชมในศิลปะและธรรมชาติ, ยกขึ้นสูงบนที่ตั้งที่เคยเป็นที่สถิตของพระเจ้า. ความงามเข้าเติมเต็มหลุมโหว่ที่วิทยาศาสตร์เป็นผู้ขุด. ความงามมาช่วยให้คนมองเห็นมนตร์เสน่ห์ของชีวิต. สกรูเทินบอกว่า คิดอย่างนี้ ตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ได้ลึกซึ้งกว่า.

       ศิลปินยุคปัจจุบัน ไม่ได้เป็นผู้วาดภาพประกอบเรื่องราวศักดิ์สิทธิ์ ดังที่เคยรับใช้ศาสนามาก่อนในอดีต. มาบัดนี้พวกเขาเป็นผู้ค้นหาเรื่องราวต่างๆ, หาความลับจากธรรมชาติ, เจาะลึกทัศนียภาพที่เคยเป็นเพียงฉากหลังของภาพเนื้อหาศาสนามาก่อน แล้วถอยคนออกไปเป็นเพียงองค์ประกอบย่อยๆในหลืบของภูมิประเทศ. Anthony Ashley Cooper, 3rd Earl of Shaftesbury (1671-1713, นักการเมือง, นักปรัชญาและนักเขียน) บอกว่า การนำเสนอความงามของโลก ไม่จำเป็นต้องมีเทคนิคกลไกขั้นสูง, คนเพียงเปิดตามองให้กระจ่าง, สังเกตอย่างละเอียด, ไร้อารมณ์, หยุดคิดถึงประโยชน์, หยุดอธิบาย, ให้สิ่งที่เห็นนำจิตวิญญาณไปสู่ความงาม. แล้วจะเข้าใจสารของดอกไม้. พุทธศาสนาเซนก็พูดไว้ในทำนองเดียวกัน ปล่อยวางความสนใจหรือธุรกรรมใดลงเสีย เพื่อเผชิญสัจจะของดอกไม้, มองดูทุกอย่างตามที่มันเป็น, เราจะค้นพบความงาม.

       อิมมานูเอล คั้นต์ Immanuel Kant (1724-1804, นักปรัชญาชาวเยอรมัน นักคิดหลักในยุคแสงสว่างส่องปัญญาศตวรรษที่ 18 ผู้มีอิทธิพลต่อความคิดและปรัชญาของคนรุ่นต่อๆมาอย่างยิ่ง) สนใจปรัชญาของ Shaftbury มากและวิเคราะห์ไปในแนวเดียวกันว่า เพียงเราปล่อยตัวซึมซับสรรพสิ่งและเห็นความจริงตามที่มันเป็น, ความงามจะอุบัติขึ้น. หยุดคำนึงถึงความสนใจของเราเอง, ว่าจะใช้มันทำอะไรได้บ้าง, หรืออธิบายว่ามันทำงานอย่างไรเพื่อจะใช้มันตามความต้องการ. เปรียบได้กับความรู้สึกเมื่ออุ้มเด็กทารกในมือ เราไม่ได้จะทำอะไรกับเด็ก ไม่ได้จะกินเด็ก หรือเอาไปใช้ทำอะไรทั้งสิ้น เราเพียงต้องการมอง สัมผัสตัวทารกนั้น. ความปิติบังเกิด ซาบซ่านใจ.

       ส่วนใหญ่ในชีวิต คนวนเวียนอยู่กับความกังวล, ความผูกพันในชีวิตประจำวัน แต่บางครั้งบางคราว เราถูกสั่นคลอนไปกับความอิ่มเอมใจเมื่ออยู่ต่อหน้าบางสิ่งที่กว้างกว่าและสำคัญกว่าความต้องการและความสนใจปัจจุบัน. หลายคนมีประสบการณ์มาแล้ว เช่นในขณะฟังดนตรี, ในขณะยืนชมภูมิทัศน์ที่สวยตรึงใจ, หรือเมื่ออ่านบทกวีที่เจาะลึกถึงแก่นของสิ่งหนึ่งหรือความรู้สึกหนึ่ง. การเผชิญกับความงามเป็นไปอย่างฉับพลัน รุนแรง ส่วนตัว. ความงามส่องประกายมาถึงเรา ดั่งลำแสงสาดส่อง สว่างขึ้นในบัดดล, ดั่ง เสียงจากพระเจ้า. เป็นประสบการณ์ที่อยู่เหนือสามัญสำนึก นำเราไปอยู่เบื้องหน้าอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้อกระทึกเหมือนเมื่อตกหลุมรัก. เป็นประสบการณ์ที่แปลกที่สุด ที่กวีและปราชญ์ได้พยายามบอกว่า การปะทะกับความรู้สึกดังกล่าว เป็นนาทีศักดิ์สิทธิ์ และยืนยันว่า มีความงามจริงในโลกนี้ ที่เชื่อมตัวตนของเรากับความลึกลับของความเป็นคน.

      นักปรัชญาและศิลปิน มีเหตุผลดีทีเดียวที่เชื่อมความงามกับความศักดิ์สิทธิ์, มีเหตุผลดีทีเดียวที่เราต้องการความงาม และโหยหาสิ่งปลอบใจในโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย, ความเสียใจและความเครียด. ตั้งแต่เริ่มอารยธรรมของมนุษย์ ศิลปะเป็นสิ่งปลอบประโลมใจและกระตุ้นอารมณ์สุนทรีย์.  การค้นพบความงาม แม้ในสภาพชีวิตจริงที่เลวร้ายที่สุด อาจช่วยดึงทุกข์เวทนาออกไปจากคนได้. ดังตัวอย่างภาพตรึงกางเขนของ มันเตญา Mantegna ที่นำเสนอความตายที่โหดเหี้ยมที่สุด ที่น่าเกลียดที่สุด. แต่ศิลปะของมันเตญา บรรลุความสง่าและความขรึม ชดเชยความน่ากลัวของความตาย และธำรงศักดิ์ศรีของคนไว้ได้.

ส่วนหนึ่งของจิตรกรรม Lamentation over the Dead Christ (1480), ผลงานของ Andrea Mantegna ที่ Pinacoteca di Brera เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี. เครดิตภาพที่นี่.

        ความงามเป็นอิฐ. เมื่อเราติดตามหาความงาม เท่ากับเรากำลังก่อร่างสร้างโลกให้เป็นบ้าน, บ้านที่คือวิมานของเรา. สกรูเทินสรุปว่า ศิลปะและดนตรี ส่องไปบนชีวิต(เซ็งๆ)ประจำวัน เป็นลำแสงที่เติมพลังแก่เราในการแก้ไขปัญหา หรือเป็นประกายของสันติสุขอันอบอุ่นใจ. พลังอำนาจเช่นนี้เอง ที่ทำให้ ความงามเป็นสิ่งทดแทนศาสนาได้.  

       สกรูเทินบอกอย่าถามเลยว่า ทำไมถึงเน้นศาสนาทำไมไม่พูดว่า ศาสนาเข้าแทนที่ความงามได้?  ทำไมจึงพูดถึงความงามกับศาสนา เหมือนเป็นคู่แข่งกัน.  คำตอบคือ ทั้งสองเหมือนสองประตูที่อยู่เคียงข้างกัน และที่เปิดไปสู่พื้นที่เดียวกัน...ที่เป็นที่ตั้งบ้านของเรา.

    « บ้านคือวิมานของเรา ยามพบความเศร้า  รีบกลับบ้านเรา จะเปรมปรีดา เพราะบ้านมีรัก น้ำใจ อภัย กรุณา  คอยเราอยู่ทุกเวลา ในชายคาเขตบ้านของเรา » (แว่วเสียงยืนยันจาก สวลี ผกาพันธุ์)

ชอบใจ Beauty is Home ความงามคือบ้าน 

หากโลกยังมีความงาม จะขอให้กูเกิลแม็ปปัดหมุด 

locate my Home and pinpoint my Living Room!

โชติรส รายงาน

๑ ธันวาคม ๒๕๖๓. 

--------------------------------

*** ติดตามอ่านประวัติของ Roger Scruton  ได้ที่นี่ >>

https://www.theguardian.com/books/2020/jan/14/sir-roger-scruton-obituary

*** ติดตามดูผลงานและอิทธิพลของ Michael Craig-Martin ในวงการศิลปะร่วมสมัย >>

https://www.youtube.com/watch?v=Xd7w8X0Ym9o

*** ดูสารคดีเรื่อง Why Beauty Matters ได้ที่ลิงค์นี้ >>

https://topdocumentaryfilms.com/why-beauty-matters/

Monday, November 16, 2020

Fight for Wine

เมื่อเยอรมนีเข้าปล้นไวน์ในฝรั่งเศส

ศตวรรษที่ 20 คุกรุ่นด้วยสงครามโลกสองครั้ง ที่ส่งผลกระทบออกไปทั่วโลก แต่ละประเทศถูกผลักให้เข้าร่วมสงครามไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง. ต่างต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ด้วยความหวังอนุรักษ์และจรรโลงวิถีชีวิตที่พวกเขาเลือก. สำหรับชาวฝรั่งเศส สงครามกับเยอรมนี คือสงครามเพื่อปกป้องไวน์.

      เมื่อเยอรมนียกทัพเข้ารุกรานโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายนปี 1939 ที่เป็นชนวนเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง. อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมนีในวันที่ 3 กันยายนปี 1939 ตามสนธิสัญญาณว่าจะร่วมมือปกป้องพรมแดนของโปแลนด์. ต้นปี 1940 เยอรมนีแผ่แสนยานุภาพไปยังประเทศฟินแลนด์ เดนมาร์กและนอร์เวย์ แล้วไล่รุกลงสู่กลุ่มประเทศเบเนลักส์ และเข้ายึดกรุงปารีสได้ในเดือนพฤษภาคมปี 1940. วันที่ 22 มิถุนายน 1940 ฝรั่งเศสลงนามในสัญญาสงบศึก เพียงในเวลาไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ครึ่งบนของประเทศฝรั่งเศส ตกอยู่ใต้การควบคุมของกองทัพไรช Reich เยอรมัน ที่ตั้งศูนย์บัญชาการที่ปารีสและตามเมืองสำคัญๆอื่นๆ. ฝรั่งเศสไปจัดตั้งรัฐบาลที่เมืองวิชี Vichy ในภาคใต้ โดยมีพันธสัญญาว่ายินดีให้ความร่วมมือกับการปกครองของฝ่ายนาซี. ตั้งแต่นั้น ภายในฝรั่งเศสเอง คือการต่อสู้ต่อต้านทหารนาซีด้วยวิธีการต่างๆ เป็นเครือข่ายใต้ดิน. ทั้งนี้เพราะพื้นที่ที่อยู่ในอาณัติของกองทัพไรช รวมดินแดนถิ่นไวน์ที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสจำนวนมากเช่น แดนช็องปาญ Champagne, บูร์กอนญ์ Bourgogne, กอญัก Cognac และบอร์โด Bordeaux. ชาวไร่องุ่นและพ่อค้าไวน์ทั้งหลาย คาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น. ความทรงจำเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่เพิ่งจบลงเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ยังหลอกหลอนใจไม่ลืมเลือน.

       ปี 1940 นั้น ประชากรฝรั่งเศสประมาณ 7 ล้านคน มีอาชีพเกี่ยวกับการปลูกองุ่นและทำไวน์ เป็นเครือข่ายเศรษฐกิจสำคัญยิ่งของฝรั่งเศส. พวกเขารู้สึกเกลียดชังทหารนาซี (และเรียกทหารนาซีว่า Boche [โบ๊ช] จากคำ caboche ที่แปลว่า กะหล่ำปลี เน้นภาพหัวกลมๆเกลี้ยงๆของทหาร). ปฎิบัติการของกองทหารนาซีในยุโรปตะวันตก สร้างความแตกตื่นไปทั่วทั้งฝรั่งเศส. ผลจากสงครามและการยึดครองฝรั่งเศส ทำให้มีไร่องุ่นเช่นในแดนช็องปาญ, อัลซ้าส, หรือในบูรกอนญ์ ได้รับความเสียหายมาก, ส่วนไร่องุ่นในแถบอื่นๆของประเทศเช่นแถบอ็องจู Anjou, ตูแรน Touraine, หรือที่บอร์โด ขาดแรงงาน และสถานการณ์เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ, โดยเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ปี 1943 เมื่อกองทหารไรช บังคับให้รัฐบาลวิชี ใช้กฎหมายบังคับใช้แรงงานฝรั่งเศส (เรียกว่า บัญญัติ STO หรือ Service du travail obligatoire). ชาวฝรั่งเศสมากกว่าเจ็ดหมื่นคนถูกบังคับ ถูกส่งไปเป็นกรรมกรที่เยอรมนี. ดังนั้นในฝรั่งเศสเอง ผู้หญิง, เด็กและคนแก่ต้องรับงานไร่องุ่นต่อ. หลายบริษัทลดกิจกรรมลง.  อีกหลายแห่งเลิกกิจการเพราะรังเกียจที่จะมีธุรกรรมใดๆกับทหารนาซี. ชาวไร่องุ่นจำนวนมาก ตั้งขบวนการใต้ดิน เพื่อปกป้องและต่อต้านการปล้นไวน์. ในความเป็นจริง เหตุการณ์ซับซ้อนกว่านั้นมาก. เจ้าของไร่บางแห่งหาทางต่อรองกับฝ่ายนาซี ขอให้ปลดปล่อยชาวไร่และคนงานกลับฝรั่งเศสไปทำงานในไร่องุ่น. คนอื่นๆคิดว่า ชาวเยอรมันอาจอยู่ในฝรั่งเศสอย่างน้อยสิบปี, ควรหาประโยชน์จากพวกเยอรมันให้มากที่สุดด้วย แทนการให้ทหารนาซีมาปล้นทุกอย่างไปเฉยๆ ทำไมไม่ขายให้แทน. หลายบริษัทพร้อมจะร่วมมือกับฝ่ายเยอรมันอย่างเปิดเผย.

ฮิตเลอภาคภูมิใจนักหนา เมื่อได้มาเหยียบกรุงปารีส

      ทหารนาซีเข้ายึดไวน์ในคลังไวน์ตามโรงแรมใหญ่หรูหราของกรุงปารีส เช่นได้ไวน์ชั้นเลิศที่เก็บรักษาไว้ในคลังใต้ดินของโรงแรมระดับห้าดาว ลูเตเซีย Hôtel Lutetia ไป 75,000 ขวด. ภัตตาคาร ลาตูร์ ดาร์ฌ็อง La Tour d’Argent หรือภัตตาคารฟูเก้ Fouquet’s Paris ก็เจอชะตากรรมแบบเดียวกัน. (สำนักข่าวกรองของเยอรมนี Abwehr  ตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ในโรงแรมลูเตเซีย Hôtel Lutetia ที่ปารีสเลย).


คลังไวน์ของภัตตาคารนามกระเดื่องว่า ลา ตูร์ ดาร์ฌ็อง La Tour d’Argent เครดิตภาพที่นี่ 

กรณีของภัตตาคาร La Tour d’Argent ที่คุยว่ามีไวน์ในครอบครองกว่าหนึ่งแสนขวด เมื่อทหารนาซีเข้ายึดปารีส พวกเขาไม่มีเวลาซ่อนขวดไวน์ทั้งหมด  เลือกขวดไวน์เก็บซ่อนได้เพียงสองหมื่นขวด. หนึ่งเดือนต่อมา นายพล Hermann Göring ส่งนายทหารผู้แทนไปที่ภัตตาคาร ขอดูขวดไวน์ปี 1867 ที่เป็นไวน์สุดปลื้มของเจ้าของร้าน. เจ้าของตอบไปว่า ไม่มีเหลือแล้ว ทหารนาซีเข้าไปคุ้ยทั้งคลังใต้ดินและไม่พบ เพราะขวดไวน์ปี 1867 นั้น ถูกย้ายไปซ่อนหลังกำแพงถ้ำ. เมื่อไม่พบ ทหารนาซียึดแปดหมื่นขวดที่เหลือไปแทน.

      ที่ปารีส ชาวเยอรมันกระจายไปทั่วเมืองหลวง ไปนั่งกินนั่งดื่มตามร้านกาแฟ ภัตตาคาร ในคลังไวน์ของร้านมีชื่อ ร้านหรูๆ เช่น ที่ภัตตาคาร La Rotonde หรือ La Coupole. ปีนั้น ไวน์ฝรั่งเศสไหลบริการทหารนาซี เหมือนแม่น้ำแซนที่หลั่งไหลรดแดนองุ่นสองฝั่ง. ทหารเยอรมันเรียกร้องไวน์ที่ดีที่สุด พวกเขาเลือกเสพไวน์ชั้นดี จากแดนช็องปาญ แดนบอร์โดและแดนบูร์กอนญ์.  ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 1940 เมื่อมีการเซ็นสัญญาสงบศึกแล้ว เจ้าหน้าที่เยอรมันจัดกระบวนการยึดไวน์ครั้งใหญ่ทั่วไปในทุกถิ่น. ทางการนาซีประกาศให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศซัพพลายเออร์ทางเกษตรของกองทัพไรช. พวกเยอรมันหวังจะลดค่าและศักดิ์ศรีของประเทศฝรั่งเศส ให้เหลือเพียงผู้จัดหาวัตถุดิบแก่เยอรมนี. เพื่อให้เป้าหมายดังกล่าวเป็นจริง มีการแต่งตั้งไวน์ฟูเรอ Weinführer ไปประจำทุกเมืองที่ปลูกองุ่นและผลิตไวน์. ไวน์ฟูเรอเป็นพ่อค้าไวน์ในชุดทหารนาซี, ส่วนใหญ่เคยเป็นเจ้าหน้าที่หรือพ่อค้าผู้กว้านซื้อวัตถุดิบหรือโภคภัณฑ์ของกองทัพเยอรมันมาก่อน (เช่น Otto Klaebisch ถูกส่งไปประจำในแดนช็องปาญที่เมืองแร็งซ์ Reims, Adolf Segnitz ประจำในแดนบูร์กอนญ์ และ Heinz Bömers ไปประจำที่แดนบอร์โด). ไวน์ฟูเรอมีหน้าที่วางแผน รวบรวม จัดระเบียบการนำส่งไวน์ ไปยังศูนย์กลางกองบัญชาการที่เยอรมนี.

Otto Klaebisch ผู้เป็นไวน์ฟูเรอ weinführer ที่กองทัพนาซีแต่งตั้งให้มาประจำการที่เมืองแร็งซ์ Reims เพื่อควบคุมเรื่องการผลิตและการลำเลียงไวน์ จากแดนช็องปาญ สู่เยอรมนี

การเข้ายึดและปล้นไวน์นั้น เกิดขึ้นในสองสามเดือนแรกหลังจากที่กองทหารนาซีเข้ายึดกรุงปารีส. เฉพาะสองสามสัปดาห์แรก ทหารนาซี ขโมยไวน์จากแดนช็องปาญไปแล้วมากกว่าสองล้านขวด (ยังไม่นับสรรพสิ่งมีค่าทางศิลปะ). ไวน์ฟูเรอ Otto Klaebisch ต้องรีบจัดระบบการบริหารไวน์ฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว  เพื่อนำส่งขวดไวน์ชั้นเยี่ยมกลับไปยังหัวหน้าใหญ่ในเยอรมนีไรช. แน่นอน เยอรมนีต้องการมีส่วนในผลิตผลไวน์ฝรั่งเศสทั้งหมด. เขาเรียกร้องให้ฝรั่งเศสจัดส่งไวน์จำนวนสี่แสนขวดต่อสัปดาห์ไปเยอรมนี.

     มาตรการดังกล่าว ยังไม่ได้ผลนัก เพราะกองทหารเยอรมันด้วยกันเองต้องการเก็บกักไวน์ฝรั่งเศสเพื่อตัวเองและเพื่อกรมกองของเขาในฝรั่งเศส. ปริมาณไวน์จำนวนมากถูกลอบนำไปบริโภคภายในกองทหารนาซีเอง. ทั้ง Hermann Göring ผู้บัญชาการทหารที่มีอำนาจเต็ม และ Joseph Goebbels รัฐมนตรีว่าการกระทรวงข่าวสารและการโฆษณา(ชวนเชื่อ) เป็นนักสะสมไวน์. ตัวแทนของกองทหารนาซีแผนกต่างๆ ได้สั่งซื้อไวน์จากฝรั่งเศสเป็นจำนวนมาก ทุ่มทุนซื้อโดยไม่เกี่ยงราคาแม้แต่น้อย. การซื้อขายในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมปี 1940 รวมกันเป็นมูลค่ามหาศาล เกินรายได้จากการค้าขายตลอดปีที่เคยมีมา ก่อนสงคราม. ฝ่ายบัญชาการไรชที่ปารีสจึงต้องเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่, ได้จัดตั้งคณะกรรมการ ให้เป็นผู้มีสิทธิ์ซื้อไวน์จากไร่องุ่นโดยตรงแต่ผู้เดียว. ในแดนช็องปาญ ศูนย์บัญชาการดังกล่าว ไปตั้งที่เมืองแร็งซ์. เข้าไปติดตามการทำแชมเปญอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอนในไร่องุ่นดังๆของถิ่นช็องปาญ. แต่ยังมีเจ้าหน้าที่แผนกอื่นๆในกองทหารเยอรมันเอง ที่ลักลอบซื้อและเก็บไวน์แข่งกันอย่างลับๆ. เช่นนี้เบื้องหลังหลักการ กฎควบคุมเคร่งครัดที่มีในตอนนั้น เกิดตลาดมืดคู่ขนานกันไป ที่ขยายตัวไปได้ด้วยดีจนถึงปี 1944.

      ปริมาณไวน์ดีๆคุณภาพเยี่ยม รวมทั้งเหล้าและแชมเปญ ถูกจัดส่งไปยังเจ้าหน้าที่ชั้นสูง, นายทหารชั้นสูงและชนชั้นกลางผู้ร่ำรวยในเยอรมนีก่อน ส่วนที่เหลือจึงส่งต่อไปยังกองทหารและพลเมือง. ภายในสี่ปีที่เยอรมนีเข้ายึดครองฝรั่งเศส แชมเปญมากกว่า 65 ล้านขวดถูกส่งไปยังเยอรมนี. ปริมาณไวน์ที่ส่งไปให้ฮิตเลอ ที่บ้านพักที่เป็นป้อมบนเนินสูง (Eagle’s Nest, Obersalzberg) ก็มากกว่าห้าแสนขวดแล้ว ทั้งๆที่มีข้อมูลระบุว่า ฮิตเลอเองไม่ดื่มไวน์ (ref. Kristin Harmel).

      อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ การซื้อไวน์ของฝ่ายนาซี เป็นไปอย่างคล่องตัว คือการประกาศลดค่าเงินแฟร็งค์ฝรั่งเศส ให้หนึ่งมาร์คมีค่าถึงยี่สิบแฟร็งฝรั่งเศส (1 reichmark = 20 francs. ก่อนที่เยอรมนีและฝรั่งเศสจะใช้เงินยูโร หนึ่งมาร์คเยอรมันอยู่ระหว่าง 3-6 แฟร็งค์) เช่นนี้ ทำให้ชาวเยอรมัน มีกำลังซื้อมากเหลือคณาและทหารนาซีที่ประจำอยู่ในฝรั่งเศสทุกคนก็ได้ผลประโยชน์.

      ตั้งแต่ปี 1940 พวกพ่อค้าไวน์มืออาชีพแอบกักและซ่อนขวดไวน์ เช่นมีการสร้างถ้ำไวน์ที่พรางตาไว้ตามจุดต่างๆ หรือซ่อนไว้ในบ่อน้ำเก่าที่แห้งสนิทกลบปากบ่อด้วยหญ้าหรือกิ่งไม้.  หลายคนใช้เส้นทางอุโมงค์ที่ทอดยาวใต้พื้นเมืองแร็งซ์ Reims หรือเมืองเอแปร์เน Épernay ที่เป็นเมืองใต้ดินที่แท้จริง เพื่อซ่อนขวดไวน์คุณภาพเลิศที่พวกเขาเก็บบ่มไว้ด้วยความหวงแหน.  บางทีก็ไปเก็บหยักไย่จำนวนมากมาปิดอำพรางปากถ้ำ. บางคนนำรูปปั้นพระแม่มารีฝังเข้าไปในกำแพงพรางตา บอกให้รู้ถ้ำสิ้นสุดลงณจุดนั้น, อาจแอบหวังว่า พระแม่จะช่วยป้องกันพื้นที่บริเวณนั้นไว้. แต่บริษัทใหญ่ๆที่มีคลังไวน์ขนาดใหญ่ ก็มิอาจซ่อนทุกอย่างจากสายตาทหารนาซีได้.  

     อีกด้านหนึ่ง พ่อค้าไวน์ฝรั่งเศส สู้เต็มตามกำลังและสติปัญญา เช่นแอบเก็บไวน์ดีๆไว้แล้วส่งไวน์ชั้นเลวหรือผสมไวน์เลวๆบรรจุขวดส่งไปให้. หลายคนถูกจับเข้าคุกนาซี. เจ้าของภัตตาคารใหญ่ๆที่มีไวน์ชั้นเลิศ ได้ร่วมมือกับคนทำความสะอาดพรม ให้นำฝุ่นสกปรกๆจากพรมไปส่งให้ เพื่อโปรยหรือคลุกไปบนขวดไวน์อ่อนวัยหรือที่มีคุณภาพไม่ดี เพื่อตบตาทหารนาซี ว่าเป็นขวดไวน์เก่าอายุมาก.

     กลยุทธ์การซ่อนขวดไวน์ ในความเป็นจริง มิใช่เพื่อพรางตาทหารนาซีเท่านั้น แต่เพื่อเก็งกำไรต่อไปด้วย เช่นเพื่อปล่อยขายในราคาสูงเมื่อไวน์ขาดตลาดเป็นต้น. ตัวอย่างที่รู้กันดีคือ ฌ็องรู Jean Roux ชาวไร่องุ่นและพ่อค้าไวน์ที่ Santenay (ถิ่น Côte d’Or) ผู้ชำนาญกระบวนการแบบนี้. เขาร่วมกินร่วมดื่มกับนายทหารนาซีบ่อยๆ และไปร่วมงานเลี้ยงงานรื่นเริง ไปร่วมงานดื่มอย่างไม่ลดละ. ได้รับการคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ของกองทหารนาซี.  เขาประกาศว่ามีไวน์ในครอบครองเป็นปริมาณเท่านั้นเท่านี้ ที่เป็นเพียงส่วนน้อย, ในความเป็นจริงเขามีไวน์ซ่อนไว้อีกมาก.

      สงครามไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆ พ่อค้าไวน์หลายคนเปลี่ยนไปรวมกลุ่มต่อต้านใต้ดิน (เช่นสมาพันธ์  Comité Interprofessionnel du vin de Champagne ในแดนช็องปาญ มี Count Robert-Jean de Vogüé [โวกูเอ้], หัวหน้าผู้นำของบริษัทแชมเปญ โมแอ๊ต เอ ช็องดง Moët & Chandon) และพยายามทุกทางที่จะกลั่นแกล้งทหารนาซี. เช่นเติมน้ำมันเชื้อเพลิงลงในถังไวน์, บางรายก็แอบดึงไวน์ดีๆออกจากถังโอ๊ค แล้วเติมน้ำเข้าไปแทนที่. ถังไวน์ดีๆถูกลักลอบออกจากเขตควบคุมของทหารนาซี และอุโมงค์ใต้ดินก็ใช้เป็นที่เก็บอาวุธเพื่อการต่อต้าน. กระบวนการเหล่านี้ มีความเสี่ยงสูง บ้างถูกจับขังคุกนาซี บ้างถูกยิงทิ้ง.

คลังไวน์ฝรั่งเศส ใช้เป็นฐานยิงคู่ต่อสู้ได้. ภาพนี้ไม่ถูกต้องตามหลักการนัก เพราะชาวฝรั่งเศสและพ่อค้าไวน์ จะไม่ตั้งขวดไวน์เรียงกันเช่นนี้แน่นอน หากไม่ใช่เพื่อตั้งโชว์และขายทันทีภายในวันนั้น. ในทุกกรณี เขาวางขวดไวน์นอนลง ตั้งฉาก ปากขวดอยู่ด้านในเสมอ. เครดิตภาพจากที่นี่.

      ระบบข่าวกรองของกองทัพเยอรมัน (Abwehr) ติดตามไล่ล่ากิจกรรมทุกชนิดที่ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของนายทหารผู้ใด, ทั้งยังเกณฑ์ผู้ค้าไวน์เถื่อนคนสำคัญๆในหมู่ชาวเมืองฝรั่งเศสเอง มาเป็นสายสืบให้. กรณีตัวอย่างของอ็องรี ลาฟง Henri Lafont (ชื่อจริงว่า Henri Chamberlin) รู้จักกันในนามว่าเมอซิเออ อ็องรี Monsieur Henri ผู้เป็นอาชญากรตัวยง เคยถูกจับเข้าคุกหลายครั้ง เพราะการขโมยหรือการโกงแบบต่างๆ. เมื่อฝ่ายข่าวกรองเยอรมันใช้เขาเป็นสายสืบ เขาขอแลกกับการให้ปล่อยผู้สมรู้ร่วมคิดของเขาหลายคน แล้วก่อตั้งเครือข่ายจับตาและตามจับกลุ่มต่อต้านชาวฝรั่งเศส. เขาชวน Pierre Bonny ผู้เคยมีตำแหน่งเป็นพลตำรวจมาก่อน,  สองคนรวมกันเป็นคู่หู บอนนี-ลาฟง Bonny-Lafont ที่ทำให้ตลาดมืดของไวน์ ยิ่งขยายออกไปอย่างกว้างขวาง. ทั้งสองมีบัตรเกสตาโป มีอาวุธคู่มือและทำงานให้กับฝ่ายข่าวกรองและกองทหาร SS (Schutzstaffel ที่เคยเป็นทีมทหารคุ้มครองประจำตัวของฮิตเลอ ต่อมาเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลสูงสุดและเป็นที่หวาดกลัวที่สุดในหมู่ทหารนาซีของเยอรมนี). ลาฟงชอบสวมเครื่องแบบของทหาร SS เดินอวดตัวไปมา, ทั้งสองได้รับการคุ้มครองจากกองทหารนาซี. ลูกน้องของสองคนนี้ ทำทุกอย่างผิดกฎหมาย ปล้น ยึดของโดยไม่เคยถูกลงโทษใดๆ. ลาฟงรับผิดชอบจัดหาไวน์จากไร่องุ่นต่างๆอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง. ชื่อลาฟงจึงติดกับธุรกิจการซื้อขายไวน์, เหล้า, กอญัก cognac, หรืออาร์มาญัก armagnac.

     ยังมีชาวฝรั่งเศสอื่นๆอีก (เช่นกรณี Maurius Clerget) ที่เกี่ยวข้องในการซื้อขายไวน์ ต่างอ้างว่า จะไปทำอะไรพวกเยอรมันได้ เราต้องกอบโกยเอาผลประโยชน์จากพวกเขาให้มากที่สุดแทน, พวกเขาแต่ละคนร่ำรวยขึ้นมาก และใช้ชีวิตหรูฟู่ เป็นที่โมโหโกรธาของชาวเมือง.

     ในหมู่ผู้ขายไวน์ให้แก่เยอรมนี มีบริษัท โมแอ๊ต เอ ช็องดง Moët & Chandon (เมืองเอแปร์เน Épernay) ที่ได้บริการแชมเปญมากกว่าหนึ่งล้านขวด, บริษัท เวอว์กลิ๊โก Veuve Clicquot ที่เมืองแร็งซ์ Reims ได้ขายแชมเปญไปประมาณ 800 000 ขวด, บริษัทปอมเมอรี Pommery เมืองแร็งซ์ Reims ขายไป 700 000 ขวด.  อุตสาหกรรมไวน์ชั้นเลิศของฝรั่งเศส ได้กอบโกยผลประโยชน์มหาศาล เอาใจและร่วมมือกับข้าศึก ด้วยการมองข้ามผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของชาติอย่างสิ้นเชิง. บริษัทที่ร่ำรวยขึ้นมากในยุคนั้น เช่น หลุย โรแดแรร์ Louis Roederer ได้เงินกำไรกว่า 51 ล้านแฟร็งค์, Moët & Chandon กำไรราว 46 ล้านแฟร็งค์. กล่าวโดยรวม การค้าให้ผลกำไรระหว่าง 20 %-100% เมื่อเทียบกับรายได้ก่อนสงคราม.

      ในช่วงสี่ห้าปีที่เยอรมนีเข้ายึดครองฝรั่งเศสนี้ โมนาโคกลายเป็นศูนย์การค้าขายไวน์ที่ดีที่สุด และทำได้อย่างเปิดเผย เพราะประกาศตนเป็นกลางทางการเมือง, รัฐบาลวิชี (Vichy) ให้การคุ้มครองการค้ากับโมนาโค. โมนาโคเสียภาษีน้อยมากเมื่อเทียบกับผลกำไรมหาศาล. ระหว่างปี 1941-1943 นักธนาคาร, นักลงทุนอุตสาหกรรมรายใหญ่ๆและพ่อค้าไปรวมกันอยู่ที่โมนาโค, ไปเป็นคนกลางของการซื้อขายไวน์และเหล้าแอลกอฮอล์ทุกชนิด ก่อนจะขายต่อไปยังมือผู้ซื้อจริงในขั้นสุดท้าย. การเงินสะพัดที่ประมาณ 700 ถึง 1000 ล้านแฟรงค์ในแต่ละปี. ผลประโยชน์มากมายเช่นนี้ ทำให้เกิดการคอรัปชั่นในทุกระดับแม้ภายในรัฐบาลฝรั่งเศสเองที่วิชีด้วย. 

       แต่ตลาดธุรกิจแบบนี้ ไม่ช้าถึงจุดล่มสลาย. ฤดร้อนปี 1944 ฝ่ายพันธมิตรเคลื่อนเข้าสู่ฝรั่งเศส เพื่อปลดปล่อยปารีสจากทหารนาซี. เริ่มมีการจับตัวพ่อค้าผู้เคยร่วมมือค้าขายกับฝ่ายทหารนาซี มาพิพากษาโทษในฐานะทรยศต่อชาติ. กรณีของ Henri Lafont และ Pierre Bonny ที่เล่ามาข้างต้น ทั้งสองถูกจับและถูกพิพากษาประหารชีวิตเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 1944. ส่วนคนอื่นๆอีกจำนวนมาก หลุดคดีไปได้หรือถูกปรับถูกจำคุก. มักมีการแอบอ้างว่า ทำไปเพราะรักชาติ ขายไวน์ให้เยอรมนีเพื่อสาวไส้กลศึกต่างๆ ช่วยกระบวนการต่อต้านนาซีเป็นต้น. หลังสงคราม บางบริษัทติดสลากบนขวดยืนยัน « ไม่มีไวน์แม้เพียงหยดเดียว ถูกขายให้แก่เยอรมันนาซีระหว่างสงคราม หรือ บริษัทไม่เคยร่วมงานใดๆกับทหารเยอรมันในระหว่างสงคราม ». (cf. Paul Naudin-Varrault เจ้าของไร่องุ่น ผู้ผลิตและผู้ค้าไวน์บูร์กอนญ์ )

     การสั่งซื้อไวน์ของฝ่ายนาซี บางทีเป็นกุญแจสำคัญที่พวกฝรั่งเศสค้นพบและเรียนรู้ตั้งแต่ต้นสงคราม เช่น ฝ่ายเยอรมันสั่งซื้อไวน์จำนวนมากและเจาะจงให้ส่งไปที่ประเทศโรเมเนียในปี 1940 ซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงในตอนนั้น เพราะมีกองทหารนาซีที่โรเมเนียเพียงหยิบมือเดียว. ไม่นานต่อมา กองทัพนาซี บุกเข้ารุกรานโรเมเนีย. ในปี 1941 ฝ่ายนาซีสั่งไวน์จำนวนมากพร้อมคำสั่งให้บรรจุหีบห่อเป็นพิเศษ สำหรับ ประเทศที่ร้อนมาก. นี่ได้ให้ข้อมูลว่านายพลรอมเมล (Rommel) เตรียมการบุกอีจิปต์. ข้อมูลนี้ฝ่ายฝรั่งเศสได้ส่งต่อไปยังหน่วยข่าวกรองของสหราชอาณาจักร.

     เล่ากันอีกว่า เมื่อฝ่ายพันธมิตรเริ่มมีชัย กองทัพฝรั่งเศสรีบเข้าไปเยอรมนี ไปที่บ้านพักของฮิตเลอ (Berghof หรือที่เรียกกันว่า Eagle’s Nest เมือง Obersalzberg ในเทือกเขาแอล์ป แคว้นบาวาเรีย ใกล้เมือง Berchtesgaden), ฝรั่งเศสต้องรีบไปถึงที่นั่นก่อนกองทัพอเมริกัน เพราะที่นั่น รวมถังไวน์ขวดไวน์จำนวนมากที่ทหารนาซีปล้นและขนไปจากฝรั่งเศส.

ทหารอเมริกันกองทหารราบที่เจ็ด (7th Infantry Regiment, 3rd Infantry Division) กำลังดื่มไวน์จากคลังไวน์ของฮิตเลอที่ Eagle’s Nest (นี่อาจเป็นการดื่มแชมเปญครั้งแรกของทหารกลุ่มนี้ จับขวดแชมเปญเหมือนจับขวดโซดา, ด้อยค่าสิ่งที่ถือในมือ, เล่นกันคนละขวดเลย, คงได้เมาในหน้าที่) เครดิตภาพจากที่นี่.  

มีข้อมูลหนึ่งระบุด้วยว่า สิบเอกทหารฝรั่งเศสคนหนึ่งอายุ 23 จากแดนช็องปาญ เป็นคนแรกที่เบียดตัวแทรกผ่านประตูเกราะเข้าไปในถ้ำไวน์ของฮิตเลอ และตกตะลึงเมื่อ เห็นขวดไวน์คุณภาพเลิศ(ติดอันดับ vintage wine) จำนวนมากมาย (ห้าแสนขวด) กับลังแชมเปญรุ่น 1928 Salon Champagne อีกหลายร้อยลัง. ไวน์ที่ตัวเขา(ในวัยสิบแปดสิบเก้า) ได้เห็นกับตาเมื่อทหารนาซีไปปล้นมาจากแดนช็องปาญ. (ฝรั่งเศสคงไปขนคืนแน่นอน จึงต้องไปให้ถึงที่นั่นก่อนกองทหารอเมริกัน. เป็นพันธมิตรด้วยกันก็เถอะ ไวน์ใครไวน์เขา ของรักของหวง...)

      กล่าวโดยรวม ยุคที่เยอรมันนาซี เข้าควบคุมฝรั่งเศส แม้จะเป็นยุคเศร้า เป็นยุคที่ชาวฝรั่งเศสรังเกียจชนชาติเยอรมันเป็นที่สุด, อีกด้านหนึ่งกลับเป็นยุคทองของพ่อค้าไวน์ฝรั่งเศสจำนวนมาก. ในที่สุด “คนทรยศ” ต่อชาติส่วนน้อยเท่านั้น ที่ถูกประณามและถูกลงโทษ. 

ภาพเล่าเรื่อง

เมืองแร็งซ์ที่ถูกทหารนาซีถล่ม เมื่อวันที่ 4 เดือนกันยายนปี 1914 

แดนช็องปาญของฝรั่งเศส เป็นที่ตั้งของบริษัทไวน์ชั้นนำของโลก เช่น Taittinger [เต๊ะแต็งเจ], Veuve Clicquot-Ponsardin [เวอวฺ กลิ๊โก-ปงซารฺแด็ง], Krug [กรุ๊ก], Pommery [ป็อมเมอรี], Ruinart [รุยนารฺ] กับไร่องุ่นขนาดเล็กอีกหลายสิบแห่ง. ผลผลิตแชมเปญของถิ่นนี้ ที่ทำให้แชมเปญฝรั่งเศส ขึ้นชื่อไปทั่วโลก. ใต้พื้นเขียวชะอุ่มเป็นล็อนๆของเนินเขาอันอุดมสมบูรณ์ มีโลกลับไร้ที่ใดเสมอเหมือน. เป็นอุโมงค์ใต้ดินที่ซับซ้อนดั่งเขาวงกต เป็นถ้ำลึกลับ, บางแห่งมีมาแล้วตั้งแต่ศตวรรษที่หนึ่งในยุคโรมัน. อุโมงค์ใต้ดินเหล่านี้ ขุดเข้าไปในแนวหินชอล์ก เป็นเส้นทาง เป็นถ้ำเป็นห้องๆ (les crayères) และใช้เป็นที่บ่มไวน์แชมเปญในอุณหภูมิที่เย็นคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง.  ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมืองอุโมงค์ใต้ดินของถิ่นช็องปาญ เป็นที่เก็บไวน์ชั้นเลิศ และได้กลายเป็นเมืองใต้ดินหนีภัยสงครามสำหรับพลเมือง.

บันไดยาวที่ทอดลงสู่เมืองอุโมงค์ใต้พื้นไร่องุ่นป็อมเมอรี (Pommery) ที่เมืองแร็งซ์ Reims. © Delcampe  

ป็อมเมอรีเป็นบริษัทแชมเปญ ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นมากแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ตั้งขึ้นในปี 1857. เจ้าของถึงแก่กรรมในปี 1860, ภรรยา (Madame Louise Pommery, 1819-1890) จึงรับช่วงทำต่อตั้งแต่นั้น ด้วยความเข้มแข็งและทุ่มเทอย่างแท้จริง. หลายคนปรามาสว่า ผู้หญิงจะดำเนินกิจการ สรรค์สร้างบริษัทต่อไปได้อย่างไร, แต่เธอทำได้ และสร้างชื่อเสียงแก่การผลิตแชมเปญที่คนอื่นๆต้องคารวะยกย่องและทำตาม. เช่น * เดือนกรกฎาคมปี 1868 เธอได้ซื้อพื้นที่ใต้ดินที่เป็นหินปูนขาวและหินชอล์กกว่า 120 แห่ง ที่ทอดยาวเหยียดอยู่ใต้พื้นเมืองแร็งซ์ และได้ให้คนงานขุดเป็นเส้นทางเชื่อมต่อเป็นแกลลอรียาวทั้งหมด 18 กิโลเมตร และใช้เป็นคลังเก็บบ่มไวน์ของบริษัท เพราะอุณหภูมิภายในคงที่สม่ำเสมอที่ 10 องศาเซนติเกรด เหมาะกับการบ่มไวน์ที่ดีที่สุด. บริษัทอื่นๆได้ทำตามในเวลาต่อมา.

** บริษัทเธอผลิตแชมเปญรสแห้งสำเร็จเป็นครั้งแรกในโลก. แชมเปญในยุคนั้นมีรสออกหวานนำ มีปริมาณน้ำตาลสูงถึง 300g ต่อลิตร และถูกลดลงไปเหลือเพียง 12g ต่อลิตร ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบกันทันที. บริษัทของเธอจึงได้รังสรรค์แชมเปญรสแห้ง brut ตั้งชื่อไว้ว่า Pommery Nature 1874 และขายในตลาดไวน์ที่อังกฤษในราคาแพงสูงสุดในประวัติศาสตร์แชมเปญ.

*** เธอยังเป็นผู้ริเริ่มโครงการความรับผิดชอบร่วมกันของเจ้าหน้าที่และคนงานของบริษัท. เมื่อเธอเริ่มเข้าไปบริหารงานของป็อมเมอรี ผลผลิตของบริษัทอยู่ที่สองหมื่นขวดต่อปี, 45 ปีต่อมา เธอได้สร้างบริษัท ผลักศักยภาพการผลิตไปถึง สองล้านขวดต่อปี. และที่น่าสรรเสริญคือ เธอใช้เงินที่ได้ ก่อตั้งระบบเงินทดแทนและสวัสดิการสังคมของคนงานทุกคน, ได้ก่อตั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและสนับสนุนโครงการสงเคราะห์แม่เด็ก. กระบวนความคิดและกิจกรรมของเธอ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของระบบความร่วมมือระหว่างนายจ้างลูกจ้างที่นำความสุขความสำเร็จและการทุ่มเททำงานภายในบริษัท.   

Ref. https://www.linkedin.com/pulse/women-history-champagne-madame-pommery-cynthia-coutu

บันไดลงสู่อุโมงค์ใต้พื้นอีกแห่งหนึ่ง ของบริษัทแชมเปญป็อมเมอรี Pommery ที่เมืองแร็งซ์. © Seb Bakaert / Flickr 

แผงตั้งขวดไวน์ต่อๆกันไป ดูไม่สิ้นสุด ภายในอุโมงค์ของบริษัทป็อมเมอรีนี้. สมัยใหม่ ใช้รถไฟเล็กเชื่อมต่อถึงกัน สะดวกและรวดเร็ว. มีทัวร์จัดนำคนลงไปชม. มาดามป็อมเมอรี เป็นคนแรกที่คิดเรื่องไวน์กับการท่องเที่ยว นำชมอุโมงค์ใต้ดินเมืองแห่งแชมเปญ. เป็นที่นิยมกันมากและยังมีต่อมาจนทุกวันนี้. © Delcampe 

มุมไวน์ขวดอายุมากๆ ที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี เป็นอนุสรณ์ความสำเร็จ ขวดอายุมากที่สุดคือขวดที่ผลิตในปี 1874 อาจเป็นแชมเปญบรุ๊ต Champagne Brut ขวดแรกๆของโลก. เครดิตภาพที่นี่. © Pommery

เมืองใต้พิภพที่แร็งซ์ Reims, ชาวเมืองจัดเป็นที่พักอาศัยตลอดสี่ห้าปีระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง, หนีจากภัยสงครามที่ระอุคุกรุ่นอยู่เหนือพื้น. นอกจากเป็นที่พักอาศัย ยังมีมุมโรงเรียน, โรงพยาบาล, มุมนอน, มุมพักผ่อน. ดูภาพประกอบต่อไปข้างล่างนี้. ครดิตภาพที่นี่. © Delcampe 

แต่ละชีวิตสู้กับชะตากรรมไปถึงสุดถ้ำ บางรายคลอดลูกในเมืองใต้ดินนั้น. เครดิตภาพที่นี่. © Delcampe 

การเรียนการสอน ยังมีต่อระหว่างสงคราม. ไม่มีอะไรดีไปกว่า การรวมเด็กๆมาเรียนหนังสือ, ไม่ว่ายามใด สถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นใด. ให้การศึกษา คือสร้างอนาคตของชาติ, คือสร้างพลังความมั่นคงของชาติ. เครดิตภาพจากที่นี่

แผนกบรรจุแชมเปญลงขวด ที่บริษัทโมแอ๊ต เอ ช็องดง Moët & Chandon เมืองเอแปร์เน Épernay. ภาพในปี 1914 แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ยังมีการเก็บเกี่ยวผลองุ่นเพื่อไปทำไวน์ และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดสงคราม. เด็กๆ, พ่อแม่และปู่ย่าตายาย เป็นคนเก็บองุ่น. กว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จหมดทั้งไร่ เด็กเล็กถูกลูกหลงจากการกราดยิงของทหารนาซี ตายไปกว่ายี่สิบคน. © Delcampe

ชาวไร่องุ่นบนพื้นที่ของบริษัทโมแอ็ต เอ ช็องดง เมืองเอแปร์เน. เครดิตภาพที่นี่

นายทหารเยอรมันฉลองวันขึ้นปีใหม่ 1940 พร้อมแชมเปญ. เครดิตภาพที่นี่

ทหารนาซี ขนงานศิลป์ทั้งหลายจากที่ต่างๆในฝรั่งเศสไปเป็นจำนวนมาก. 

เครดิตภาพที่นี่

คนสวมเสื้อสูทคือ โรแบร์ เดอ โวกูเอ้ Robert de Vogüé (1870-1976) ผู้อำนวยการบริษัทแชมเปญ โมแอ็ต เอ ช็องดง Moët et Chandon เมืองเอแปร์เน Épernay, ในหมู่เจ้าหน้าที่คนงานของบริษัท. ชะตาชีวิตต้องไปใกล้ชิดเกี่ยวพันกับไวน์ในระหว่างที่กองทหารนาซีเข้ายึดครองฝรั่งเศส. ร่วมรู้และเรียกร้องความเป็นธรรมจากรัฐบาลวิชี ถือว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ปกป้องแดนช็องปาญ (ในฐานะผู้ต่อต้านนาซี). ถูกจับไปเข้าค่ายกักกัน ถูกตัดสินประหารชีวิต แต่หลายคนพยายามช่วยไว้ และรอดชีวิตมาได้จนเมื่อสงครามยุติลง. อ่านเรื่องราวของคนนี้ได้ที่นี่เครดิตภาพที่นี่

ผู้สนใจติดตามอ่านรายละเอียดได้จากลิงค์ในภาพต่างๆที่ให้ในบทความนี้.

บทนี้สรุปเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องไวน์ฝรั่งเศสในสมรภูมิ. ยังมีเรื่องเล่าอีกมากจากชาวไร่องุ่นในยุคนั้น.

หนุ่มสาวรุ่นใหม่ชาวฝรั่งเศส คงไม่ตื่นเต้นนักกับความผูกพันที่บรรพบุรุษเคยมีต่อไวน์ ผลผลิตของแผ่นดินแม่ที่พวกเขาหวงแหนยิ่ง.

 โชติรส รายงาน

๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓.

หนังสือแนะนำ Wine and War: The French, the Nazis and the Battle for France’s Greatest Treasure  by Donald and Petie Kladstrup. 

The Winemaker’s Wife by Kristin Harmel.