Carl
Edward Sagan (1934-1996) คาร์ เอ็ดเหวิด เซเกิ่น
เป็นนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน, เป็นนักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์, นักจักรวาลวิทยา,
นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์, นักชีวดาราศาสตร์, ทั้งยังเป็นนักเขียน กวีและผู้ชำนาญการสื่อสารถ่ายทอดวิทยาศาสตร์สู่สามัญชน.
เขาได้ทำงานวิจัยค้นคว้าในวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆดังกล่าว
แต่สิ่งที่ทำให้เขาโด่งดัง จนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในทศวรรษที่ 1970-1980 ในสหรัฐฯ คือการเป็นโฆษกของวงการวิทยาศาสตร์.
เขาเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยชิคาโก, มีบทบาทสำคัญในโครงการอวกาศของนาซา Nasa ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการในทศวรรษที่ 1950 เป็นต้นมา, เป็นผู้อบรมนักบินอวกาศอพอลโล ก่อนออกเดินทางไปดวงจันทร์.
นอกจากการเขียนเล่าไว้ในหนังสือและบทความจำนวนมาก เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่นำผลงานการศึกษาวิเคราะห์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ จักรวาลวิทยา มาอธิบายอย่างชัดเจน เข้าใจง่าย เพื่อเป็นความรู้แก่มวลชน, พัฒนาความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ, ทำบททดสอบความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาล, สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ว่ามิใช่อะไรที่มีแต่สูตรเต็มไปด้วยตัวเลขลึกลับ แต่เป็นสิ่งใกล้ตัว... จึงเป็นผู้นำดาราศาสตร์มาสู่ความสนใจอย่างกว้างขวางของมวลมหาชนในสหรัฐฯ.
เมื่อติดตามอ่านหนังสือของเขา ชัดเจนว่า พื้นฐานการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ การคิดการค้นเป็นระบบ, การรู้จักใช้ภาษาอย่างช่ำชอง, รู้จักเปรียบเทียบ, และในที่สุดรู้จักสอนและถ่ายทอด, ได้สร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ๆต่อมา ที่มีประสิทธิภาพสูง และทำให้สหรัฐฯ (เคย) เป็นผู้นำในด้านการศึกษาและการวิจัยอวกาศในโลกตลอดมาก่อนชาติใดในยุโรปและจีน.
ที่น่าประทับยิ่งขึ้นอีก คือนักดาราศาสตร์ นักจักรวาลวิทยารุ่นบุกเบิกเกือบทุกคนที่ยังมีชีวิตในปัจจุบัน (Hubert Reeves, Niel deGrasse Tyson) ต่างกลายเป็นผู้รณรงค์รักษ์โลก, ปกป้องธรรมชาติ, เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อมวลมนุษยชาติบนโลก... พวกเขาถ่อมตน รู้คุณ จิตใจอ่อนโยนและเห็นความสำคัญของสรรพชีวิต, กระชับและยกระดับความสำคัญของจิตสำนึกและจิตวิญญาณ... ในฐานะของนักวิทยาศาสตร์ ผู้ไม่ยึดศาสนาใดเป็นสรณะ พวกเขาเป็นตัวอย่างบุคคลที่มีคุณธรรมสูง เข้าถึงสัจธรรมด้วยประสบการณ์ การศึกษาวิจัยและสติปัญญาของเขาเอง...
ในที่นี้ จะยกข้อความและแง่คิดบางประการของ Carl Sagan มาให้อ่าน, ให้เป็นสิ่งเตือนใจเราว่า ความรู้นำไปสู่ความดีได้, วิทยาศาตร์นำไปสู่สัจธรรมได้, ชัดเจนกว่าและมีประโยชน์กว่าการเอาลัทธิศาสนาใดมาเป็นฐานสู่ความเข้าใจโลกในมิติต่างๆ. ศาสนาไม่ใช่อิฐ หิน ไม้ ไม่ใช่สิ่งก่อสร้าง, ไม่อาจสร้างบ้านแปงเมืองให้ประชากรจำนวน 7 794 799 ล้านคนบนโลกได้. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นผู้บริหารโลกกายภาพ ที่ทำให้เรามีชีวิตสะดวกสบาย, มีรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน, มีอุปกรณ์สารพัดมาช่วยในการดำรงชีวิต, ความสุขความทุกข์ในชีวิตสังคม ยังเป็นโอกาสให้ปลีกวิเวกไปปฏิบัติธรรมในที่สงบปลอดภัย. หากเราพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะเดียวกันก็มีศาสนามาช่วยพัฒนาจิตใจ, สังคมน่าจะเป็นสังคมที่มีความสมดุลมากกว่าที่เห็นในปัจจุบัน. จะยกศาสดาศาสนาใดขึ้นสูง และด้อยค่าความรู้ความเพียรของนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่วิถีของผู้มีปัญญาและผู้ยุติธรรม. นี่ไม่ใช่การประกวดประชันกัน และก็ไม่ใช่การลบหลู่ศรัทธาความเชื่อของใครต่อศาสดาองค์ใด แต่พึงแยกแยะให้รู้ว่าศรัทธาในพระธรรมคำสอนกับศรัทธาในองค์ศาสดา ไม่เหมือนกัน. แต่ละคนมีสิทธิเชื่อและเคารพบูชาพระธรรมหรือบุคคลผู้ให้กำเนิดศาสนาหรือทั้งสอง. คนอื่นจะรู้หรือไม่ก็ตาม. นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน. ความจริงของคนๆหนึ่ง ไม่ใช่ความจริงของคนอื่นเสมอไป จึงเป็นการดีที่จะเก็บศรัทธาของตัวเองไว้ให้มั่นคงในใจ โดยไม่ไปก้าวก่ายหรือด้อยค่าศรัทธาของคนอื่น.
Carl Sagan เขียนไว้ว่า >>
วิทยาศาสตร์ เป็นอะไรมากว่าความรู้มวลหนึ่ง. วิทยาศาสตร์คือวิธีคิดวิธีหนึ่ง,
เป็นวิธีการซักถามไต่สวนด้วยความสงสัย (เกี่ยวกับจักรวาลหรืออะไรก็ตาม), คนศึกษาซักถามต้องตระหนักรู้อยู่กับใจว่า
ธรรมชาติความเป็นคนนั้น ย่อมทำผิดพลาดได้, เข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อนได้เสมอ. ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์
อาจวัดได้จากความกล้าในการซักถามและการหาคำตอบที่เจาะลึกไปให้ถึงที่สุด. จากกระบวนการซักไซ้ไต่สวนดังกล่าว
เราเปิดใจยอมรับข้อเท็จจริงที่ได้ แทนการเลือกหาคำตอบที่ถูกใจ.
การประกาศอวดตัว,
การสร้างภาพความสำคัญของตัวเอง, มายาคติว่าคนอยู่ในตำแหน่งอภิสิทธิ์ในจักรวาล,
ทั้งหมดเพียงเพื่อประชันขันแข่ง ข่มแสงสีฟ้าอ่อนๆจุดเล็กๆจุดนั้น. โลกของเรา
เป็นจุดเล็กๆโดดเดี่ยวในความมืดที่ครอบจักรวาลไปไม่มีที่สิ้นสุด. เราผู้จมปลักในความมืดแปดด้าน,
ในความมเหาฬารของจักรวาล. ไม่มีอะไรยืนยันได้เลยแม้แต่น้อยว่า จะมีใครหรืออะไรมาช่วยเราให้หลุดจากวังวนของตัวเราเองได้.
โลกเป็นโลกเดียวที่เรารู้ณนาทีปัจจุบัน
ว่าเป็นอู่ของสรรพชีวิต. ไม่มีที่อื่นใดที่เราจะโยกย้ายสายพันธุ์เราไปได้, เราไม่มีทางไปไหนในอนาคตใกล้ตัวนี้เลย.
เราอาจไปเยือนดาวอื่น แต่ไปตั้งรกรากบนดาวอื่นนั้น ยังทำไม่ได้. ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่
ณที่นี่และเดี๋ยวนี้ โลกคือจุดยืนจุดเดียวของเรา.
คนพูดกันว่า การศึกษาดาราศาสตร์
ให้ประสบการณ์ที่บ่มเพาะอุปนิสัยและความถ่อมตน. คงไม่มีภาพใดที่สะกิดให้ประจักษ์ถึงความลุ่มหลง
หยิ่งทรนงตนของคน ดีไปกว่าภาพแสงสีฟ้าอ่อนๆที่คือโลกอันกระจิริดของเรา(ดังตัวอย่างภาพข้างบน). สำหรับข้าพเจ้า
มันกระชับจิตสำนึกของความรับผิดชอบที่เราพึงมีต่อกันและกัน, ของหน้าที่การอนุรักษ์และถนอมจุดสีฟ้าอ่อนๆจุดนั้น
ที่เป็นบ้านหลังเดียวที่เรารู้จัก.
Carl Sagan จากหนังสือ Pale Blue Dot : A Vision of the Human Future in Space.
ขนาดและอายุของจักรวาล เกินความเข้าใจของสามัญชน. โลกดวงเล็กๆของเรา หลงอยู่ระหว่างความมเหาฬารของเวหาที่ไร้พรมแดนกับกาลนานชั่วกัปชั่วกัลป์. มองในทัศนมิติของจักรวาล ความห่วงหากังวลใดๆของคนไม่มีความหมายอะไรเลย ช่างจิ๊บจ๊อยเสียจริงๆ. ถึงกระนั้น สายพันธุ์คนยังอายุน้อย คนอยากรู้อยากเรียน และกล้าหาญ นี่เป็นนิมิตรหมายที่ดี. หลายสหัสวรรษที่ผ่านมา คนได้วิวัฒน์พัฒนาอย่างก้าวกระโดด และได้ค้นพบเกี่ยวกับจักรวาลและตำแหน่งของเราในจักรวาล, ได้ออกไปสำรวจอวกาศที่เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจอย่างแท้จริง. ทั้งหมดเตือนให้ตระหนักว่า การวิวัฒน์พัฒนาของคนเป็นความมหัศจรรย์เพียงใด, ว่าความรู้จำเป็นต่อการเอาตัวรอด. ข้าพเจ้าเชื่อว่า อนาคตของเราอยู่ที่ว่าเราเข้าใจจักรวาลดีมากเพียงใด จักรวาลที่โลกใบน้อยของเราล่องลอยเสมือนละอองฝุ่นในท้องฟ้ายามย่ำรุ่ง.
Carl Sagan จากหนังสือเรื่อง Cosmos.
ธรรมชาติเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับลง เป็นวงจรในจักรวาล. การเอาตัวรอดหลุดออกไปจากกฎนี้ได้ เป็นอุบัติเหตุ เป็นข้อยกเว้น. สรรพสัตว์ก็เช่นกัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์และเมื่อเสร็จหน้าที่ก็ตายลง. ธรรมชาติไม่เลือกข้าง ไม่มีสองมาตรฐาน ไม่ยินดียินร้าย, ความตายมาตามวาระ.
จักรวาลคือสิ่งที่เป็นอยู่ ที่เป็นมาแล้วและที่จะเป็นต่อไป. การมองชื่นชมจักรวาลแม้เพียงเสี้ยวนิดเดียว มันเขย่าขวัญ, เหมือนมีอะไรมาจี้หลัง, หูจับเสียงความถี่แปลกๆ, ให้ความรู้สึกเลือนลางเหมือนความทรงจำในอดีต, หรือเหมือนตกจากที่สูง. เมื่อมองดูจักรวาล เรารู้ว่าเรากำลังสัมผัสความลึกลับที่เหนือความลึกลับอื่นใด.
มีใครหรือที่นอบน้อมถ่อมตนไปกว่านักวิทยาศาสตร์ผู้มองดูจักรวาลด้วยใจเปิดกว้างและยอมรับทุกสิ่งที่จักรวาลบอก
แนะและสอน. หรือใครคนอื่นที่บอกว่า
ให้เชื่อทุกอย่างในหนังสือเล่มนั้นๆ ว่าเป็นความจริง โดยไม่ใส่ใจว่าผู้เขียนในฐานะคน
มีโอกาสผิดพลาดได้เหมือนคนทุกคน.(Carl Sagan หมายถึงคัมภีร์)
เมื่อเราตระหนักรู้จุดยืนของเราในมาตราส่วนของร้อยๆของพันๆปีแสงและในกระแสกาลเวลาที่นานสุดพรรณนาได้, เมื่อเราจับความสลับซับซ้อน ความงามและความละเอียดของชีวิตได้, เมื่อนั้น ความรู้สึกพุ่งขึ้น ความปลาบปลื้มปิติบวกความถ่อมตน อุบัติขึ้น, อารมณ์ความรู้สึกดังกล่าว เป็นสภาวะของจิตวิญญาณ. เป็นความปิติที่ตรึงอารมณ์ในแบบเดียวกับเมื่อเราอยู่เบื้องหน้างานศิลป์ชิ้นเลิศ ดนตรี วรรณกรรมที่ประทับจิตประทับใจ, หรือเบื้องหน้าการสละตัวตนของผู้มีจิตเข้มแข็งและกล้าหาญ ดังตัวอย่างที่เราสัมผัสได้ในพฤติกรรมของมหาตมะ คานธี หรือของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง Jr... วิทยาศาสตร์เป็นตาน้ำของจิตวิญญาณ...
๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๓.
ผู้สนใจติดตามอ่านบางเรื่องเกี่ยวกับ Carl Sagan ตามข้อมูลข้างล่างนี้ >>
*** https://www.goodreads.com/author/quotes/10538.Carl_Sagan
***Broca's Brain: Reflections on the Romance of Science (1979)
***Carl Sagan, Cosmos, Part 11: The Persistence of Memory (1980)
No comments:
Post a Comment