Wednesday, February 10, 2021

Three doors

 

สำหรับหลายคน ประตูอาจเหมือนทางผ่านสู่อะไรที่ลึกลับหรือมหัศจรรย์. จิตรกรบอกว่า ประตูเป็นเนื้อหาของศิลปะได้. ภาพนี้ประกอบขึ้นจากประตูสามแบบของจิตรกรสีน้ำ Viktoria Kravchenko. ประตูแรกจากเมือง Kyiv บนถนน Yaroslav Val Street 49b (Kyiv, Ukraine), ประตูกลางจากปารีส บนถนน 29 Avenue Rapp (Paris, France), ประตูที่สามจากกรุงบรัสเซล บนถนน 6 Rue du Lac (Brussels, Belgium). เครดิตภาพจากเว็บเพจนี้.

สามประตูสร้างคน

พระราชามีพระโอรสองค์เดียว เติบโตเป็นหนุ่ม เป็นคนอ่อนโยน ฉลาดและกล้าหาญ. พระบิดาเห็นสมควรแก่เวลาที่จะส่งพระโอรสออกไปเรียนรู้โลก เรียนรู้ชีวิต เตรียมพระองค์ให้พร้อมเพื่อการเป็นพระราชาที่ดีในอนาคต. จึงส่งพระโอรสออกไปเรียนกับฤาษีเฒ่าในป่าใหญ่. เจ้าชายออกเดินทางไปไม่รีรอ ไปตามหาฤาษีผู้เฒ่า. คารวะท่านครูและขอให้ท่านเป็นผู้ส่องทางชีวิตให้เขา. ฤาษีเฒ่าตอบว่า คำพูดของข้า จักหายวับไป เหมือนรอยเท้าเจ้าบนพื้นทราย. เอาเถอะ ข้าจะบอกอะไรเจ้า บนเส้นทางที่เจ้าไป  จะพบประตูใหญ่เข้าเมืองสามเมือง. บนประตูมีข้อความจารึกไว้ อ่านแล้วใจฮึกเหิม  อยากทำตามข้อความบนประตู. อย่าคิดเปลี่ยนทิศทาง. จงก้าวเดินต่อไป หากเจ้าเปลี่ยนเส้นทาง เจ้าจะตกในวังวนของสิ่งที่เจ้าหนีตลอดไป. ข้าบอกอะไรเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้. เจ้าต้องเผชิญหน้าทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยหัวใจและด้วยเลือดเนื้อของเจ้าเอง. บัดนี้ เจ้าจงออกเดินทางไปบนเส้นทางนี้ ตรงหน้าไปเรื่อยๆ. พูดจบฤาษีเฒ่าก็หายวับไป.

      เจ้าชายเดินไปบนเส้นทางแห่งชีวิตที่ฤาษีเฒ่าบอก ไม่ช้าเห็นประตูเมืองหนึ่ง มีข้อความเขียนบนประตูว่า  เปลี่ยนโลก.  นี่คือสิ่งที่ข้าตั้งใจทำอยู่แล้ว. โลกนี้มีอะไรที่น่ารื่นรมณ์ แต่ก็มีอะไรอีกมากที่ไม่พึงใจข้า. เจ้าชายเข้าเมือง เริ่มศึกแรก. อุดมการณ์ ความเด็ดขาดและกำลังวังชาในวัยหนุ่ม ผลักให้เขากล้าเผชิญโลก กล้ารับมือ เอาชนะและปรับเปลี่ยนสภาพความเป็นจริงของโลก ตามความปรารถนาของเขา. เขาพอใจในการกระทำ หัวใจพองโตด้วยความปลาบปลื้มในความสำเร็จเยี่ยงนักรบผู้มีชัย แต่จิตใจก็ยังไม่สงบพอ. เขาเปลี่ยนอะไรต่ออะไรได้หลายอย่าง, แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่เขาทำไม่ได้, หลายคนเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา. หลายปีผ่านไป ฤาษีเฒ่ามาปรากฏตัว ถามเขาว่า เจ้าได้เรียนรู้อะไรบนเส้นทางชีวิต. เจ้าชายตอบว่า  ข้ารู้แล้วว่า อะไรอยู่ในอำนาจที่ข้าทำได้ และอะไรที่หลุดพ้นมือข้า, มีสิ่งที่ขึ้นกับข้าและมีสิ่งที่ไม่ขึ้นกับข้า. ฤาษีตอบว่า ดีแล้ว ให้รู้จักใช้พละกำลังของเจ้า ทำในสิ่งที่เจ้าทำได้ และหยุดหมกมุ่นกับสิ่งที่ไม่ขึ้นตรงต่อเจ้า. พูดจบก็หายวับไป.

        เจ้าชายเดินทางต่อไป ไม่ช้าไปพบประตูเมืองที่สอง. บนประตูเขียนไว้ว่า เปลี่ยนคนอื่น. ข้าอยากทำอย่างนั้นอยู่แล้ว. มีคนที่นำความสุขความปลาบปลื้มมาให้ และก็มีคนที่สร้างแต่ความขมขื่นความเคืองแค้นให้. เจ้าชายเข้าเมืองไป เริ่มปราบพวกโอหังอวดดี พวกที่ก่อกวนเขาหรือทำให้เขาไม่พอใจ.  เจ้าชายพยายามชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง กดดันให้เปลี่ยนนิสัย. นั่นเป็นศึกครั้งที่สอง. วันเวลาผ่านไปเช่นนี้นานนับปี. วันหนึ่ง ขณะกำลังคิดพิจารณาถึงความพยายามของเขาที่ไร้ผลไร้ประโยชน์  ฤาษีเฒ่ามาปรากฏตัว ถามว่าเจ้าได้เรียนรู้อะไรบนเส้นทาง. ข้าเข้าใจแล้วว่า การกระทำของคนอื่นๆนั้น ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ข้าดีใจหรือท้อแท้ใจ. ทั้งหมดเป็นเพียงโอกาสให้ข้าได้เห็น ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในตัวข้าเอง. ฤาษีเฒ่าพูดว่า เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว เมื่อเผชิญกับคนอื่น สิ่งที่คนอื่นเผยให้เจ้าได้เห็น ทำให้เจ้าเห็นเนื้อแท้ของตัวเจ้าเอง. จงรู้คุณต่อผู้ที่ทำให้เจ้าพอใจมีความสุข และรู้คุณต่อคนที่ทำให้เจ้าโมโห หดหู่และเป็นทุกข์. การเผชิญคนหลายประเภทในชีวิต สอนเจ้าให้เห็นว่า เจ้าควรยืนอยู่ที่ใด บนเส้นทางชีวิตที่เจ้ายังต้องเดินต่อไป. พูดจบ ฤาษีเฒ่าหายวับไป.

        เจ้าชายเดินทางต่อไป ไม่นานก็มาถึงประตูเมืองที่สาม. มีข้อความเขียนไว้บนประตูว่า เปลี่ยนตัวเจ้าเอง. ถ้าข้าเป็นบ่อเกิดของปัญหาทั้งหลายของข้า นี่คือสิ่งที่ข้าต้องเข้าไปพิสูจน์. เขาเข้าเมืองไป เริ่มศึกครั้งที่สาม. เขาพยายามลดอุปนิสัยอันแข็งกร้าว, สู้กับความไม่ดีของตัวเอง, สลัดข้อเสีย, เปลี่ยนทุกอย่างที่เขาไม่ชอบในตัวเขาเอง, ทุกอย่างที่ไม่สอดคล้องกับอุดมการณ์ของเขา. หลายปีในการรบเอาชนะตัวเอง เขามีความสำเร็จอยู่บ้าง แต่ก็ล้มเหลวหลายครั้ง เพราะต้องสู้กับแรงต้านแรงขัดขืน. ฤาษีเฒ่ามาปรากฏตัว และถามว่าได้เรียนรู้อะไรบนเส้นทางนี้. เจ้าชายตอบว่า มีอะไรหลายอย่างในตัวข้า ที่ข้าพัฒนาให้ดีขึ้นได้ และก็มีหลายอย่างที่แข็งขืนและข้าไม่อาจจัดการให้แตกหักได้. เจ้าพูดถูก. เจ้าชายบอกว่า แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกล้าที่จะสู้กับคนอื่นๆ สู้กับทุกสิ่ง หรือสู้กับตัวข้าเอง, มันไม่มีวันยุติเลยหรือ, เมื่อใดข้าจะได้พักบ้าง, ข้าอยากหยุดสู้, เลิกล้มความตั้งใจ อยากทิ้งทุกอย่าง อยากปล่อยทุกอย่าง. ฤาษีเฒ่าพูดว่า นั่นคือบทเรียนบทต่อไป. แต่ก่อนจะไปต่อ เจ้าจงหวนกลับไปบนเส้นทางที่เจ้าได้เดินมาแล้ว. พูดจบฤาษีเฒ่าก็หายวับไป.

        เจ้าชายหันหลังมองเส้นทางที่เขาได้เดินมา, เห็นประตูเมืองที่สามอยู่ไกลลิบๆ. เขาย้อนกลับไปยังเมืองที่สาม. บนประตูหลังของเมือง มีข้อความเขียนไว้ว่า ยอมรับตัวตนของเจ้าเอง.  เจ้าชายอดแปลกใจไม่ได้ว่า ตอนเข้าเมืองที่สามนี้ ไม่ได้เห็นคำจารึกดังกล่าว.  คงอย่างนั้นแหละ ในสนามรบคนมักตาบอด. เขามองเห็นสรรพสิ่งกระจายบนถนน สิ่งที่เขาได้สลัดทิ้ง และสู้มาในตัวเขา, ความผิดพลาด, เงามืดดำในหัวใจ, ความกลัว, ความจำกัดของเขา, ปีศาจเก่าๆในตัวเขาเอง. แต่บัดนี้ เขาได้เรียนรู้ที่จะยอมรับความบกพร่องเหล่านี้, รักข้อบกพร่องของตัวเอง, รักตัวเอง โดยไม่เปรียบเทียบตัวเขาเอง,ไม่ตัดสินตัวเอง, ไม่ประณามตัวเอง. ฤาษีเฒ่ามาปรากฏ และถามเขาว่าได้เรียนรู้อะไรบนเส้นทาง. เจ้าชายตอยว่า ข้าจะเกลียดหรือปฏิเสธส่วนหนึ่งของตัวข้าเอง เท่ากับลงโทษตัวเอง เพราะหากทำอย่างนี้ ข้าจะไม่มีวันพบความสมดุลบรรสานกับตัวข้าเอง. ข้าต้องยอมรับตัวตนของข้า ทั้งดีและไม่ดีโดยไม่มีข้อแม้. ฤาษีเฒ่าพูดว่า ดี  เจ้าได้บรรลุปัญญาข้อแรกแล้ว บัดนี้เจ้าผ่านประตูที่สามออกไปได้.

       ออกจากประตูเมืองที่สาม เจ้าชายเห็นด้านหลังของประตูเมืองที่สองอยู่ไกลออกไป. เมื่อไปถึง เห็นข้อความจารึกบนประตูว่า ยอมรับคนอื่น.  เจ้าชายเข้าเมืองไป ผู้คนมาห้อมล้อม เขาจำคนต่างๆที่เขาเคยสนิทชิดชอบ โอภาปราศรัยด้วย, เห็นคนที่เขาเคยรักและคนที่เขาเคยรังเกียจ, คนที่เขาได้สนับสนุนเกื้อกูนกับศัตรูที่เขาได้ปราบมา. เขาแปลกใจว่า ทำไมบัดนี้ เขาจึงมองไม่เห็นความบกพร่อง, ความผิดพลาดต่างๆนานาที่เคยทำให้เขากระอักกระอ่วนใจ และที่ทำให้เขาต้องสู้เพื่อกำจัดสิ่งหยาบกระด้างเหล่านั้น.  ฤาษีเฒ่ามาปรากฏตัว และถามว่า เขาได้เรียนรู้อะไรบนเส้นทางนี้. เจ้าชายตอบว่า เมื่อข้าอยู่อย่างสอดคล้องกับตัวตนของข้าเอง ข้าไม่มีอะไรที่จะไปตำหนิคนอื่น, ไม่กลัวว่าพวกเขาจะทำอะไรข้า. ข้าได้เรียนรู้ที่จะยอมรับและรักคนอื่นๆตามที่พวกเขาเป็น อย่างไม่มีเงื่อนไข. ฤาษีเฒ่าพูดว่า ดีแล้ว นั่นคือปัญญาข้อที่สอง. เจ้าออกไปจากเมืองได้.

       เจ้าชายไปถึงประตูหลังของเมืองแรก เห็นคำจารึกว่า ยอมรับโลก เขาแปลกใจว่าครั้งแรกที่เข้าเมือง เขาไม่เห็นคำจารึกนี้. เขามองไปรอบๆ และจำได้ว่า นี่คือโลกที่เขาเคยคิดเอาชนะ, โลกที่เขาคิดจะปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น. บัดนี้ เขากวาดตามองไปทางไหน ทุกอย่างสวยงาม สว่าง น่าทึ่ง.  นี่ยังเป็นโลกเดิมเป็นเมืองเดิมที่ข้าเคยเห็น. โลกเปลี่ยนไปแล้ว หรือสายตาของข้าเปลี่ยน. ฤาษีเฒ่ามาปรากฏตัว และถามเจ้าชายว่า เขาได้เรียนรู้อะไรบนเส้นทาง.  เจ้าชายตอบว่า โลก คือกระจกสะท้อนจิตใจของข้า, จิตใจข้าไม่ได้เห็นโลก แต่เห็นตัวเองในโลก. เมื่อจิตใจเบิกบาน โลกดูน่าอภิรมย์, เมื่อจิตใจหดหู่ โลกดูหม่นหมองเศร้าสร้อย. ส่วนโลกไม่สุขไม่ทุกข์ ตั้งอยู่อย่างนั้นเอง. ดังนั้น จึงไม่ใช่โลก ที่ทำให้ข้าหัวใจปั่นป่วน แต่เป็นความคิดเกี่ยวกับโลกของข้าเอง. ข้าได้เรียนรู้และยอมรับโลก ตามที่มันเป็นทั้งสิ้นทั้งปวง โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ และโดยไม่ตัดสินโลก. ฤาษีเฒ่าพูดว่า นั่นคือปัญญาข้อที่สามที่เจ้าได้เรียนรู้. เดี๋ยวนี้ เจ้าใช้ชีวิตสอดคล้องกับตัวตนของเจ้าเอง กับคนอื่นๆและกับโลก.

เจ้าชายรู้สึกสงบเย็น, อิ่มเอิบซาบซ่านใจ, ความเงียบแผ่เข้าไปครองใจ.

ฤาษีเฒ่าพูดว่า บัดนี้ เจ้าพร้อมที่จะก้าวข้ามธรณีประตูสุดท้ายแล้ว, ประตูที่เป็น ทางผ่านจากความเงียบของความอิ่มเอิบซาบซ่านใจ สู่ความซาบซึ้งอิ่มเอิมใจของความเงียบ.

เช่นทุกครั้ง ฤาษีเฒ่าพูดจบก็หายวับไป.

โชติรส ถอดความและเรียบเรียงจากคลิปนิทานเรื่อง Les Trois Portes de la Sagesse ของ Charles Brulhart. สัจธรรมสากล เล่าดี ฟังง่าย ภาษาฝรั่งเศส >>

https://www.youtube.com/watch?v=y7kxHZL7d6s

๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔.

ปัจฉิมลิขิต >> โบราณนานมา คนออกเดินทางเพื่อเรียนรู้โลก เรียนรู้ชีวิต ค้นหาตัวเอง . เป็นการเดินทางคนเดียว หกล้มคลุกคลาน ลุกขึ้นและสู้ต่อไป. บนแผ่นดินไทย นึกถึงอาจารย์ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ นักปรัชญาผู้เดินเท้า «เดินสู่อิสรภาพ» เชื่อว่าทุกคนรู้จัก. ส่วนตัว เมื่อได้เห็นและติดตามคลิปสัมภาษณ์ คลิปการบรรยายของท่านในวาระต่างๆมากมาย สร้างความตื้นตันและความประทับใจอย่างสุดประมาณแก่ข้าพเจ้า. ชื่นชมบุคลิกภาพของอาจารย์, ความเป็นสุภาพชนอย่างเสมอต้นเสมอปลายต่อทุกคนทุกระดับ, แง่คิด มุมมอง หลักการ อุดมการณ์ของอาจารย์ ที่สะท้อนจิตสำนึกและจิตวิญญาณที่โปร่งใส เป็นแบบอย่างของสมณภาวะที่ไม่ต้องอาศัยผ้าเหลือง, การดำเนินชีวิตทั้งในครอบครัวและในสังคม ที่ได้สร้างแรงบันดาลใจแก่คนไทยอีกหลายคน. ขอกราบคารวะอาจารย์มาณที่นี้.

ไม่ลืมวีรกรรมของคุณตูน บอดี้แสลม โครงการ “ก้าวคนละก้าว” เพื่อระดมทุนแก่โรงพยาบาลไทย. 

No comments:

Post a Comment