Friday, March 26, 2021

Phone to the departed

https://www.youtube.com/watch?v=SqUYd0hcI_w

คลิปวีดีโอที่นำมาเสนอ จากรายการของช่อง Arte Découverte ชื่อเรื่องว่า Japon : tsunami, le téléphone du vent (ญี่ปุ่น : สึนามิ, โทรศัพท์กับสายลม). ออกอากาศเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2021.

โทรศัพท์ที่ตั้งชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า Kaze no Denwa โทรศัพท์(กับ)สายลม คือไม่เชื่อมต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์ใด. อยู่ที่จังหวัด อิวาเตะ-Iwate ที่ถูกสึนามิถล่มราบเป็นหน้ากลองในปี 2011.

     เนื้อหาคร่าวๆของวีดีโอนี้คือ ชายชราคนหนึ่งที่กลับไปอาศัยณบ้านเกิดเขาที่นั่น เกิดความคิดติดตั้งตู้โทรศัพท์สวยงามที่มุมหนึ่งในสวนของเขาที่ตำบล โอ้ตซือจิ-Otsuchi. กว่าครึ่งหนึ่งของเมือง Otsuchi ที่เป็นเมืองชายฝั่งเล็กๆ ถูกคลื่นสึนามิกวาดไปราบเป็นหน้ากลอง, เป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในหมู่เมืองชายฝั่งทะเล. ชาวบ้านกว่า 1300 คนเสียชีวิต ไม่พบศพอีกกว่าห้าร้อยคน.

      เกือบสิบปีหลังจากเหตุการณ์สึนามิ ชาวบ้านแถบนี้ ต้องอยู่ในที่พักชั่วคราวที่ทางการจัดให้. ทางการได้ช่วยชาวบ้านแต่ละครอบครัวราว 30,000 ยูโร (ประมาณหนึ่งล้านบาท) ซึ่งไม่เพียงพอนักสำหรับการสร้างบ้านหลังใหม่ ชาวบ้านต้องมีเงินออมส่วนตัวด้วย. สามปีหลังมานี่ ผู้คนที่เหลือของชุมชน กลับไปอยู่และพยายามฟื้นฟูชุมชนของพวกเขา ด้วยการสร้างบ้านบนเนินลึกเข้าไปจากฝั่งทะเล.

      ต่อสายกับวิญญาณ โทรศัพท์ลมติดตั้งไว้ที่สวนส่วนตัวของ Itaru Sasaki ในปี 2010 เมื่อลูกพี่ลูกน้องของเขาตายไปด้วยโรคมะเร็ง. หลังเหตุการณ์คลื่นสึนามิ ชาวบ้านได้ยินเรื่องโทรศัพท์ไร้สาย ต่อตรงกับสายลม, สนใจกันอย่างมาก. เรื่องนี้กลายเป็นประสบการณ์สาธารณะ. นอกจากเครื่องโทรศัพท์ที่ไม่ต่อติดกับเครือข่ายโทรศัพท์ของบริษัทใด เขาวางสมุดบันทึกเล่มเปล่าไว้ในตู้โทรศัพท์ด้วย พร้อมปากกา พร้อมให้คนเขียนระบายความในใจ.

     ตั้งแต่สึนามิ ชาวญี่ปุ่นที่สูญเสียญาติสนิทมิตรสหาย ไปใช้ตู้โทรศัพท์นี้ เพื่อพูดคุยกับคนจากไป. บางคนพูดไปร้องไห้ไป. บางคนเข้าไปอยู่เงียบๆ พูดอะไรไม่ออกเพราะความทุกข์ยังถาโถมหัวใจไม่ลืมเลือน. หลายครอบครัว ไม่พบศพของญาติพี่น้อง. ในญี่ปุ่น การแสดงความอ่อนแอในที่สาธารณะเป็นสิ่งไม่สมควร. ตู้โทรศัพท์ต่อตรงกับสายลม จึงกลายเป็นที่ระบายความทุกข์โศกส่วนตัว แต่ละคนไปพูดกับญาติหรือคนรักที่นั่น วันใดก็ได้ เปิดให้ใช้ทุกฤดูกาล. 

     « พอยกหูโทรศัพท์ ฉันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ฉันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่อ่อนโยน ฉันรู้สึกเหมือนแม่ฉัน กำลังบอกฉันว่า อย่ากังวลไปเลย แม่เข้าใจลูกนะ »

     ผู้ชายคนหนึ่ง ไปที่ตู้โทรศัพท์นั้น เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน แต่เขาไม่กล้าหมุนหมายเลข. เขาได้เสียภรรยา พ่อ น้องสาวและแม่ยายไปกับสึนามิ. เหลือเพียงลูกสาวที่รอดชีวิต. วันนี้เขาตัดสินใจไปที่ตู้โทรศัพท์เป็นครั้งที่สอง เพื่อบอกข่าวดีแก่ภรรยาว่า ลูกสาวแต่งงานแล้ว. « นี่เป็นบ้านของผม ผมสร้างบ้านหลังนี้ ขนาดใหญ่เกินไปสำหรับอยู่คนเดียว แต่ผมคิดจะสร้างให้เป็นที่พักสำหรับนักเดินทางที่จะผ่านเข้ามา เพื่อฟื้นคืนชีวิตให้หมู่บ้านเรา. ตอนนี้เพราะโรคระบาดโควิด จึงยังไม่มีคนมาพัก.»  เขาชี้ให้เห็นห้องส่วนตัวเล็กๆของเขาที่เขาบอกว่าพอเพียงสำหรับตัวเขาคนเดียว มีโต๊ะบูชาที่เขาตั้งรูปภาพของญาติที่เสียชีวิตไป. ในญี่ปุ่น คนตายคือวิญญาณที่ยังวนเวียนอยู่ในบ้านและแถวบ้าน ที่คนยังต้องรำลึกและให้เกียรติอยู่เสมอ. « ปกติผมไม่คิดว่าจะไปที่ตู้โทรศัพท์  ผมเป็นคนยึดข้อเท็จจริงและไม่เชื่ออะไรแบบนั้น. แต่ผมก็รู้สึกว่า การเข้าไปพูดคุยกับวิญญาณทางโทรศัพท์ ทำให้คนอยากเชื่อว่า บางทีอาจเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น บางทีผมอาจได้ยินเสียงภรรยา แม้ว่าเธอจากไปแล้วสิบปี เธออาจยังมีชีวิตที่ไหนสักแห่ง วันหนึ่งจะกลับมา ผมยังไม่ทิ้งความหวัง.»

      « ฉันชอบพูดกับเขา ฉันรู้สึกว่าเขายังอยู่ใกล้ๆฉัน ฉันดีใจเหมือนได้พูดกับเขาโดยตรง. ฉันเป็นวิศวกรทางโทรคมนาคม เมื่อเรายกหูโทรศัพท์ จะมีคนพูดด้วยเสมอ...ฉันได้แต่หวัง. ฉันคิดว่าตู้โทรศัพท์นี้ สำคัญมาก มันช่วยให้คนคลายความเศร้าโศก จนก้าวข้ามความรุนแรงของอารมณ์ต่างๆลงไปได้ทีละนิดๆ.» 

     ฟูมิกะ-Fumika สูญเสียปู่ไป ตอนนั้นเธออายุ 11 ปี. ตั้งแต่เด็ก ปู่พาเธอออกทะเลไปจับปลาบ่อยๆ. ตอนนี้เธอศึกษาวิชาเกี่ยวกับอาชีพทางทะเล และออกทะเลไปกับพ่อบางสุดสัปดาห์. « จิตใจฉันคึกคัก มีชีวิตชีวาทันทีที่ได้ยินเสียงคลื่น ได้กลิ่นทะเล.»  เธอหวังจะอนุรักษ์วิถีชีวิตกับการประมงต่อไปและฟื้นฟูอาชีพเกี่ยวกับทะเล ที่ชาวญี่ปุ่นเคยทำกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่สึนามิปี 2011 ได้ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก. ชาวประมงสูญเสียชีวิตไป และเรือประมงอีกจำนวนมากก็ถูกคลื่นถล่มแหลกไปในกระแสน้ำ. ชาวประมงที่รอดตายมาได้ ก็แก่เกินจะสู้ต่อ ได้หันไปหางานอื่นทำ. ในครอบครัวของฟูมิกะ สมาชิกที่เหลือพยายามไม่พูดถึงเรื่องสึนามิ พยายามไม่ขุดความรู้สึกสูญเสียขึ้นมา. ทุกคนรู้ว่าฟูมิกะไปที่ตู้โทรศัพท์, ตัวแม่ไม่ไป บอกว่าคงพูดอะไรไม่ออก เธอเลือกจะเก็บความรู้สึกไว้กับตัวเธอเอง. การระบายความรู้สึกกับคนใกล้ชิดหรือกับเพื่อน มันก็ทำไม่ได้ เท่ากับไปกระทบความรู้สึกของผู้รับฟังด้วย ในเมื่อทุกคนพบความสูญเสียเหมือนๆกัน.

      Itaru Sasaki เจ้าของและผู้ติดตั้งตู้โทรศัพท์ เปิดสมุดอ่านข้อความที่คนเขียนไว้. เขาเปลี่ยนสมุดบันทึกเล่มใหม่หกครั้งแล้ว เพราะเต็มทุกหน้าหกเล่มแล้ว. « ทุกคนรู้ว่าผมเป็นเจ้าของตู้โทรศัพท์ เป็นผู้ติดตั้งเพื่อสาธารณชน ให้เป็นพื้นที่อุทิศแก่ผู้จากไป. หลายครั้งผมคิดว่า ผมน่าจะอยู่ฟังพวกเขาโดยตรง อาจปลอบใจกันได้บ้าง. แต่ผมก็เชื่อว่า ปล่อยให้แต่ละคนมีเวลาส่วนตัวเงียบๆ ไม่มีใครรบกวน ก็น่าจะดีเช่นกัน.»  บางครั้ง Itaru Sasaki พบผู้ที่มาใช้ตู้โทรศัพท์ ได้สนทนากันบ้าง เช่นคู่สามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่สูญเสียลูกสาวไปในเหตุการณ์สึนามิและยังไม่อาจลบความเศร้าโศกไปจากจิตใจได้.

      ในโทรทัศน์เริ่มพูดถึงวาระครบรอบสิบปีเหตุการณ์สึนามิปี 2011 สำหรับครอบครัวในชุมชนนี้ มันไม่มีความหมายอะไร. ปกติเมื่อสมาชิกในครอบครัวจากไปเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ครอบครัวมีเวลาเตรียมใจและมีโอกาสได้ร่ำลากัน แต่การตายจากอุบัติเหตุ สึนามิ การฆ่าตัวตาย สมาชิกครอบครัวไม่มีโอกาสได้ร่ำลา คนที่อยู่จึงยิ่งโศกเศร้าพร่ำรำพัน. « ผมเพียงแต่ต้องการหาวิธีให้ผู้มีความทุกข์ได้พบวิธีเยียวยาด้วยตัวเอง ก้าวข้ามทุกขเวทนาและเพื่อก้าวต่อไปในชีวิต.»  ในญี่ปุ่น ผู้คนไม่กล้าแสดงความอ่อนแอในที่สาธารณะ. จิตวิทยาและจิตเวชศาสตร์ ยังไม่ได้เป็นทางออกเพื่อบรรเทาทุกข์ของปวงชนชาวญี่ปุ่น. เขาหวังให้แต่ละคน มีโอกาสระบายความทุกข์กับสายลม.

     หนึ่งปีมาแล้ว ทางการญี่ปุ่นได้แปลงความกลัวทะเล ออกมาในรูปของกำแพงคอนกรีต เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านตลอดชายฝั่งทะเล ยืนยันว่าทะเลจะไม่อาจทำร้ายพวกเขาได้อีกต่อไป. ดังนั้น กำแพงทึบยาวเหยียด โผล่ขึ้น ปิดกั้นทะเลจากสายตาของชาวบ้านอย่างสิ้นเชิง. หลายคนเรียกว่า นั่นคือ “กำแพงใหญ่ญี่ปุ่น” เป็นโครงการขนาดยักษ์ของญี่ปุ่น ที่จะปกป้องหมู่บ้านตลอดชายฝั่งทะเล (ญี่ปุ่นยังจะสร้างกำแพงกั้นสึนามิต่อไปเพื่อปกป้องชายฝั่งทะเล แต่อาจปรับเปลี่ยนเทคนิคการก่อสร้าง เช่นสร้างเป็นกำแพงใต้น้ำทะเล ที่ในยามเกิดภัยพิบัติ จะกดเลื่อนกำแพงโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำได้. เท่าที่ได้ยินมา ไม่ทราบว่า ทำอย่างนั้นแล้วหรือยัง).

     กำแพงตรงนั้น ยาวประมาณ 400 กิโลเมตร เป็นเกราะปกป้องชายฝั่งทะเลทิศเหนือของเกาะฮอนชู. ใช้งบประมาณราว 11 ล้านล้านยูโร (ประมาณ 5 ร้อยล้านล้านบาท) กำแพงสูงประมาณ 15 เมตร มีทางเดินบนกำแพง เหมือนเขื่อนกั้นน้ำขนาดยักษ์.

     โทรศัพท์ไร้สายต่อตรงกับสายลม เป็นการเริ่มต้นของชาวบ้าน, กำแพงทะเลเป็นการริเริ่มในระดับประเทศ. วันเวลาค่อยๆสลายความกลัวลงไปบ้างแล้ว. มีนักข่าวที่ย้ายเข้าไปอยู่ในพื้นที่แถบนั้น และติดตามเก็บข้อคิดเห็นของชุมชนแถบชายฝั่ง. เธอบอกว่า คนส่วนใหญ่คิดว่า รัฐบาลจัดการสร้างกำแพงปิดกั้นทะเลจากพื้นที่ชายฝั่ง เร็วเกินไป. น่าจะมีการถามความคิดเห็นของชุมชนแถบชายฝั่งให้ทั่วถึงก่อน เพราะทะเลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเขา. เดี๋ยวนี้พวกเขามองไม่เห็นทะเลอีกแล้ว มันเป็นการตัดขาด เหมือนตัดหัวจิตหัวใจของชาวทะเล. พวกเขาไม่กล่าวร้ายทะเล มันไม่ใช่ความผิดของทะเล.

      ในที่สุดชาวเมืองนี้ เห็นพ้องต้องกันว่า พวกเขาไม่ต้องการให้ทางการสร้างกำแพงปิดกั้นหมู่บ้าน Otsuchi จากทะเล, ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่ความผิดของทะเล ทะเลเองก็ตกเป็นเหยื่อ. ในบริบทนี้ ชาวเมืองนี้จึงกลับมาอยู่ที่นั่นอีกและร่วมใจกันสร้างฟื้นฟูชุมชนที่นั่น. เรื่องนี้สร้างความแปลกใจให้แก่หมู่บ้านชายทะเลอื่นๆ และแพร่สะบัดไปทั่วประเทศ. ปรากฏว่า มีผู้คนจากทุกทิศมาใช้โทรศัพท์สายลมมากขึ้นอีก. โรคระบาดโควิดสิบเก้า ยังมากระหน่ำความสูญเสีย. จึงมีผู้มาระบายความรู้สึกเกี่ยวกับผู้จากไปเพราะโควิด19ด้วย. 

      ฝ่ายรัฐบาลตั้งหมายกำหนด ว่าภายในสิบปีจะฟื้นฟูดินแดนแถบนี้และปิดบันทึกภัยพิบัติฉากนี้ลงอย่างถาวร. สองปีมาแล้ว มีถนนทางด่วนสร้างขึ้นเชื่อมหมู่บ้านและเมืองชายฝั่งแถวนั้น ทางด่วนสายนี้ผ่านไม่ไกลจากสวนที่ตั้งของโทรศัพท์สายลม รถยนต์วิ่งผ่านไปมา เหมือนเวลาที่ผ่านไปวันๆ คลุมบาดแผลจากเหตุการณ์สึนามิปี 2011. ตู้โทรศัพท์นั้นยังคงตั้งตรงนั้น เสนอเป็นทางออกของการสมานแผลเก่าๆของชุมชน.

ผู้คนยึดติดกับความผูกพันเสมอมาและยังจะเป็นเช่นนี้อีกชั่วกาลนาน. ความรู้สึกที่เคยมีจากอดีต ผูกและพันเขาไว้ทั้งกายและโดยเฉพาะใจ ที่กาลเวลามิอาจทำลาย บวกความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้พบกับบุคคลที่รักที่จากไป. เป็นที่มาของกวีนิพนธ์ บทเขียน บันทึกความทรงจำที่สะเทือนอารมณ์ ในวรรณกรรมของชนหลายชาติหลายภาษา.

น่าคิดว่า ถึงเวลาเผชิญความจริงอันหฤโหดในชีวิต ปรัชญาเซน ยังมิอาจช่วยผ่อนคลายความทุกข์ของชาวญี่ปุ่นได้มากนัก.

จะหักอื่นขืนหักก็จักได้   หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก   สารพัดตัดขาดประหลาดนัก  แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ  (สุนทรภู่ นิราศอิเหนา)

เขียนไปๆ นึกถึงเพลง Danny Boy ที่กินใจชาวตะวันตกและตะวันออกมาทุกรุ่น สรุปการคร่ำครวญอาลัยอาวรณ์ของผู้ที่ยังอยู่ และความหวังกับการรอคอยของผู้ที่จากไปก่อน... เหมือนเพลงครวญไว้ทุกข์. บ้างกล่าวว่า เป็นความรู้สึกของพ่อต่อลูกชายที่จากไปสนามรบหรือจากบ้านเกิดไปสู่โลกกว้าง (cf. Irish diaspora ดูเชิงอรรถท้ายบท). บ้างเน้นว่า ดนตรีเข้าถึงจิตใจคนฟัง มีพลังอำนาจเหนือกว่าปรัชญาใด ประวัติศาสตร์ตอนใดหรือบทเทศน์บทใด จนอาจกลายเป็นเพลงปลุกใจในยามวิกฤติ นำสู่การยอมจำนนต่อเหตุการณ์ที่อยู่นอกอำนาจคน (stoicism). 

ธรรมชาติของไอร์แลนด์ ดังที่ได้ไปเห็นมา หรือในภาพนี้ มีอะไรที่บีบหัวใจ นอกเหตุเหนือผล. เครดิตภาพจากเว็บนี้ https://www.wrti.org/post/mysteries-behind-beloved-irish-ballad-danny-boy

ฟังเพลง Danny Boy เวอชั่นดั้งเดิมของ Mike O’Laughlin. มีข้อความระบุว่า « This famous Irish tune is in the public domain, being well over 100 yrs. old. This particular vocal sound recording is copyrighted by Michael C. O'Laughlin, vocalist… From the Irish Roots Cafe, Mike O'Laughlin sings this favorite song that ties so many generations together. It is an outstanding tune in and of itself. More than a song, it is a reminder of friends, family, and the times that have gone before us. The song itself descends from Londonderry Aire (Derry Aire ) a traditional Irish tune. These words were later penned circa 1910 and published in sheet music to that tune in 1913 by Frederick Weatherly. 

This video was recorded, produced and sung by Mike O'Laughlin, in Kansas City. (Produced on a Macintosh computer via garage band and iMovie.). This version was made in preparation for the album: 'Irish Song, Traditional and Sean Nós', released in 2013.»

เลือกเวอชั่นดั้งเดิมมาเสนอณที่นี้ ตามลิงค์ไป >>

https://www.youtube.com/watch?v=9y0sdLL-lTs

Lyrics below: Danny Boy

Oh Danny Boy, the pipes, the pipes are calling

From glen to glen, and down the mountainside.

The summer's gone, and all the flowers are dying

'Tis you, 'tis you- must go, and I must bide.

But come ye -back- when summer's in the meadow,

Or when the -valley's- hushed, and white with snow,

Tis I'll be - here - in sunshine or in shadow.

Oh Danny Boy, Oh Danny Boy, I love you so.

 

But when ye come and all the flow'rs are dying

If I am dead, as dead I well may be,

Ye'll come and find, the place where I am lying,

And kneel and say, an Ave there for me.

And I shall -hear-, though soft, your tread above me,

And then my -grave-, will warmer, sweeter be,

For you will -- bend-- and tell me, that you love me,

And I shall sleep, in peace, until, you come, to me.

--------------------------------

Irish Diaspora >>

ความขัดแย้งทางศาสนา ไร้อิสรภาพในการปกครองตนเองและสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ ผลักดันให้ชาวไอริชย้ายถิ่นฐานออกนอกประเทศไอร์แลนด์, พวกเขามักถูกเรียกว่าเป็น Scotch-Irish.

การย้ายถิ่นฐานของชาวไอริส เป็นหนึ่งของกระบวนการย้ายถิ่นที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์โลก. ประเทศไอร์แลนด์เองมีประชากรน้อยมากเพียง 4.8 ล้านคน. ปัจจัยความถดถอยทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการย้ายออกจากไอร์แลนด์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18. ทวีปอเมริกาเหนือและโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญ. ชาวอเมริกัน 36 ล้านคน อ้างว่าเป็นเชื้อสายของชาวไอริช (ตัวเลขนี้ยากที่จะตรวจสอบ). รู้กันแน่นอนว่า มีชาวไอริชราว 5 ล้านคน ได้จากไอร์แลนด์ไปยังสหรัฐอเมริกา ในกลางศตวรรษที่ 19. ชาวไอริชจำนวนมากในยุคเดียวกัน ก็เข้าไปตั้งถิ่นฐานในสหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์.

การย้ายถิ่นฐานของชาวไอริช มีสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่ง คือความอดอยากที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ 1840 (the Great Famine of the 1840s). นั่นคือ ระหว่างปี 1841-1851 การย้ายถิ่นฐานและการตายเพราะความอดอยากในไอร์แลนด์ รวมเป็นจำนวนสองล้านคน ที่ลดหายไปจากประชากรของประเทศ.  ผลผลิตมันฝรั่งของไอร์แลนด์ที่เป็นแหล่งอาหารและที่มาของรายได้สำคัญของประเทศ ถูกกระทบอย่างจัง ไอร์แลนด์ถึงจุดหายนะ. ความอดอยากครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์ มีผลกระทบต่อสวัสดิภาพในไอร์แลนด์อย่างยิ่งยวด.

สหราชอาณาจักร ต้องการแรงงานจำนวนมาก ที่กระตุ้นให้ชาวไอริชย้ายไปรับงานในสหราชอาณาจักร ในศตวรรษที่ 19 ต่อมาถึงศตวรรษที่ 20.  ระหว่างศตวรรษที่ 18 ก่อนยุคอดอยากครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกาเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของชาวไอริช เพราะรู้ว่าที่นั่นพวกเขาอาจเป็นเจ้าของที่ดินทำกินได้ ตามนโยบายบุกเบิกสร้างบ้านแปงเมืองของสหรัฐอเมริกา. ที่นั่นพวกเขายังมีเสรีภาพในการนับถือศาสนามากกว่าอีกด้วย. ชาวไอริสจำนวนมากเป็นผู้มีการศึกษาสูงและเป็นช่างฝีมือที่ชำนาญ. เชื่อกันว่า ชาวไอริชมากกว่า 250,000 คนเข้าไปตั้งรกรากในสหรัฐฯ. ส่วนใหญ่นับถือศาสนาโปรเตสแตนต์ เป็นชุมชนกลุ่มน้อยในไอร์แลนด์, ยังมีชนกลุ่มน้อยที่เป็นคาทอลิกที่ไปตั้งรกรากในมลรัฐแมรีแลนด์และเพนซิลเวเนีย.  ชุมชนโปรเตสแตนต์กับคาทอลิก แยกกันไปอยู่ในส่วนต่างๆของประเทศ ไม่ปะปนกัน. สหรัฐฯยุคนั้น  ต้องการแรงงานโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมขุดคลองและการตัดไม้ซุง. ผู้ตั้งรกรากชาวไอริชรุ่นนั้นออกไปอยู่ในชุมชนต่างจังหวัด ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและอาชีพของพวกเขา, ชาวไอริชเป็นกำลังสำคัญในการก่อสร้างและการสถาปนาเมือง Kansas City. ส่วนกลุ่มที่ย้ายเข้าไปในสหรัฐฯในยุคที่เกิดความอดอยากในไอร์แลนด์นั้น เลือกไปตั้งรกรากในตัวเมืองใหญ่ๆ บนฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯเช่น นิวยอร์ค, บอสตัน, ฟิลาเดลเฟีย, พิตสเบอร์กและบัลติมอร์ ที่กลายเป็นศูนย์รวมศูนย์ใหญ่ของชาวไอริช. ประชากรชาวไอริช ยังคงเป็นชาติพันธุ์ ที่มีความหมายสำคัญสำหรับประเทศสหรัฐฯในปัจจุบัน, วัฒนธรรมของชาวไอริชได้ฝังเป็นรอยถาวรในวัฒนธรรมสหรัฐฯโดยรวม.

การย้ายไปตั้งถิ่นฐานในประเทศอื่นของชาวไอริช มีผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศที่ชาวไอริชเข้าไปอาศัยและทำมาหากิน. พวกเขาทำงานหนักและพยายามเข้ากับชนชาติเจ้าของประเทศ สร้างเครดิตให้กับพวกเขาเองและไม่ว่าอยู่ที่ใดในโลก. ชาวไอริชไม่เคยลดละที่จะยืนหยัดความสำคัญของ « การเป็นชาวไอริช ».

อ่านรายละเอียดต่อไปได้ในเว็บเพจนี้ >> https://www.pilotguides.com/study-guides/the-irish-diaspora/

โชติรส รายงาน

๒๖ มีนาคม ๒๕๖๔. 

No comments:

Post a Comment