Thursday, January 30, 2020

Heaven is Love

To live is to love

          วิทยาศาสตร์ปลูกฝังความรู้แก่เรามาว่า ทุกอย่างในโลก มีวัตถุ, สสารเป็นองค์ประกอบ. สสารนี้อาจอยู่ในรูปของแข็ง ของเหลวหรืออากาศก็ได้. ร่างกายคนที่จับต้องได้ ก็เป็นสสารแบบหนึ่ง. ในเมื่อเป็นสสาร สัมผัสได้ด้วยประสาทใดประสาทหนึ่งหรือด้วยทุกผัสสะ. มีรูปร่าง วัดขนาดได้ น้ำหนัก ปริมาตร เช่นวัดขนาดกว้าง ยาว สูงของวัตถุใด, วัดขนาดของหิน, ภูเขา, เนื้อดินฯลฯ  เหมือนวัดมวลกระดูกในร่างกาย, น้ำหนักของสมอง, หรือปริมาณมากน้อยของโมเลกุลในร่างกายเป็นต้น. สรุปคือทุกอย่างบนโลกเป็นเรื่องของสสาร-matter.
          การแพทย์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์มวลสารมาตลอดสองพันกว่าปี สอนว่า ร่างกายและส่วนของร่างกายโดยเฉพาะสมอง เป็นกลไกทุกอย่างที่ทำให้คนเป็นคน มีความคิด ความรู้สึก เคลื่อนไหวได้ ทำทุกอย่างที่ทำได้ เพราะมีสมองสั่งการ.  ความเข้าใจเรื่องสมองของวงการแพทย์ยังไม่ไปถึงไหนเลย ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากการวิเคราะห์เชิงสรีรศาสตร์ ชีวเคมีของร่างกาย ที่ส่งผลต่อไปยังจิตใจ. จิตสำนึกหรือจิตวิญญาณ จึงถูกจัดว่าเกิดจากกาย จากระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะของสมอง.
         วิทยาศาสตร์มีจุดยืนชัดเจนว่า เมื่อกายเสื่อมสลายลง ทุกอย่างของคนนั้นก็จบลงด้วย. วิทยาศาสตร์จึงไม่ยอมรับว่า มีจิตวิญญาณของผู้ตายที่อยู่ต่อไปได้ โดยไม่ต้องอาศัยร่างกาย. ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องถกเถียงกันมาสองทศวรรษแล้ว เพราะแพทย์และพยาบาลจำนวนมากที่ทำหน้ากู้ชีวิต ต่างมีประสบการณ์การสัมผสกับจิตวิญญาณของผู้ป่วยไม่ทางตรงก็ทางอ้อม. ผู้ป่วยที่สมองตายแล้ว เส้นความถี่ของหัวใจก็หยุดลงเป็นเส้นตรงแล้ว และกลับฟื้นคืนมาเพราะการปั๊มการช่วยเหลือของทีมแพทย์. หลายปีต่อมา ยังจดจำประสบการณ์วิญญาณออกจากร่างเมื่อสมองตายแล้วได้ชัดเจน ศัพท์ทางแพทย์เรียกประสบการณ์นี้ว่า Near Death Experience (NDE). หลังจากเก็บไว้ในใจมานานเป็นสิบปี เมื่อเล่าให้คนอื่นรับรู้ด้วย สร้างประเด็นที่ถกเถียงกันมากในวงการวิทยาศาสตร์(หมายถึงวิทยาการทุกแขนงที่มีสสารเป็นฐานกระดานกระโดด) ว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อหัวใจหยุดทำงาน สมองตายในเวลาไม่กี่วินาที (ข้อมูลวิทยาศาสตร์ใหม่ๆยืนยันเพิ่มเติมว่า สมองไม่ตายทันทีและอาจยืดเวลาต่อไปได้เป็นสิบวินาทีถึงสิบนาทีเป็นต้น). แต่ประสบการณ์ NDE ของคนเหล่านี้ พิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่เรื่องโกหกพกลม.  การบอกเล่าของพวกเขา ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงทุกประการ พิสูจน์ตรวจสอบได้.  จิตวิญญาณที่ออกจากร่าง รับรู้ทุกอย่าง, มีความคิด, ความรู้สึก, เห็นได้รอบ 360 องศาโดยไม่ต้องหัน, ไปไหนได้ทุกทิศทาง, มีสติปัญญาครบถ้วนและชัดเจนกว่าด้วย, ตัดสินใจเองได้. นอกจากสภาวะของ NDE ยังมีสภาวะของ Out of Body Experience (OBE) ที่จิตวิญญาณออกจากร่างได้และกลับเข้าสู่ร่างได้ โดยไม่อยู่ในสภาวะใกล้ตายหรือเพราะบาดเจ็บหรือป่วยอะไรเลย.  
        แพทย์นักวิจัยที่เกี่ยวข้อง ต่างต้องการให้วงการวิทยาศาสตร์เปิดกว้างและหยุดตรึงความคิดอยู่กับ “สสาร” เนื้อตัวคน หรือวัตถุใดเท่านั้น ต้องเตรียมสร้างเครือข่ายความรู้ที่กว้างกว่านี้ และเปิดพื้นที่ให้การศึกษาวิจัยด้านจิตวิญญาณอย่างแท้จริง.
        ข้าพเจ้าติดตามสารคดีเรื่อง NDE และ OBE มาอย่างตั้งใจ นำบทสัมภาษณ์คนไข้สี่ห้าคนที่ยังมีชีวิตจนทุกวันนี้  ควบคู่กับนายแพทย์อีกสี่คน ที่อธิบายประสบการณ์การกู้ชีพ ในกรณีต่างๆ และนายแพทย์ทั้งสี่วิเคราะห์ประสบการณ์ที่ได้รู้เห็นจากคนไข้. รวมกันเป็นข้อมูลและแง่คิดที่น่าสนใจมาก เพราะคำพูดของนายแพทย์ในเรื่องนี้ ล้วนมีหลักฐาน มีความรู้ มีความคิดวิเคราะห์เจาะลึกไปถึงจิตวิญญาณของคนไข้ และนำมาอธิบายเพื่อให้คนอื่นๆที่เคยอยู่ในสภาพเดียวกัน กล้าที่จะเล่าประสบการณ์, รวมทั้งต้องการกระตุ้นวงการวิทยาศาสตร์ว่า ตำราการพยาบาลรักษาที่ทำกันมาในตะวันตกเป็นเวลาสองพันปีนั้น ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนฐานความรู้ใหม่แล้ว เพราะร่างกายเรานี้ มิได้มีแค่ร่างกายพร้อมอวัยวะทั้งหลาย ยังมีอีกด้านหนึ่งที่เป็นความมหัศจรรย์สุดจะประมาณได้ คือจิตวิญญาณที่ไม่ตายตามกาย.
       นายแพทย์ทั้งหลายต่อยอดประสบการณ์สู่ปรัชญาการดำเนินชีวิต ให้ปลูกความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ความเอื้อเฟื้อแก่กันและกัน  ต่อไปถึงประเด็นว่า เรามาเกิดบนโลกนี้ทำไม เรามีพันธกิจอะไรไหมที่ต้องทำในชาตินี้ ก่อนไปสู่ชาติภพใหม่.  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศาสนาหนึ่งศาสนาใด เกี่ยวกับความเป็นคน เนื้อแท้ของคนมากกว่าอื่นใด.  อ่านแล้วอาจเปลี่ยนการมองชีวิต ที่เป็นความมหัศจรรย์ไม่รู้วาย.
        เราได้ยินพระอาจารย์ทั้งหลายเพียรสอนว่า ให้แยกจิตออกจากกาย กายเป็นเพียงทางผ่าน  พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ถึงความจริงนี้เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อนแล้ว. ในตะวันตก การศึกษาวิจัยจะอยู่ในวงการตายกับการเกิดใหม่  และมักโยงไปถึงแนวของศาสนาพราหมณ์ มิได้ไปไกลถึงการหยุดเกิด. ศาสตร์อายุรเวชของอินเดียตลอดจนปรัชญาการดำรงชีวิต เป็นสิ่งที่ปัญญาชน(ชั้นสูง)ชาวตะวันตก ติดตามเรียนรู้มาอย่างต่อเนื่อง. อาจเป็นเพราะมีหนังสือที่ปราชญ์ฮินดูหรืออินเดียเขียนไว้มาก เป็นภาษาอังกฤษ จึงแพร่หลายเข้าสู่ตะวันตกกับการแผ่อาณานิคมของอังกฤษบนดินแดนอินเดีย.       
ข้าพเจ้าสรุปประสบการณ์ของพยานมาสั้นๆ และความคิดเห็นของแพทย์สี่คน ต้องใช้เวลาอ่านนานพอสมควรทีเดียว... 
รู้ไว้เป็นมรณานุสติ และทำให้ไม่กลัวตาย.
พยานเหตุการณ์
Philippe Raboud
Akhena
Claude
แพทย์ผู้วิจัย

Philippe Raboud
ตอนผมอายุ 19 ผมเป็นนักกีฬาฮ็อกกี้น้ำแข็ง และเล่นยูโดด้วย. ยูโดนั้น ผมอยู่ในระดับเข็มขัดเหลือง วันหนึ่งต้องต่อสู้กับคู่แข่งที่มีเทคนิคเหนือกว่าผมมาก เขาคงอยู่ในระดับเข็มขัดดำหรือน้ำตาล. การสู้กันวันนั้น ผมถูกเหวี่ยง ตัวลอยขึ้นและตกลงไปกองที่ปลายเท้าของคู่ต่อสู้ หลังกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผมไม่ขยับตัว แต่ยังมีสติและรู้ตัว คนอื่นเข้ามารุมดูผม ทุกคนคิดว่ากระดูกสันหลังผมหัก และไม่กล้าแตะต้องหรือเคลื่อนย้ายตัวผม. ต่อมามีคนมาจับตัวผม ตอนนั้น ผมเห็นตัวเองลอยขึ้นเหนือร่างของผม ผมเห็นทุกคนในที่นั้น. ผมเห็นร่างผมเจ็บปวด หมอหลายคนมาอยู่รอบตัวผม นางพยาบาลกำลังนวดปั๊มหัวใจ. ผมพลิกตัว ไปมองเพดานอีกด้านหนึ่ง แต่ไม่มีเพดาน มีอุโมงค์ (วันนี้ ผมใช้คำว่าอุโมงค์ตามที่คนใช้กัน แต่ในความเป็นจริง มันเป็นอะไรที่ผมอธิบายไม่ถูก). ผมขึ้นไปๆ ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ไม่รู้เวลานาที เป็นความรู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก. ตอนนั้นผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ. 
       ผมไม่กลัว ไม่สงสัย รู้สึกอะไรๆมันอ่อนโยน เชื้อเชิญและอบอุ่นใจ. ณ ขณะหนึ่ง ผมอยู่ตรงหน้าแสงสว่างจ้ามาก ผมมองได้ด้วยตาเปล่า มันจ้ากว่าแสงอาทิตย์แสนเท่า ล้านเท่าได้กระมัง แต่แสงนั้นไม่ไหม้ไม่แผดเผา ผมรู้สึกว่า แสงนั้นเป็นแสงดีสำหรับผม. ผมเหมือนได้ยินคำถามว่า ผมอยากทำอะไร ผมมีทางเลือก ผมรู้ว่าถ้าผมผ่านประตูที่เห็นออกไป ผมจะหวนกลับไม่ได้ จะพูดกับใครไม่ได้อีก.  ผมหันหลัง เห็นทีมหมอกำลังพยายามปั๊มหัวใจ สายระโยงระยาง ผมมองดูร่างของผม ผมได้สัมผัสความรู้สึกเมตตารอบๆตัว ผมรู้สึกว่าพวกเขาอยากให้ผมกลับมา ผมนึกถึงครอบครัวผม ผมรู้ว่าผมต้องกลับ. ผมตัดสินใจเลือกกลับ ด้วยความเต็มใจของผมเอง. ผมมีทางเลือกว่า จะผ่านไปในอุโมงค์ผ่านประตู หรือหวนกลับ ผมตัดสินใจหวนกลับสู่ร่างผม. 
       ทุกอย่างเกิดในเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาที เหมือนผมร่อนลงในร่างผม แล้วรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว ทีมช่วยชีวิตต่างรู้สึกพอใจ โล่งใจที่ผมกลับฟื้นคืนสู่ชีวิต. สิ่งที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดมาก ผมเองก็ไม่เข้าใจนัก. ผมไม่รู้จะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไร พูดกับใคร พูดไปแล้วคนอื่นก็คิดว่า ผมบ้าไปแล้ว.
         สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้ที่สำคัญมากสำหรับผม คือตระหนักว่าเราอยู่ได้ดีทีเดียวในโลกนี้. แม้จะมีปัญหาสารพัดชนิด กับคนหรือกับเรื่องใดๆ.  ผมเชื่อว่า เราควรใช้ชีวิตให้ดีที่สุดในแต่ละวัน และให้อะไรแก่คนอื่นรอบข้าง ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ให้แก่โลกด้วย, ฟังคนอื่นและเปิดใจให้กับทุกคน. นั่นเป็นสารที่ผมอยากจะะบอก ใครที่มีประสบการณ์แบบเดียวกัน อย่ากลัว อย่าเก็บไว้เหมือนที่ผมเก็บมากว่าสามสิบปีของชีวิต พูดออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย.

Nicole Dron
นิกอลมีประสบการณ์ของคนตายในปี 1968. ปีนั้นเธอคลอดลูกสาว สามสัปดาห์ต่อมา เกิดตกเลือดมาก และถูกนำส่งไปโรงพยาบาลแผนกฉุกเฉิน. วันรุ่งขึ้นถูกนำเข้าห้องผ่าตัดเพราะเกิดเลือดตกมากอีก ในที่สุดหมอต้องผ่าตัดเอามดลูกออกทันที.
         นิกอลเล่า >> ระหว่างผ่าตัดนี้เอง ที่ฉันมีประสบการณ์ตาย-เกิด. ฉันขึ้นไปอยู่ที่เพดาน, ตัวตนของฉัน จิตสำนึกของฉัน ทั้งหมดไปอยู่ที่เพดานห้อง. ฉันรู้สึกบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่อยู่นอกร่างฉัน. ฉันมองดูร่างของฉัน ช่างน่าเกลียด เหมือนโครงกระดูก มีสายท่อต่อไปมาเต็มตัวฯลฯ  แต่บัดดลฉันรู้ว่า นั่นไม่สำคัญเลย เพราะร่างนั้นไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ตัวฉันจริงๆ. ฉันได้ยินเสียงหมอผ่าตัดพูดว่า “เอาขวดเลือดมา เร็ว!”.  ฉันเข้าใจว่าทุกคนเครียดกันไม่น้อย. ฉันนึกถึงคำพูดของสามีที่ปลอบว่า อย่ากังวลไปนะ ทุกอย่างจะเรียบร้อย เราจะคอยอยู่ข้างนอก. ทันทีที่ฉันคิดถึงเขา ฉันก็ออกมาอยู่นอกห้องผ่าตัดแล้ว มันเร็วจนฉันแทบไม่รู้ว่าได้เดินทะลุกำแพงออกไป. ฉันมองสามีและพ่อตาฉัน พวกเขาไม่รู้ว่าฉันอยู่ตรงหน้าเขา. ฉันเดินไปทางซ้าย หันไปทางขวา วางมือลงบนไหล่ของพ่อตา เพื่อจะปลอบว่า ไม่ต้องห่วง ฉันอยู่นี่ไง. มือฉันผ่านทะลุร่างของพ่อตา.  ฉันแปลกใจ ไม่เข้าใจสภาวะของฉัน, ส่วนสามีฉัน ฉันรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่กลางใจเขาในตัวเขาเลย เขาคิดอะไรฉันรู้หมด. (ภายหลังเมื่อฉันหายดี ออกจากโรงพยาบาล ฉันเล่าถึงสิ่งที่เขาคิดในระหว่างที่เขาคอยอยู่หน้าห้องผ่าตัดวันนั้น เขาบอกว่าถูกต้อง เขากำลังคิดเรื่องนั้นอยู่ (เป็นเรื่องภายในครอบครัว ใครจะไปรับลูกจากโรงเรียนเป็นต้น). สิ่งที่ฉันเล่าตรงตามที่เกิดขึ้นทุกประการ.
       ฉันเหมือนจมอยู่ในหลุมมืดสนิท เงียบสงัด โดดเดี่ยวคนเดียวในโลก เป็นความว่างเปล่าที่สมบูรณ์ ฉันคิดว่า นี่ไงฉันตายแล้ว. แต่ฉันกลับรู้สึกมีชีวิตชีวามาก รู้สึกฉลาด, รู้ เข้าใจทุกอย่าง. ไกลออกไป ฉันเห็นจุดสว่างเหมือนดวงดาวที่เห็นยามฟ้ามืด. ฉันรู้สึกเหมือนถูกดึงไปยังจุดสว่างนั้น. มันเป็นความปิติ เต็มเปี่ยมแบบที่ฉันไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต. ฉันไม่รู้จะพูดอย่างไร ไม่มีคำที่จะใช้พรรณนาสภาวะนั้น มันเป็นแสงแสว่าง และฉันรู้สึกเหมือนห่อหุ้มอยู่ในความรักที่ไร้ที่สิ้นสุด ฉันรู้สึกตัวเองนิรันดร จักรวาลอยู่ในมือฉัน. แล้วจักรวาลมาปรากฏในร่างหนึ่ง ถามฉันว่า ความรักของเธอเป็นเช่นใด เธอเคยทำอะไรให้คนอื่นไหม?  ฉัน(ในฐานะของคริสต์ศาสนิกชน) คุ้นเคยกับความคิดที่ว่า พระเจ้าคือพลังชีวิต คือการเคลื่อนไหว, ว่าหากฉันตาย ไม่มีใครมาซักไซ้ฉันหรอกว่า ฉันมีเชื้อชาติอะไร มีปรัชญา มีศาสนาอะไร แต่จะถูกถามว่า ฉันมีความรักแบบไหน และฉันได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นไหม? และนี่เป็นคุณสมบัติเดียวที่สำคัญในแต่ละคน. คนบอกฉันเสมอว่า มีชีวิตแทรกอยู่ในทุกหนทุกแห่งในจักรภพ ว่าชีวิตฉันมีขีดจำกัดเมื่อเทียบกับความไม่มีที่สิ้นสุดของนิรันดร. 
       ชีวิตฉันในขณะนั้น สั้นแค่พริบตาเดียว. ฉันอธิบายไม่ได้ว่าทำไมในเวลาเพียง 45 วินาที ฉันเหมือนอยู่มาแล้วนับพันๆปี ไร้กรอบของเวลาบนพื้นโลก. ฉันไปอยู่ในสวนสวยงามมากสวนหนึ่ง มองดูพืชพรรณ แต่ฉันไม่เห็นเพียงสีเขียว ฉันเห็นโมเลกุลชีวิตที่อยู่ภายใน. ฉันเห็นแสงสว่าง ทุกอย่างมีชีวิต ฉันได้ยินเสียง เสียงนั้นกลายเป็นสีทันใด มันแปลกมาก. ฉันอธิบายให้คนอื่นเข้าใจหรือร่วมในความรู้สึกฉันไม่ได้  ตัวตนฉันเองก็ไม่มีความหมายเลย ฉันเป็นโน้ตดนตรี ฉันเป็นต้นหญ้า ฉันเป็นหยดน้ำ, ฉันเป็นฉันและฉันก็เป็นทุกอย่าง, ฉันเป็นชีวิตในสรรพสิ่ง, มันเหมือนตัวฉันขยายใหญ่ออกไปเท่าขนาดของจักรวาล และสรรพสิ่งรวมอยู่ในตัวฉัน.
        ในขณะหนึ่งฉันนึกถึงลูกๆ ฉันต้องกลับไปหาลูกๆ มิฉะนั้นลูกๆจะเป็นเด็กกำพร้า แต่ฉับพลันฉันแน่ใจว่า ฉันไม่ได้ถูกพรากจากลูก พวกเขาอยู่ในส่วนหนึ่งส่วนใดในตัวฉัน. ฉันนึกถึงน้องชายคนเล็กชื่อเปียร์ เขาเกิดมาและอยู่เพียงเจ็ดเดือนก็ตายจากการติดเชื้อ ตอนนั้นฉันมีอายุสิบเอ็ดขวบ. ฉันชอบไปจับไปดูน้องเปียร์ตั้งแต่เขาเกิด มือน้อยนิด จมูก ปาก หูฯลฯ. เมื่อติดเชื้อ ในเวลาเพียงสามวัน เขาก็ตายจากไป. ฉันเสียใจมาก พ่อแม่ฉันยิ่งโศกเศร้านัก. กำลังคิดถึงน้องเปียร์ ฉันเห็นเด็กหนุ่มมาปรากฏตรงหน้า แสงสว่างโอบล้อมตัวเขา และฉันอยู่ในอ้อมแขนเขา. ฉันจำได้ว่า พูดออกไปว่า นี่ถ้าพ่อแม่มาอยู่ด้วยกันที่นี่ ท่านจะมีความสุขแค่ไหน. เขาบอกว่าเขาอยู่ใกล้ๆทุกคนในครอบครัวเสมอ รักและนำทางทุกคนด้วยความรักที่ไม่มีขอบเขต แม้พ่อแม่หรือฉันจะไม่เห็นเขา.
        และแล้วฉันกลับเข้าสู่ร่างฉันทางหัว เหมือนสอดเท้าเข้าไปในถุงเท้า. ร่างฉันอ่อนเพลีย หมดแรง จากการอยู่ในสภาพกึ่งกลางระหว่างชีวิตกับความตายเกือบสองวัน. มีคนอยู่ข้างฉันตลอดเวลา. มีคนบอกสามีฉันว่า ฉันกลับมาจากแดนไกลโพ้น พ้นอันตรายแล้ว. ฉันได้ยินเสียงดนตรีไพเราะสุดจะพรรณนาในหูตลอดเวลา. ฉันพยายาหาดนตรีนั้นและยังคงตามหาเสียงดนตรีนั้นจนถึงวันนี้ จากดนตรีศาสนาหรือจากดนตรีคลาซสิกทั้งหลาย แต่ฉันไม่พบเสียงดนตรีใดที่เพราะเท่ากับเสียงที่ติดในหูฉัน. เหมือนกับฉันเข้าใจอะไรลึกซึ้งที่แฝงอยู่เบื้องหลังดนตรีแสนไพเราเสนาะหูนั้น. ฉันเหมือนกลายเป็นความลับหนึ่งของจักรวาล. เพียงได้ไปอยู่ในแสงสว่างนั้น แสงนั้นเติมเต็มตัวฉัน เป็นความอิ่มเอิบ ความปิติ ความสงบ. ให้ความรู้สึกว่า เบื้องหลังสิ่งที่เห็น ที่ขรุขระไม่เสมอกันนั้น ทุกอย่างเรียบร้อย เหมือนมีกฎมีระบบควบคุมอยู่ แต่คนมองไม่เห็น. ฉันอยากจะเก็บประสบการณ์ของวินาทีเหล่านั้นไว้ ฉันอยากจะตื่นขึ้นด้วยความอิ่มเอิบใจเช่นที่ฉันได้สัมผัสมา  แต่ฉันรู้ว่า สิ่งที่เหลือติดในความทรงจำฉันนั้น เป็นเพียงเศษธุลีเท่านั้น.
         สิ่งที่ฉันพูด ฉันพูดด้วยความสัตย์ซื่อที่สุดที่ทำได้ ฉันพูดถึงสิ่งที่ฉันยังจำได้. และขณะที่พูด ที่เล่า ฉันคงลดความเข้มข้นของประสบการณ์ลงไปแล้ว เพราะตอนนี้ฉันคิดฉันพูดตามความคุ้นชินของคน. ภาษาไม่มีอำนาจพอ ฉันไม่รู้จะพูดอย่างไรจึงจะตรงตามประสบการณ์ร้อยเปอเซ็นต์  ฉันไม่อาจอธิบายสิ่งที่ฉันรู้สึกและสัมผัสมาได้อย่างสะใจ. ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน อยากเล่ามาก แต่ฉันไม่มีพยานหลักฐาน.
         หลังจากออกจากโรงพยาบาล ตลอดหนึ่งเดือนต่อมา ฉันยังเทียวไปเทียวมา เพื่อเช้คเลือดอย่างสม่ำเสมอ. ครั้งหนึ่งฉันออกไปซื้อของ มีหญิงสาวคนหนึ่ง ทักทายฉันว่า สวัสดี แม่สาวผู้ฟื้นคืนชีพ เป็นสำนวนที่คนในโรงพยาบาลเรียกฉัน. เธอคนนั้นคือพยาบาลและเป็นคนหนึ่งในห้องผ่าตัดเมื่อฉันถูกส่งเข้าไป. เธอเล่าว่า ฉันทำให้เธอกลัวมาก. ฉันได้โอกาสจึงถามเธอว่าตอนผ่าตัด ฉันเป็นอย่างไรหรือ. เธอบอกว่า หัวใจฉันหยุดเต้นแล้วประมาณ 45 วินาที. สัญญาณเต้นของหัวใจ (electrocardigramme) เป็นเส้นตรง ไม่มีความถี่ใดๆแล้ว. ฉันเพิ่งรู้รายละเอียดตอนนั้นเอง ว่าฉันได้ตายไปแล้วชั่วระยะเวลาประมาณ 45 วินาที.
        การตายจากไปของคนอื่น ทำให้โศกเศร้า มันเป็นเรื่องธรรมดาของการเป็นคน. ฉันเสียพ่อแม่ พี่ๆและน้องอีกสองคน ฉันคิดถึงพวกเขา โดยเฉพาะในเทศกาลคริสต์มาส ฉันร้องไห้คิดถึงพวกเขา. แต่แล้วมันก็ต้องหยุด. ฉันไม่ปฏิเสธความทุกข์โศกเพราะคนมีความรู้สึก. แต่เหนือความทุกข์โศกและเมื่อฉันเองผ่านประสบการณ์ใกล้ตายมาแล้ว ฉันจึงพูดเสมอว่า ฉันไม่สิ้นหวัง.  หลายคนคิดว่า ตายแล้วก็จบลง เราจะไม่มีวันพบกันอีกเลย. ฉันไม่รู้สึกเช่นนั้น บ่อยๆฉันพูดกับพ่อแม่พี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องหลานๆ. คนอื่นอาจเห็นว่าฉันพูดกับตัวเอง. นี่ไม่ใช่อาการผิดปกติแต่อย่างใด. หลายคนคิดว่าคนตายอยู่ไกลออกไปพันปีแสงมั้ง จะไม่มีวันได้รู้ได้เห็นกันอีก. ในความเป็นจริง พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา อยู่กับเราตลอดเวลา หากเราอยากพูดด้วย พวกเขาจะมาอยู่ใกล้ๆ มาฟัง มาปลอบเราเป็นต้น.
         ประสบการณ์ช่วยให้ฉันปล่อยวางอะไรๆลงไป และมีความเชื่อมั่นในชีวิต ว่ามีใครมีอะไรที่เป็นหลักให้เราเกาะได้เสมอ.  ฉันเชื่อว่าควรจะสอนตั้งแต่วัยเด็กเลย เกี่ยวกับจิตวิญญาณในร่างกายคน ว่าคนไม่ใช่เพียงรูปร่าง แต่มีพลังงาน เป็นระบบที่เรียกกันว่า จักระ และพลังเหล่านั้น คือสิ่งที่ทำให้เรามีลางสังหรณ์ รู้อะไรได้ทางโทรจิต หรือเป็นตัวกลาง เป็นร่างทรงเชื่อมต่อกับชีวิตในมิติอื่น. ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรเลวร้ายเลย, สำหรับฉัน สิ่งที่เลวร้ายคือวิธีการใช้พลังของเรา (ไปในทางที่ผิด).  เมื่อเรามีอายุ 75 เราเริ่มตระหนักถึงผลแห่งการกระทำ  เราเข้าใจมันในภายหลัง ว่าเพราะเคยทำอย่างนี้ ต่อมาจึงรับผลอย่างนั้น. 
        เมื่อมาเกิดบนโลกนี้ แต่ละคนคือดนตรีบทหนึ่ง มาเกิดพร้อมความทรงจำที่ติดมากับชีวิตในปางก่อนๆ. ดนตรีใครเป็นเช่นใด ก็ดึงดูดดนตรีแบบเดียวกัน ที่มาเสริมหรือร่วมผสมผสานกันไป. นั่นคือชะตาของเรา ที่จะดึงคนอื่นๆที่มีชะตาต้องกันมาอยู่ใกล้กัน.
        ฉันสำนึกว่า ทุกอย่างในแดนดวงดาวนั้น ง่ายและฉับพลัน เพราะเป็นแดนของความรัก ไม่มีกรอบใดขวางกั้นหรือจำกัด ไม่มีมิติของเวลาที่มนุษย์ตั้งขึ้นใช้บนโลกเพื่อความสะดวก. เมื่อฉันกลับมาสู่แดนมนุษย์ ฉันก็อยู่ในความรัก มิตรภาพ และก็อยู่ในความขัดแย้ง ความโกรธแบบต่างๆของปุถุชน. หลังจากประสบการณ์ตายมาแล้ว ฉันรู้ว่า แม้คนที่ไม่ดี คนใจร้าย  มิใช่ตัวตนจริงๆของเขา. เขาเองไม่ใช่เช่นนั้นเมื่อไปถึงจุดสุด ถึงก้นบึ้งของตัวตนของเขา. ฉันก็เหมือนกัน แต่ละคนมีข้อบกพร่องมากบ้างน้อยบ้าง  แต่ละคนอยู่ใน กระบวนการกลายสภาพ” (Becoming = changing to + moving forward). ชีวิตบนโลกเป็นทางผ่าน และบนเส้นทางนี้ เขามีโอกาสปรับปรุง แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงไปจนสุดศักยภาพของเขา เพื่อบรรลุสภาวะที่ดีที่สุดในแดนดวงดาว (ในโลกหลังความตาย).  หากคิดตามนี้ มันช่วยให้ ฉันไม่สร้างกรงล้อมตัวใคร หรือตรึงใครไว้ในข้อบกพร่องของเขา.  ฉันยังต้องกิน ยังมีความสุขแบบต่างๆบนโลกได้ ในขณะเดียวกันฉันก็รู้ว่า ฉันจะเป็นเช่นใดในภพหน้า และฉันควรเป็นเช่นนั้นในชีวิตบนแดนคนนี้ด้วย. นั่นเป็น บทเรียนสำคัญสำหรับฉัน.
          ถ้ามีคนถามฉันว่า ศาสนาคืออะไร ฉันจะตอบว่า คือความรักและมีทางเดียวที่จะไปถึงได้ คือการเปลี่ยนตัวเราเอง. เส้นทางที่เราควรเดินไป เปรียบได้กับวิวัฒนาการของตัวหนอนที่ค่อยๆกลายเป็นผีเสื้อ. ไม่ว่าคุณจะยึดหลักการของศาสนาหรือลัทธิใดก็ตาม  ประเด็นหลักคือการเปลี่ยนแปลงตัวเอง.  ฉันรู้แล้วว่า เหนือจิตสำนึกที่จำกัดอยู่ในร่างคน มีจิตวิญญาณ(ที่อาจ
เรียกด้วยชื่อใดก็ได้) ที่เป็นตัวตนแท้จริงของฉัน  ที่เป็นแก่นสาร(เป็นเอสเซ้นส์)ที่แท้จริงของฉัน. ฉันเชื่อว่า แต่ละคนจะค้นพบทางของเขาเอง  จุดหมายปลายทางคืออะไร ไม่สำคัญเท่ากับเส้นทางที่เลือกเดินไป.
         การมีประสบการณ์หรือความเข้าใจในเรื่องนี้ อาจช่วยให้แต่ละคนมองลึกลงหาความจริงของตัวเอง ค้นพบตัวเอง มองให้เห็นอีโก้ เมื่อเห็นแล้วเข้าใจแล้ว อาจทำให้แต่ละคนเบนออกจากอีโก้ทีละเล็กทีละน้อย. ฉันเชื่อว่า หากคนเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางดีขึ้น เขาอาจเบี่ยงตัวออกจากชะตากรรมแบบเดิมๆ เบนออกไปจากความทุกข์ทรมานที่เขาต้องประสบซ้ำๆอีกในโลกนี้และในชีวิตหน้า  เขาอาจเปลี่ยนชะตาของเขาได้ เปลี่ยนความถี่ภายใน เปลี่ยนโลกได้ และยังเปลี่ยนสถานภาพของเขาในชาติภพหน้าด้วย.  นั่นคือเส้นทางเดินที่ควรเลือก ต้องเดินทางผ่านขั้นตอนของวิญญาณสำนึกแต่ละระดับ จนในที่สุด ตัวเองเป็นคนเปลี่ยนเส้นทางของชะตากรรม ไปสู่เส้นทางอันบรรเจิดของแสงสว่าง.  ฉันเข้าใจแล้วว่า ประเด็นสำคัญ คือการค้นพบตัวเอง ที่นำการปรับพัฒนาตัวเอง เปลี่ยนตัวเองต่อไปให้ถึงที่สุด. ฉันปิติที่ได้เห็นแสงสว่าง แต่เท่านั้นไม่พอ จนกว่าฉันจะเปลี่ยนตัวฉันเองให้เป็นแสงสว่างด้วย. 

ข้อสังเกตจากโชติรส  คุณ Nicole Dron สตรีชาวฝรั่งเศส ผู้มีประสบการณ์ใกล้ตายมาแล้ว ในปี 1968 ตอนนั้นเธออายุ 26. ความเป็นคนช่างพูดช่างเล่า ได้รับเชิญไปพูดไปเล่า และมีผู้ไปสัมภาษณ์เธอ ออกอากาศหลายครั้งมาก เธอจึงพูดคล่องมาก เล่าได้ไม่ติดขัด ไม่ต้องหยุดคิดเลย. ประสบการณ์ที่ผ่านมานานสี่สิบปีกว่าแล้ว เล่าได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น. ความเคยชินกับการถูกถามเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบ่อยๆ อาจทำให้การเล่าของเธอเพิ่มสีสัน เพิ่มสำนวนสละสลวยมากขึ้นตามลำดับ ตามวัยและตามคุณวุฒิของเธอด้วย. ตามฟังดูเนื้อหายังคงที่ บทเรียนจากประสบการณ์ของเธอ ขยายอุดมการณ์ชีวิตของเธอ ที่เธอพูดได้อย่างมีหลักมีปรัชญามากขึ้นๆ.
ผู้สนใจติดตามฟังเธอได้ในบทสัมภาษณ์จากสื่อมวลชนฝรั่งเศส เช่นในเว็บข้างล่างนี้
En Conscience. Documentaire de Tistrya. September 26, 2016.
45 secondes d’éternité : La NDE de Nicole Dron. May 24, 2015.

Marc Boucher de Lignon
      ในปี 1985 ผมทำงานในต่างประเทศ มีปริญญาวิศวกรรมสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์. วันหนึ่งผมขับรถไปร่วมงานเต้นรำ สถานที่นั้นอยู่ห่างไป 200 กิโลเมตร. ยุคนั้นผมไม่ดื่มแอลกอฮอล งานเต้นรำจบลง ผมขับรถกลับบ้าน ตอนนั้นเช้าหกนาฬิกาแล้ว ขับไปๆผมหลับในคาพวงมาลัย. เมื่อถึงทางเลี้ยวที่ทำมุมเกือบเก้าสิบองศา  จึงไม่ได้เลี้ยวตามเส้นทาง รถพุ่งตรงต่อไปข้างหน้า และหยุดเกย(ต้นไม้). ผมสะดุ้งตื่น ปลดเข็มขัดนิรภัยออก เครื่องยนต์ยังคงหมุนอยู่. รถพยาบาลมาถึงในเวลาหลายนาทีต่อมา. ผมยังรู้ตัวทุกอย่าง. ผมถูกหามเข้าไปในรถพยาบาล. ตอนนั้นแหละที่ผมลอยตัวขึ้นเหนือร่างผม คนกำลังพยาบาลปั๊มหัวใจผม. ผมร้องว่า ผมยังไม่ตาย ๆ แต่คงไม่มีใครได้ยิน. พวกเขาพาผมไปถึงห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล.  ผมรู้สึกว่าตัวผมถอยห่างออกไปๆ. ผมรู้ว่าทีมงานที่กำลังช่วยผมคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร. ณขณะหนึ่ง ร่างผมหายใจเฮือกแล้วหยุดลง. ตอนนั้นผมรู้ว่า ผมสิ้นใจแล้ว.  
        ผมรู้ว่าผมตายแล้วทางกาย ในขณะเดียวกันผมกลับรู้สึกมีชีวิตชีวายิ่งนัก ไม่มีความเศร้า ความโกรธอะไรเลย. ณขณะหนึ่ง เหมือนผมถูกดึงไปในพื้นที่คล้ายๆอุโมงค์แสง พื้นที่รูปเกลียว. แสงที่เห็นไม่เหมือนแสงที่เห็นบนโลก เป็นแสงสว่างจ้ามากแต่ไม่บาดสายตา. แสงนั้นเหมือนมาปลอบใจ มาห้อมล้อม ปกป้อง. ผมอยู่คนเดียว เห็นภาพชีวิตผมที่ผ่านไปเหมือนการฉายสไลด์. สามคนในรูปของแสงสว่างสามลำ มาปรากฏตัว ให้ความรู้สึกอ่อนโยน เมตตา และอบอุ่น. ทั้งสามพูดกับผม บอกว่าผมประสบอุบัติเหตุรถยนต์. ผมเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นที่พูดกันตอนนั้นเพราะผมตายไปแล้ว และมองเห็นภาพชีวิตในอดีต. เช่นเมื่อผมอายุแปดขวบ สมัยนั้นผมเป็นคนอ่อนไหวมาก เข้ากับโลกที่ผมอยู่ไม่ได้. พ่อผมเป็นคนดุ ผมมองเห็นชีวิตผมเองในอดีต เหมือนถูกปลดปล่อยจากความรุนแรงที่ครอบงำใจผมมาตั้งแต่วัยเด็ก ผมโกรธทุกอย่าง โกรธสภาพแวดล้อมตัวผม โกรธโลก โกรธทุกสิ่งในชีวิตในวัยนั้น. หลังจากนั้น ลำแสงทั้งสาม นำให้ฉันเห็นโลกพิเศษน่าทึ่งอื่นๆ. ผมพบคนเก่าคนแก่ของครอบครัวที่ตายไปแล้ว  ทุกคนต้อนรับผมราวกับรู้จักคุ้นเคยกันมานานมาก. พวกเขาบอกผมว่า  ผมมีอะไรต้องทำอีก และสิ่งที่ผมทำ จะช่วยเยียวยาผมจากแผล จากความทุกข์ในอดีตหรือจากความไม่เข้าใจอะไรทั้งหลายในชีวิตที่ผ่านมา.
      ผมเหมือนได้ยินคำถามว่า ผมอยากทำอะไร ผมมีทางเลือก. ถ้าผมผ่านประตูที่เห็น ออกไปแล้ว ผมจะหวนกลับไม่ได้ จะพูดกับใครไม่ได้อีก.  ผมหันหลัง เห็นคนกำลังพยายามปั๊มหัวใจบนร่างผม. ทีมหมอ สายระโยงระยาง ผมมองดูร่างของผม ผมได้สัมผัสความรู้สึกเมตตารอบๆตัว. ผมรู้สึกว่าพวกเขาอยากให้ผมกลับมา. ผมนึกถึงครอบครัวผม ผมรู้ว่าผมต้องกลับ. เมื่อผมฟื้นกลับเข้าสู่ร่าง ทุกอย่างเพิ่มความหนาแน่น เพิ่มปริมาตร จนไม่อาจเข้าถึงลำแสงสว่างที่ผมเห็นตอนผมตายได้อีกเลย.
         เมื่อออกจากโคม่า ผมเจ็บแสนสาหัสไปทั้งตัว ช่างต่างกันมากมายเมื่อเป็นวิญญาณออกจากร่างไป ที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆเลย  กลับมาในร่างคน เหมือนสวมเสื้อผ้าที่คับเกินไปที่ทำให้อึดอัดไปทั้งตัว ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร.
         หมอบอกว่าผมอยู่ในโคม่าสามวัน. ผมรำลึกถึงความตายของผม, แสงสว่าง อุโมงค์ ความรักความอบอุ่นใจที่ผมได้สัมผัส ยังคงติดอยู่ในจิตวิญญาณของผม. ภรรยาผมบอกว่า ผมฟื้นมา เป็นคนละคน ผมเปลี่ยนไปมาก.
         คนมีสัญชาตญาณหลายอย่างหลายแบบ เขาต้องตามสัญชาตญาณเหล่านั้นไป จึงจะรู้คำตอบ. ประสบการณ์ของผม ยากที่จะบอกเล่าให้ใครรับรู้ด้วย เพราะคนอื่นไม่เคยมีหรืออยู่ในประสบการณ์เดียวกัน. อย่างไรก็ดี ในยุคนี้ มีคนจำนวนมากขึ้น ที่พูดออกมาเกี่ยวกับความจริงก่อนและหลังการตายนี้.
         เมื่อผมเป็นเด็ก ผมมักเห็นอะไรที่ผู้ใหญ่ไม่เห็น. เด็กยังไม่มีสำนึกของเหตุปัจจัย สัมผัสอะไรก็พูดไปตามนั้น เดี๋ยวนี้ผมเข้าใจว่าทำไมในวัยเด็ก ผมเห็นอะไรๆผ่านมาผ่านไป ในเมื่อเผอิญผมอยู่ในระดับความถี่ของปรากฏการณ์นั้น ผมจึงสัมผัสได้ แต่ผู้ใหญ่คิดอย่างวัตถุนิยม มีเหตุต้องมีผล หรือผลเกิดจากเหตุ. ผมจึงถูกผู้ใหญ่เอ็ดบ่อยๆว่า บ้าหรือไง ให้หยุดพล่ามเรื่องไร้สาระ. เมื่อผมอายุแปดขวบ ผมหยุดพูด หยุดเห็นไปด้วย เพราะเบื่อที่ต้องโดนดุเสมอ.
       คนตายไม่มองด้วยวิธีเดียวกับคนเป็น เพราะเขาไม่มีกายของคนเดินดิน. เขาพูดกับเรา แต่เราไม่ได้ยิน หากเราไม่ได้อยู่ในระดับความถี่เดียวกับเขา เช่นนี้อาจทำให้เขาโกรธ. หลายคนโมโห เพราะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เช่นคนตายกระทันหันในอุบัติเหตุ หรือตายด้วยหัวใจวายเฉียบพลัน. คนตายยังไม่รู้ว่าตัวเขาตายแล้ว จึงยังคงคิด พูดหรือประพฤติตัวตามปกติที่เขาคุ้นเคย. บางครั้งทำให้ครอบครัววุ่นวายมาก. วิญญาณเหล่านั้นยังถูกกักอยู่ใน “วัตถุวิสัย” และยังไม่สามารถไปถึงแสงสว่าง. พวกเขายังอยู่ด้วยความหวาดกลัว เราต้องสวดมนต์ให้พวกเขา.
        ประสบการณ์ของผม เปลี่ยนชีวิตผม เปลี่ยนสายตา ความคิด จิตสำนึกผมเกี่ยวกับชีวิตและความตาย ความสัมพันธ์ระหว่างคนด้วยกัน และทำให้ผมมองคนอื่นๆชัดเจน และมองอะไรลึกกว่าลักษณะภายนอก. เพื่อเข้าถึงระดับจิตวิญญาณ ต้องหยุดส่วนที่เป็นวัตถุ(เลือดเนื้อ), ส่วนที่เป็นอารมณ์ในจิต จำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป เป็นการก้าวไปสู่สิ่งแปลกสิ่งใหม่ที่แตกต่างกัน. การฝึกสมาธิช่วยเปิดทางสู่สภาวะจิต ที่สั่งสมเก็บความประทับใจจากประสบการณ์จริงๆเท่านั้น. ยังมีเรื่องของภาษาด้วย ที่เราอธิบายได้ไม่สะใจเท่าที่เรารู้สึก. เรายังไม่มีความรู้ด้านพลังงานภายในกาย เรามีเพียงร่างกายที่เป็นเครื่องมือวิเศษ แต่เรายังไม่รู้จักใช้ร่างกายเต็มตามศักยภาพ เราใช้มันเพียงสองสามเปอเซ็นต์. ร่างกายมีเสาอากาศ (ethereal) ที่อาจเรียกว่าเป็น “เสาอากาศอารมณ์” ที่จับอารมณ์ในรูปแบบของพลังงานได้.  คนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่น เพราะเขาเปิดเสาอากาศรับรู้ เขารับรู้สิ่งต่างๆด้วยวิธีต่างๆ. เรามีตาที่สามที่เชื่อมต่อกับต่อมพีเนียล แต่ตานี้ถูกทำลายไปเสียมากในโลกที่เราอาศัยอยู่. 
         ลองทดสอบด้วยตัวคุณเองได้ ให้นั่งตรงหน้ากระจก ห่างออกมาสักหนึ่งเมตรถึงหนึ่งเมตรห้าสิบเซ็นต์ นั่งเพ่งสายตาไปที่ตำแหน่งของดวงตาที่สาม ตรงกลางหน้าผาก โดยไม่กระพริบตาเลย. แรกๆต้องบังคับตัวเอง แต่พอคุ้นๆ คุณจะเห็นอะไรเกี่ยวกับตัวคุณเอง คุณตระหนักถึงความจริงของคุณเอง ตอนนั้นคุณเหมือนคนขับของกายของคุณที่แม่ธรณีให้มา. ตัวตนที่แท้จริงของคุณ ต้องเติบโตด้วยประสบการณ์ต่างๆโดยอาศัยกายที่พระแม่ธรณีให้ยืม. แต่จุดหมายสุดท้ายคือการก้าวข้ามร่างกาย  ก้าวข้ามวัตถุที่คือเลือดเนื้อ และแปลงมันให้เป็น “ แสงสว่าง ”. การต้องไปเกิดใหม่ คือวิวัฒนาการ ที่สอนให้เข้าใจกระบวนการปรับความหนาแน่นของโลกในมิติต่างๆ. ในกระบวนการเหล่านี้ คนเป็นเหมือนเอเยนต์เพื่อมาถ่ายทอด เพราะเมื่อกลับมา เรายังมีความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ไปพบเห็น.
        หากเราฝึกการหายใจด้วยจิตวิญญาณ การทำสมาธิ มันเปลี่ยนเคมีและวิธีการที่สมองทำงานได้ ดังที่ชาวพุทธรู้แจ้งกันดี, ที่นำไปสู่ระบบการเรียนการสอนที่แตกต่างออกไป ไปสู่กระบวนการทำงานในระดับพลังงานแบบอื่นๆ.  การมีประสบการณ์ใกล้ตายมาแล้ว เป็นสิ่งที่ดี แต่เบื้องหลังประสบการณ์นี้ มีสารพิเศษที่ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า เมื่อเคยได้เชื่อมต่อติดกับแสงสว่างมาแล้ว อย่าตัดสายเชื่อมนั้นทิ้ง เพราะคือเครือข่ายที่รับข้อมูลอื่นๆต่อไป ที่อาจเป็นข้อมูลที่โลกต้องการ. ไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ. ผมไม่ได้ตกอยู่ในสภาพวิญญาณที่ร่างตายแล้วด้วยความบังเอิญใดๆทั้งสิ้น. 
        ผมคิดว่าสำคัญ ที่คนที่ผ่านประสบการณ์อย่างผม บอกเล่าถ่ายทอดให้คนอื่นๆรู้ เหมือนหน้าที่ที่เขาควรทำ เพื่อเปิดประตูให้แก่คนอื่นๆ ในเมื่อเขามีกุญแจอยู่แล้วในมือ. ผมสอนหลักสูตร “อาหารการครัวศักดิ์สิทธิ์” ที่ผมเรียกดังนั้น หมายถึงการทำครัวด้วยวิญญาณสำนึกให้พัฒนาวิญญาณสำนึกโดยผ่านอาหาร การกินและการทำอาหาร. เราอาจฝึกได้ด้วยวิถีต่างๆ ฝึกการหายใจ, ไปในธรรมชาติ, หลอมหรือเชื่อมตัวเองเข้าในธรรมชาติ กับต้นไม้ฯลฯ. ทั้งหมดนี้ สร้างปัญญา. เราอาจใช้ชีวิตของทั้งสองมิติได้ในโลกวัตถุ และอย่ากลัวที่จะนำแสงสว่างมาใส่ลงในวัตถุ (matter, materials).
       หลายคนกำลังเปลี่ยน พวกเขาโผล่ออกจากความจริงของตัวตนของเขาเอง. มีหนุ่มสาวจำนวนมากที่สนใจอยากเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ. ปัญหาอยู่ที่ว่า สังคมกลั่นกรองทุกอย่าง. หนุ่มสาวยังต้องเผชิญกับจิตสำนึกและความจริงภายในของตัวเอง และเพราะพวกเขายังไม่เข้าถึงเครื่องมือและใช้ไม่เป็น. พวกเขาเหมือนเด็กทารกที่หัดเดิน ยังไม่อาจควบคุมร่างกายเขาได้. พวกเขาจึงอยากรู้อยากเรียน. คนที่มีประสบการณ์มาแล้ว อาจช่วยพวกเขาได้ นำไปในทางที่ถูก.

AKHENA (ปัจจุบันเป็นคนสอนการเจริญสมาธิกรรมฐาน)
ตอนออกจากร่าง เป็นอะไรที่รุนแรง ฉันบอกไม่ได้ว่า ฉันกลัวตอนนั้นไหม แต่เป็นความรู้สึกรุนแรงที่แปลกมาก (โชติรส : ข้ามมิติ สู่พื้นที่ที่มีคลื่นความถี่คนละระดับ). การสั่น การกระเทือน เสียงรุนแรง ที่ดังสนั่นอยู่ในหัว แล้วสงบลงในบัดดล และรู้ตัวว่าเป็นวิญญาณออกจากร่าง ไกลจากเตียง ตัวเบาโหวง เหมือนเป็นอีกร่างหนึ่ง ร่างผ่านทะลุกำแพง ขึ้นไปที่เพดานห้อง ออกไปนอกถนน คิดถึงที่ไหน ก็ไปถึงที่นั่นในบัดดล. ฉันตระหนักชัดตอนนั้นว่า วิญญาณฉันทำอะไรได้ทุกอย่าง. เมื่อกลับคืนสู่ร่างกาย ยังจำทุกอย่างได้ชัดเจน รู้โดยไม่สงสัย รู้ว่าไม่ใช่ฝันไป. เพราะบางสิ่งบางอย่างในส่วนลึกที่สุดของฉัน เปลี่ยนไปแล้ว ฉันไม่อาจกลับเป็นตัวฉันคนเดิมได้อีกเลย.
      ทุกคืน จิตวิญญาณหรือ “กายทิพย์”  (เจาะจงในภาษาฝรั่งเศสไว้ว่า ร่างในมิติดวงดาว หรือ ร่างดาว le corps astral / the astral body) ออกจากร่างไป. กายทิพย์นั้นรู้วิธีเข้าออก เพราะออกไปและเข้าคืนสู่ร่างทุกคืน. เมื่อกลับคืนตามปกติ มันไม่มีอะไรเจ็บปวด. การกลับคืนสู่ร่างกาย แน่นอนทำให้รู้สึกถึงความหนาแน่น ความแข็ง น้ำหนัก (จากกายทิพย์ที่เบาโหวง กลับคืนสู่ร่างที่มีกรอบพื้นที่จำกัดด้วยกระดูกโครงสร้างของร่างกาย). มีกรณีที่การกลับสู่ร่างผิดปกติ เหมือนถูกดึงกลับมาอย่างปัจจุบันทันด่วน เช่นโทรศัพท์ดังขึ้นฉับพลัน เรียกกายทิพย์นั้นกลับคืนทันที. แบบนี้ กายทิพย์นั้นจึงเหมือนยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก ทำให้รู้สึกมึนๆ, หรือตกใจตื่นเพราะถูกปลุกกระทันหัน (เพราะสัญญาณไฟไหม้เป็นต้น), หรือถูกปลุกขณะกำลังฝันอยู่ ทำให้ตกใจตื่น. มันคล้ายๆแบบนี้แหละ. (จึงไม่น่าจะดี ที่ปลุกใครด้วยความรุนแรงขณะที่คนกำลังหลับสนิท)
      จักรวาลทั้งหมด เหมือนซ้อนๆกัน เข้าถึงกันและกัน วิญญาณสำนึกของคนที่ออกไป เข้าสู่มิติดวงดาว สั่นเป็นความถี่ไม่เหมือนกับร่างกายที่มีเลือดเนื้อ (ทุกอย่างคือความถี่). ทัศนวิสัยที่ร่างสัมผัสในมิติดวงดาว สมบูรณ์มากกว่าการเห็นด้วยดวงตา. ฉันเห็นทุกสิ่งรอบด้าน 360 องศาโดยไม่ต้องหมุนตัวตามไป. ฉันเห็นทะลุกำแพง  ฉันเห็นทุกอย่างกำลังเคลื่อนไหว ไม่มีอะไรหยุดนิ่งกับที่ ทุกอย่างมีชีวิต ไม่มีอะไรตายเลย ทุกอย่างเคลื่อนไหว แม้แต่โต๊ะ ฉันเห็นโมเลกุลโต๊ะที่เคลื่อนที่ไปมา.
       ฉันพบว่ามีคนอื่นๆที่มีประสบการณ์แบบเดียวกัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน. นั่นทำให้ประสบการณ์การออกจากร่าง (out of body experience) แล้วกลับคืนมา กลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมาคนตายที่อยากติดต่อเรา เขาต้องอยู่ในโซนดวงดาวที่ใกล้โลกมากด้วย เขาต้องไม่ไปไกลเกินไป. เขาจะติดต่อกับเราอย่างไร คือต้องเลือกเวลาเช่นเมื่อเรานอน เมื่อฝัน, คนตายมองเห็นฝันของเราชัดเจน เพราะฝันของเราแผ่ไปรอบตัวเราเหมือนภาพสามมิติ. ผู้ตายอาจเข้าไปในฝันของคุณ เป็นส่วนหนึ่งในฝันของคุณ อยู่ในรูปลักษณ์ที่คุณคุ้นเคยเกี่ยวกับผู้ตาย เพื่อให้คุณจำเขาได้. เมื่อคุณตื่นขึ้น คุณจะยังจำได้และบอกเล่าได้ว่า เมื่อคืนฝันถึงคนนั้น เขาดูสดใสเหมือนยังมีชีวิต คุณรู้สึกพอใจ. ในความเป็นจริง ผู้ตายมาหาคุณจริง และนี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เพราะทุกคนต้องนอน และทุกคนฝัน. ยังมีอีกวิธีที่จะติดต่อหรือพบคนตาย นั่นคือเมื่อวิญญาณคุณออกจากร่าง วิญญาณคุณก็พบคนตายคนนั้นได้โดยตรง เผชิญหน้ากันตรงๆ และด้วยจิตสำนึกที่แจ่มกระจ่างทีเดียว. คนตายก็อยู่ในสภาพคนตาย แต่สองคนพูดคุยกันได้ ตอนนั้นแหละที่คุณจะรู้ว่า ผู้ตายรู้เรื่องทุกอย่างในชีวิตของคุณดี รู้ว่าคุณทำอะไร. (นี่ยืนยันว่า ผู้ตายมิได้จากไปไหนไกล ยังวนเวียนอยู่รอบๆเรา).
        เดี๋ยวนี้ ฉันมีความสัมพันธ์พิเศษกับคน กับสรรพชีวิต ทั้งสัตว์ ต้นไม้ พืชพรรณ กับทุกคน. มันเปลี่ยนความสัมพันธ์ของฉันกับคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง. ฉันเหมือนเข้าไปสัมผัสชีวิตในสรรพสิ่งรอบตัว ในทุกคน ดลใจให้เกิดความเคารพในชีวิต ที่พูดนี้มิใช่แค่คำพูด ฉันสัมผัสความรู้สึกนั้นอย่างแท้จริง.  

Claude
ประสบการณ์ออกจากร่าง (out of body experience) ของผมนั้น คือการรู้ตัวตลอดเวลาตั้งแต่ต้นจนจบ รู้จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในยามนั้น และการกลับคืนสู่ร่างก็เหมือนการตื่นนอน เป็นไปโดยอัตโนมัติ.  ผมไม่มีโอกาสพบวิญญาณคนตายนัก การจะได้พบ ต้องเป็นผู้ที่เรามีความผูกพันกันแน่นแฟ้นมากพอสมควร. ต้องมีเหตุผลเพื่อจะพบด้วย ผมจึงไม่เชื่อที่คนพูดว่า ได้คุยกับคนตายเป็นชั่วโมงๆ. จากประสบการณ์ของผมเอง คนตายต้องใช้พลังมหาศาลเพื่อติดต่อสื่อสารกับเรา. มีคนเคร่งศาสนาหลายคนที่บอกว่า เคยพบวิญญาณร้ายๆ คุณอาจไปเจอวิญญาณร้ายๆแบบนั้นก็ได้. หลายคนต้องการมีประสบการณ์ออกจากร่าง ผมอยากเตือนว่า ต้องระวัง คุณอาจเสียศูนย์. ถ้าตัวคุณเองมีจิตไม่แน่วแน่ ควรหลีกเลี่ยง มีความเสี่ยงที่น่ากลัว แต่หากคุณก้าวพ้นความกลัว และเตรียมตัวคุณบ่อยๆ(เอาชนะความจำกัดของเลือดเนื้อ ออกจากกรอบของกายด้วยฌาณ) จนสามารถสยบร่างกายของคุณเอง คุณจะพบว่าสุดทางของประสบการณ์เป็นอะไรที่ธรรมดา ไม่เสี่ยงไม่มีภัย. ส่วนคนที่พยายามจะติดต่อคนตาย โดยลืมสภาพกายของตัวเขาเอง และหวังจะออกไป เพื่อเปลี่ยนชีวิตใหม่เป็นต้น ผมอยากจะบอกว่า อย่าประมาท. 
      แม้จะมีคนเล่าว่า วิญญาณได้ออกจากร่างไปในแดนดวงดาว ก็ไม่ได้หมายความว่า มันเป็นความจริงเสมอไปในทุกกรณี.  คุณต้องหาทางของคุณเอง มันไม่ง่ายเลย และคุณอาจไม่พบผู้นำทางที่มาช่วยคุณในแดนดวงดาวนั้น. ผู้นำทาง ก็ไม่มาปรากฏตัวในร่างคน มักจะเป็นพลังงานแบบหนึ่ง และไม่บอกให้ทำอย่างนี้หรือทำอย่างนั้น แต่พาไปให้เห็นอะไรต่ออะไร ที่จะเปลี่ยนคุณทีละเล็กทีละน้อย ทุกอย่างคลี่คลายไปเองตามสภาวการณ์ ทิ้งเป็นรอยในจิตสำนึกของคุณ.  สิ่งที่เกิดกับตัวคุณ เป็นสิ่งที่คุณทำอย่างอิสระ ด้วยจิตสำนึกที่เปิดกว้าง. จำเป็นต้องมีชีวิตทางกายและใจที่มั่นคง เพื่อออกไปสู่มิติดวงดาว และการไปมิใช่เพื่อการหนีชีวิตบนโลก หนีความเจ็บปวดทรมาน หนีออกไปจากร่างนี้. ในความเป็นจริง คนที่มีประสบการณ์ออกจากร่างไป เขาตระหนักชัดเจนว่า ขาต้องกลับมาสู่ร่างที่เขาต้องอยู่ให้ได้ และอยู่ให้ดี และไม่ใช่เพื่อการหนีจากทุกข์.
       ในมิติดวงดาวทุกอย่าง เกิดฉับพลัน. ศักยภาพของวิญญาณที่ติดอยู่กาย มีความจำกัด อยู่ในโหมดช้า เพื่อช่วยให้คนเข้าใจทีละขั้นตอน เข้าใจเหตุปัจจัยในปฏิกิริยาทั้งหลาย. ในมิติของคนบนพื้นโลก เมื่อทำอะไรไป คนยังมีเวลาเห็นผลแห่งการกระทำนั้น. ในหมู่ดวงดาว ไม่มีมิติของเวลา ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก.
        การมีโอกาสออกจากร่าง นำให้คนนั้นเห็นความเป็นตัวตนแท้จริงของเขา เห็นอีโก้ หรือข้อบกพร่อง ความผิดพลาดต่างๆของเขา  ซึ่ง Claude คิดว่าต้องเป็นสิ่งที่สอนเรา และช่วยให้เรายอมรับโดยดุษฎี อีกทั้งเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า สิ่งที่แต่ละคนเอาติดไปในแดนดวงดาวได้คือ สิ่งที่ประทับอยู่ในความรู้สึกและประสบการณ์ต่างๆบนโลก. 
(โชติรส : ในแง่นี้ ประสบการณ์จากผัสสะทุกอย่างในชีวิตคน ไม่ถูกลบเลือนไปจากจิตวิญญาณเลย และเป็น “สมบัติ” เดียวที่ติดตัวต่อไปในชาติภพอื่น คือ “กรรม” (การกระทำทั้งกาย วาจา ใจทั้งหมด) และถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยนด้วยจิตมุ่งมั่น สมบัตินี้ก็คงจะตามไปทุกๆชาติ.  กรณีของสมองเสื่อม ความจำถดถอย ไม่ได้หมายความว่า ไม่เหลือประสบการณ์ในชีวิตทั้งความรู้ ความรู้สึก สิ่งที่ทำมาฯลฯ ทุกอย่างยังอยู่ในตัว เพียงแต่การเชื่อมต่อติดในเนอรอนสมองขาดช่วงลงเท่านั้น. พึงรู้ด้วยว่า สมองไม่ใช่สมองที่มีอยู่ภายในกระโหลกศีรษะเท่านั้น ยังมีสมองในระบบลำไส้ที่สำคัญมากเป็นสมองที่สองของคน และสมองในหัวใจ.)  

การศึกษากระบวนการคิด การเรียนรู้ สภาวะจิตในสภาพการณ์ของสังคมและวัฒนธรรมเป็นต้นฯลฯ ที่สังเคราะห์ความรู้จากปรัชญา, ภาษาศาสตร์, จิตวิทยา, ประสาทวิทยา, มานุษยวิทยา, ปัญญาประดิษฐ์ (เรียกว่า Cognitive science หรือ ปริชานศาสตร์). ดูแผนผังนี้แล้ว “จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง” ต้องผ่านตาข่ายกี่ชั้น, ส่วนจิตวิญญาณเป็นมอเตอร์ของทุกเครือข่ายฤาไฉน...  

Dr Sylvie DETHIOLLAZ
จบปริญญาเอกสาขาชีววิทยาโมเลกุล จากเจนีวา. จบแล้วยังไม่สะใจ รู้สึกเหมือนยังไม่รู้อะไรนัก ยิ่งได้เห็นและรับรู้ประสบการณ์ของคนใกล้ตาย (Near Death Experience หรือ NDE) ยิ่งเปิดประเด็นนำเธอไปวิเคราะห์วิจัย สองสิ่งที่เป็นความลี้ลับที่เธอยังเจาะไม่ถึง นั่นคือ ความตาย กับ จิตวิญญาณ (conscience) และดลใจให้เธอสถาปนาศูนย์ศึกษาประสบการณ์ของคนใกล้ตายขึ้นที่กรุงเจนีวา.
        เมื่อฉันอ่านเรื่องราวของคนเหล่านี้ ฉันไม่เชื่อ ฉันสงสัยมานานสิบกว่าปีแล้ว แม้จะได้พบผู้ที่มีประสบการณ์แบบนี้จำนวนมากก็ตาม. มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันวุ่นวายใจมากเกี่ยวกับการมาแสดงตนยืนยันประสบการณ์ของแต่ละคน มีประเด็นด้านอารมณ์ความรู้สึกของผู้เล่า เหมือนเขากำลังกลับไปสัมผัสประสบการณ์นั้นอีกครั้ง. อารมณ์อาจมีส่วนช่วยให้เล่าเกินกว่าเหตุได้เป็นต้น.  คนเล่า ยังพาคนฟังกลับไปอยู่ในสภาพจริงของเหตุการณ์เมื่อวิญญาณของเขาออกจากร่าง. เขาเล่าได้อย่างละเอียดในภายหลัง เกี่ยวกับทุกสิ่งที่อยู่ล้อมรอบตัวเขา ทั้งในห้องที่เขานอนแน่นิ่งอยู่และในห้องอื่นใกล้ๆกันนั้น ตลอดระยะเวลาที่คนเล่าหมดสติหรือสมองตายแล้ว.
        เรื่องเล่าแบบนี้ ให้สองมุมมอง หนึ่งคือเป็นเรื่องกุขึ้นไม่มีมูล หรือสองเป็นเรื่องที่เป็นไปได้. ในกรณีหลังนี้ มันเขย่าตรรกะเพราะอธิบายตามเหตุปัจจัยไม่ได้ และนำให้คิดพิจารณาเรื่องจิตวิญญาณที่เราคิดว่าเรารู้แล้ว. นำไปคิดเรื่องต้นกำเนิดของจิตวิญญาณ มันเกิดขึ้นในสมองหรือเกิดมาจากไหน? จิตวิญญาณมีชีวิตต่อไปได้หรือเมื่อร่างกายตายแล้ว เมื่อสมองตายแล้ว?
          ฉันถามคนเหล่านั้น (ที่ฟื้นคืนมา) เสมอว่า มันเหมือนความฝันไหม เป็นความฝันรุนแรงที่ทำให้จำได้หรือเปล่า. คำตอบคือ “ไม่ใช่ มันไม่เกี่ยวกับความฝัน”. สำหรับคนเหล่านั้น เป็นวิญญาณสำนึกระดับคมเฉียบกว่าจิตสำนึกปกติในชีวิตประจำวัน. ความฝันนั้นคือที่นี่ บนโลกมนุษย์นี้ เมื่อพวกเขาฟื้นคืนสู่ความเป็นจริงในโลก ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสายระโยงระยาง แผ่นเฝือกที่ห่อหุ้มร่างฯลฯ และจิตวิญญาณที่ถูกลดศักยภาพลง เมื่อเทียบกับระดับจิตวิญญาณที่เขาได้สัมผัสเมื่อพวกเขาสมองตาย.
           ในชีวิตต่อมาช่วงแรกๆ คนป่วยที่มีประสบการณ์ NDE หลายคนไปปรึกษาแพทย์ ไปพบจิตแพทย์ บางคนถูกสั่งให้นอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการ และได้รับการเยียวยาผิดๆที่ก่อผลร้ายมากกว่าผลดี เพราะยาระงับประสาทเป็นยาแรงมากที่ก่อให้เกิดความผิดปกติในร่างกายเพิ่มขึ้นอีก เพียงเพราะหมอวินิจฉัยโรคผิด.  ยังมีหมอจำนวนมากที่คิดว่า ทั้งหมดนี้เป็นอาการของจิตวิปลาส.
         เมื่อฉันเริ่มสนใจปรากฏการณ์ของ NDE ฉันคิดว่าฉันจะเข้าใจประสบการณ์แบบนั้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว และสามารถหาคำตอบตามเหตุปัจจัยได้ด้วยความรู้ที่เราเรียนกันมา. ฉันจึงหันไปสนใจด้านประสาทวิทยาศาสตร์ ที่ไม่ใช่แขนงที่ฉันฝึกเข้มมา. เราสรุปว่า จิตวิญญาณ เป็นพฤติกรรมในสมองที่เกิดควบคู่กับอาการหรือเหตุการณ์สำคัญเรื่องหนึ่ง โดยที่พฤติกรรมนี้ไม่ส่งผลใดๆต่อเหตุการณ์หลักนั้น (epiphenomenon) แต่เราไม่มีหลักฐานอะไรเลย. มันเป็นการกระโดดคว็อนตัม ไม่มีใครอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์. (ดังนั้น การจำกัดความของคำ conscience จึงผิด). และเมื่อคิดต่อไป หลักการหรือโมเดลความจริงที่นักวิทยาศาสตร์(รวมแพทย์) ยึดถือกันมา กลายเป็นปัญหาไปเสียแล้ว. สิ่งที่เราคิดว่าเข้าใจและอธิบายได้ในกายของเราในสภาพปกติ เป็นเพียงเศษเสี้ยวของสิ่งที่เป็นไปได้. เท่ากับว่า ต้องคิดใหม่ว่า ไม่มีเพียงความจริงแท้ความจริงเดียว(ทางกายภาพ) แต่มีความจริงหลากหลายควบคู่กันและหรือซ้อนๆกันไป.
        นอกจากประสบการณ์ NDE ที่คนไข้เล่ามา ยังมีประสบการณ์ที่วิญญาณออกจากร่างในแบบเดียวกัน โดยไม่เกี่ยวกับการเจ็บป่วยปางตายใดๆ (คนที่อยู่ในสภาพจิตตื่นแบบกุนดาลินี-Kundalini ในลัทธิฮินดู). กรณีหนึ่ง (Mo) ที่เล่าว่า « ค่ำวันหนึ่ง ขณะกำลังง่วงๆนั้น เห็นแสงสีขาวลูกหนึ่งที่มาจ่อลงตรงกลางหน้าผาก วินาทีต่อไป ทุกอย่างเงียบสงบ ฉันลุกขึ้น เหมือนตื่นขึ้นในยามเช้าตามปกติ แต่ขณะเดียวกันฉันเห็นร่างกายของฉันยังนอนอยู่. ไม่ใช่ฝัน ไม่ใช่ตาพร่ามัว ฉันรู้สึกตัวเบาลอยเหนือพื้น แล้ววินาทีต่อมา ก็กลับลงสู่ร่างของฉันราวกับเป็นเรื่องธรรมดาๆที่สุด เหมือนการลุกขึ้นแล้วนอนลง ». 
         หลายคนที่มีประสบการณ์ รู้ตัวว่าออกจากจุดใดบนร่างกาย บอกว่าเหมือนไอน้ำลอยขึ้นไป. จุดที่วิญญาณลอยออกไปจากร่าง ปกติเป็นตำแหน่งของจักระบนร่างกาย และส่วนใหญ่มักออกจากตำแหน่งของหัวใจ หรือกลางกระหม่อม และเมื่อวิญญาณนั้นออกไป ก็มองเห็นร่างของตัวเอง ในท่านอนหลับ และมักเห็นอะไรที่สว่างเรืองรอง, คนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในสภาพเดียวกันมองไม่เห็น.
         พฤติกรรมแบบนี้ เข้าใจยาก ศึกษายาก คนที่ออกจากร่างไปสู่มิติที่เรียกว่า มิติดวงดาว ที่คล้ายกับมิติบนพื้นโลกมาก แต่ไม่เหมือนเลยทีเดียว. วิญญาณนั้นเคลื่อนที่ไปในแวดล้อมโลก, ไปห้องข้างๆ, ไปในถนน, ไปหาคนที่รู้จัก. วิญญาณของบางคน เดินทางไปไกล ไปพบวิญญาณอื่นๆที่อยู่ในสภาพเดียวกัน หรือพบอะไรอื่น มวล(entity)อื่นๆ.
        เดี๋ยวนี้การแพทย์มีเครื่องมือเพื่อทดสอบการไปปรากฏตัวในห้องข้างๆ ให้วิญญาณที่ออกจากกาย ไปสำรวจห้องข้างๆ แล้วกลับมาบอกว่ามีอะไร. ผลทางคลีนิค มีมากเพียงพอที่ยืนยันว่า การที่วิญญาณออกจากกาย สามารถเคลื่อนที่ไปอีกห้องหนี่ง ไปเห็นสภาพห้องข้างๆว่าเป็นอย่างไร นำมาบอกเมื่อวิญญาณกลับคืนสู่กายแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญใดๆเลย. วิญญาณเหล่านี้ ยังเห็นสิ่งอื่นๆที่คนปกติด้วยประสาททั้งห้าของคน มองไม่เห็น.
        ประเด็นที่หนักแน่นมากในหมู่คนที่มีประสบการณ์ NDE คือการไปพบบุคคลที่ตายไปแล้ว ที่มักปรากฏตัวเพื่อบอกว่า ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะตาย บอกให้กลับไปยังชีวิตบนโลก. ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนักแน่นจริงจังในทุกกรณี.
         เดี๋ยวนี้ ฉันไม่สนใจพูดให้คนเชื่อ. เมื่อฉันไปบรรยาย แม้ในหมู่แพทย์ทั้งหลาย ฉันให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ใครจะเชื่อจะคิดอย่างไรเป็นเรื่องของแต่ละคน. สำคัญคือให้พวกเขารู้ว่า มันมีปรากฏการณ์แบบนี้ เมื่อพบคนไข้แบบนี้ เขาจะได้รับรู้ เข้าใจและเก็บเป็นประสบการณ์.
          ประสบการณ์แบบนี้ควรเป็นสิ่งที่ปลุกคนให้ตื่น เปิดความคิดอ่านกว้างออกไปยังสิ่งอื่นๆ แทนการยึดติดกับความเชื่อเดิมๆ. หลายคนต้องการมีประสบการณ์วิญญาณออกจากร่าง มีเทคนิคมากมายที่ทำให้เกิดขึ้นได้แล้ว  มีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มาก แต่อยากเตือนว่า เมื่อออกไปจากร่างแล้วตื่นกลับมา อะไรจะเกิดขึ้น. ถ้าคนนั้นไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับตัวตนภายในของเขาเอง ไม่มีสภาพจิตที่มั่นคง เราไม่มีทางรู้ว่าประสบการณ์เช่นนั้นจะกระตุ้นสภาวะจิตขั้นต่างๆแบบใดบ้าง. จะเกิดปัญหาจิตหลอนต่อมาไหม มีความเสี่ยงอยู่ จึงต้องไม่ประมาท.
         อีโก้ของคนก็เป็นอีกกับดักหนึ่ง. คนที่มีประสบการณ์และยังมีอีโก้อยู่ เขารู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องเหมือนว่าเขากลายเป็นคนเหนือคนแล้ว. กับดักนี้อาจไม่รุนแรงเท่าความผิดปกติทางจิต. คนที่กลับมา มักมีสมรรถภาพในการฟื้นตัวเร็ว มีสมรรถภาพด้านโทรจิต ด้านคาดการณ์อนาคตได้ เป็นต้น เรื่องเหล่านี้ทำให้พวกเขาหลงเพลินไปตามอีโก้.  การผ่านประสบการณ์แบบนี้ เพื่อสนองอีโก้ของคน ไม่ใช่จุดหมายที่แท้จริงการศึกษาวิจัยเรื่องนี้. จุดหมายที่แท้จริง คือการก้าวข้ามประสบการณ์แบบนี้ ด้วยจิตสำนึกที่แจ่มกระจ่าง ที่นำไปสู่การพัฒนาตัวตนของเขาไปในทางที่ดี (ประสบการณ์ของหลายคน ยืนยันให้รู้ว่า ในมิติดวงดาว มีผู้บอกทางให้เลือก ให้ได้เห็นอนาคตหลายแบบ ให้โอกาสคิดและตัดสินใจเลือกเอง)
      สิ่งหนึ่งที่ฉันแปลกใจเสมอเมื่อเริ่มทำงานในแขนงนี้ ไม่ว่าฉันไปไหน มักมีคนที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน มาพูดคุยด้วย และพอรู้ว่าฉันศึกษาวิจัยเรื่องนี้ แต่ละคนมีเรื่องเล่าโดยที่แต่ละคนไม่เคยกล้าพูดให้ใครฟัง. ในที่สุดประสบการณ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก. ประสบการณ์เล็กประสบการณ์ใหญ่ที่ส่อให้เห็นสภาวะของวิญญาณสำนึกที่เปลี่ยนแปลงไป.  แต่สังคมยังไม่ยอมรับ, มองว่าเป็นคนมีปัญหา, เป็นโรคจิต เช่นนี้ทำให้คนไม่กล้าเล่า แม้แต่กับสามีหรือภรรยา กับลูกของตัวเองเป็นต้น. ฉันพบว่าตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา มีอะไรเปลี่ยนไปมาก. ส่วนตัวฉัน ความสัมพันธ์ระหว่างตัวฉันในวงการแพทย์ก็เปลี่ยนไปมาก. มีทางเปิดมากกว่าเมื่อสิบห้าปีก่อน เดี๋ยวนี้พูดคุยเรื่องนี้กันได้ และกลายเป็นหัวข้อวิจัยเต็มศักดิ์ศรีหัวข้อหนึ่ง แม้จะยังมีผู้ยึดติดกับวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุนิยมอยู่อีก.

Dr Jean-Jacques CHARBONIER
ผมเป็นวิสัญญีแพทย์และทำหน้าที่กู้กระตุ้นหัวใจที่ล้มเหลวให้ฟื้นคืนกลับมา. ผมสนใจประสบการณ์เกี่ยวกับการตายชั่วคราวมาหลายทศวรรษแล้ว เพราะผมมีประสบการณ์ส่วนตัวที่ผลักผมให้มาสนใจหัวข้อนี้. เรื่องเกิดขึ้นในห้องฉุกเฉิน SAMU (ซามู-หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน ย่อมาจาก Service d’Aide Médicale Urgente) ผมปั๊มหัวใจคนไข้ที่เป็นเด็กหนุ่มที่ถูกอัดอยู่ในรถยนต์ ปั๊มไม่ขึ้น. เขาตายต่อหน้าต่อตาผม ผมเห็นประกายชีวิตที่ออกจากดวงตาของเขา และผมสัมผัสจิตวิญญาณเขาในบัดดลนั้น ผมมองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ว่ามีอะไรที่มีชีวิตชีวาอยู่ข้างตัวผม. วินาทีเดียวนั้น เปลี่ยนชีวิตผม และผมตัดสินใจกลับไปศึกษาเพิ่มเติมอีกสามปีในแขนงวิสัญญีแพทย์เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ. การเป็นผู้เชี่ยวชาญแขนงนี้ มีโอกาสเห็นคนไข้จำนวนมากที่ตกอยู่ในสภาวะของคนตายชั่วคราว หรืออยู่ในขั้นโคม่า(coma) ระดับต่างๆ. นั่นเป็นประเด็นที่ผมสนใจเป็นพิเศษว่า ในสภาวะโคม่า หรือในสภาวะที่โดนยาสลบอยู่นั้น จิตสำนึกเป็นอย่างไร ทำอะไร มีปฏิกิริยาอะไรฯลฯ
         ในที่สุดหลายคนไม่ตายและกลับมีชีวิตต่อ ในห้องฉุกเฉิน เราผู้เป็นหมอทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตกลับคืนมา. เทคโนโลยีการแพทย์ในการช่วยกู้ชีวิตในปัจจุบัน ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า เมื่อหัวใจหยุดเต้น เส้นกร๊าฟของหัวใจเป็นเส้นตรงแล้ว สิบห้าวินาทีหลังจากที่หัวใจหยุดเต้น สมองหยุดทำงาน.  ดังนั้นทุกคนที่ฟื้นคืนมาหลังจากการหยุดเต้นของหัวใจ จึงฟื้นหลังจากที่สมองตายไปแล้วในชั่วระยะเวลานั้น.
         บทความของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจชาวเนเธอแลนด์ชื่อ Pim van Lommel ที่พิมพ์ในวารสารแพทย์ The Lancet ในปี 2001 ระบุสถิติว่า 18% (62คน) สามารถอธิบายประสบการณ์ Near Death Experience (NDE)  ที่เกิดขึ้นเมื่อสมองตายไปแล้ว. ในงานวิจัยอีกเรื่องหนึ่งของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคเด็กชาวอเมริกันชื่อ Melvin Morse เมือง Seattle ในสหรัฐฯ ระบุว่า 70% คนไข้เด็กที่เฉียดความตายมาแล้ว เล่าเรื่องการเดินทางไปยัง “ที่อื่น” ที่น่าทึ่งมาก.
       ผมพบคนจำนวนร้อยๆคนที่เล่าประสบการณ์ NDE ผมติดตามซักถามเก็บข้อมูลจากทั้งแพทย์ นางพยาบาล ผู้ดูแลคนป่วย แต่ละคนไม่เคยกล้าเล่าประสบการณ์เรื่องแบบนี้ เพราะกลัวจะเสียชื่อ จะถูกคนเยาะเย้ยว่าประสาทหลอน.
       ตามสถิติ นับกันที่ 2 นาทีในกรณีที่ดีที่สุด และช่วงระยะเวลาสองนาทีนี้ แพทย์ยังช่วยกันปั๊มเอาหัวใจกลับคืนมาได้.  ดังนั้นผู้ที่เป็นพยานของ NDE และได้ออกจากร่างไปรู้ไปเห็นอะไรนั้น เป็นผู้ที่สมองตายแล้วตามหลักการแพทย์.  หลังจากพิสูจน์ตรวจสอบมาอย่างละเอียด ไม่มีข้อสงสัยใดๆแล้วว่า สิ่งที่พยาน NDE เล่าให้ฟัง สิ่งที่เขาเห็นและเกิดขึ้นในห้องผ่าตัดที่ร่างเขานอนสิ้นลมไปแล้ว ตรงกับความเป็นจริงในห้องผ่าตัดนั้นทุกประการ. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกคน ลงความเห็นตรงกันว่า พยานที่เล่าประสบการณ์ NDE นั้นเล่าตามสิ่งที่เขาประสบมา สัมผัสมาจริง ไม่ใช่เรื่องโกหกหรือกุขึ้น. 
       ตัวอย่างกรณีของ Pamela Reynolds  ชาวอเมริกัน ที่เข้ารับการผ่าตัดสมอง (anevrism).  ศัลยแพทย์ได้ใช้วิธีผ่าตัดด้วยการลดอุณหภูมิของร่างกายลงไปที่ 15,5 องศาเซนติเกรด และเชื่อมระบบการหมุนเวียนของโลหิตผ่านอุปกรณ์ที่ต่ออยู่นอกร่างของเธอ. ด้วยกระบวนการนี้ ทำให้ร่างกายอยู่ได้ตลอดการผ่าตัด 45 นาที โดยที่เส้นสมอง (EEG)  ของเธอเป็นเส้นตรงไม่มีความถี่ขึ้นลงใดๆ สมองหยุดทำงานตลอด 45 นาที (ตามหลักการแพทย์ คือสมองเธอตายในระหว่างการผ่าตัดสมอง)
        เธอเล่าว่าเธอออกจากร่าง และสามารถเล่าทุกอย่างอย่างละเอียดที่เกี่ยวกับการผ่าตัดที่หมอศัลยกรรมหลายคนกำลังทำบนร่างของเธอ โดยที่เธอเองก็กำลังดูอยู่ เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องผ่าตัด พยาบาลพูดอะไรกัน อุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่าตัด และเธอก็เห็นเหมือนอุโมงค์แสงสว่าง. เรื่องนี้นายแพทย์ Michaël Sabom ได้สำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด และประกาศว่า ทุกสิ่งที่ Pamela Reynolds เล่านั้น ตรงตามข้อเท็จจริงของวันนั้นในหมู่คนเหล่านั้นและในห้องผ่าตัดนั้นทุกประการ.
       ผมยังนึกถึงกรณีของคนไข้ที่ตาบอดตั้งแต่กำเนิด ที่สามารถพรรณนาทุกอย่างอย่างละเอียด ทั้งใบหน้าของหมอและพยาบาล สีผิวของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งบอกด้วยว่า มีผู้ดูแลคนหนึ่งขโมยเครื่องทองหยองของเธอไประหว่างที่เธอหลับหมดสติและถูกประกาศว่าสมองตายแล้ว.  กรณีคนไข้ตาบอดแต่กำเนิดแบบนี้  ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่กรณีพิเศษ แต่เกิดขึ้นบ่อยๆ. ในรายงานการวิจัยของแพทย์อเมริกันสองคนชื่อ Kenneth Ring และ Sharon Cooper ก็ระบุว่า มีการจดบันทึกเหตุการณ์ของผู้มี NDE จำนวนพันๆคน ไว้เป็นหลักฐานในวรรณกรรมทางการแพทย์.
        มีตัวอย่างของวิญญาญที่ออกจากร่าง ไปพบเห็นวิญญาณอื่นๆที่เขาไม่รู้จักและเมื่อเขาฟื้นคืนชีวิต เขาจำได้ว่าเห็น.  Eben Alexander ศัลยแพทย์ประสาท มีประสบการณ์วิญญาณออกจากกาย. เขาเป็นคนวัตถุนิยมสุดขั้ว ยังต้องยอมรับว่าสิ่งที่เขาประสบมา ไม่ใช่เรื่องประสาทหลอน และเขาก็มีข้อพิสูจน์ เพราะวิญญาณเขาได้พบผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก ที่มาร่วมเดินทางเป็นเพื่อนเขาตลอดเวลาในมิติดวงดาว(หลังความตาย). และเมื่อเขาฟื้นจากโคม่า สองเดือนต่อมา เขาค้นพบว่า สตรีคนนั้นที่เดินทางเป็นเพื่อนระหว่างที่เขาอยู่ในโคม่านั้น คือพี่สาวทางสายเลือดที่เสียชีวิตไปนานแล้ว. สมองเขาไม่เคยเก็บภาพของสตรีผู้นั้น เขาไม่รู้จักเธอในชีวิตปกติ.
       นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้  ประสบการณ์ NDE เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ทางจิตวิทยา เมื่อสมองสื่อให้รู้ถึงความตายที่กำลังมาข่มขู่, อีกทั้งเพราะแพทย์ฉีดสารเอ็นโดฟินและเซโรโทนินให้กับคนป่วยนั้นในปริมาณมาก จึงส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกทำให้เกิดภาพหลอนเช่นนั้นได้ จึงน่าจะเป็นปรากฏการณ์ทางชีววิทยาประสาทในสมอง. และสมองเป็นผู้สร้างจิตสำนึก เมื่อสมองตายแล้ว จิตสำนึกก็ต้องตายไปด้วย.  อีกประการหนึ่ง ประสบการณ์ NDE
 เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลของแต่ละคน เรารับรู้จากคำบอกเล่าของคนเหล่านั้น. ไม่มีพยานทางกาย ไม่มีหลักฐานยืนยันการมีอยู่จริงของวิญญาณที่เป็นอิสระออกไปจากกาย ที่จะใช้เป็นข้อมูลยืนยันทางวิทยาศาสตร์ได้.
         ผมกล่าวมาแล้วว่า หลังสิบห้าวินาที สมองหยุดทำงานโดยสิ้นเชิงแล้ว. ทั้งหมดจึงไม่เกี่ยวกับสมอง.  อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในประสบการณ์ NDE ที่เล่ากันนั้น หลากหลายมาก จะลดให้เหลือว่ามันคือภาพหลอน คือผลผลิตของกระบวนการทางประสาท เพราะสมองกำลังทุกข์ทรมานอย่างยิ่งก่อนสิ้นใจ ไม่ใช่เช่นนั้นแน่.  เป็นการยึดหลักการเก่าๆว่า สมองเป็นผู้สร้างจิตสำนึกเหมือนตับเป็นผู้ผลิตน้ำดี  มันไม่ใช่เช่นนั้น จึงเป็นหัวข้อที่ต้องพิจารณาอย่างถ้วนถี่กว่านี้.
       คนมีจิตวิญญาณที่มีศักยภาพมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์จะคาดคิดไปได้มากนัก. ถึงเวลาที่ต้องเบนทิศทางการวิจัยใหม่. นักวิทยาศาสตร์ได้ลงทุนหลายล้านดอลลาร์เพื่อเข้าใจการทำงานของสมอง แต่แท้จริงไม่ใช่สมองที่เป็นกุญแจดอกสำคัญของปริศนา. กุญแจนั้นอยู่นอกอวัยวะที่เรียกว่าสมอง. ในที่สุดสมองเป็นเพียงสิ่งกรองข้อมูลให้เหลือปริมาณเล็กลง มันทำงานเหมือนเครื่องรับโทรทัศน์  นั่นคือแม้เมื่อเราปิดโทรทัศน์แล้ว รายการโทรทัศน์ยังคงมีต่อ เพราะเราไม่ได้ปิดรายการ เราสับสวิชไฟปิดเครื่องรับโทรทัศน์เท่านั้น. เทียบได้กับสมองที่ตายแล้ว แต่วิญญาณสำนึกยังอยู่ ที่ใดที่หนึ่ง.  มวลรวมของคน จึงมีร่างกายหนึ่งและจิตวิญญาณอีกหนึ่ง ทั้งสองส่วนทำหน้าที่ไปด้วยกันได้ และอยู่แยกกันก็ได้.
       จำเป็นต้องเปิดการแพทย์แขนงใหม่เพื่อศึกษาจิตวิญญาณอย่างเฉพาะเจาะจง. จำเป็นที่เรื่องเช่นนี้มีจุดยืนในสังคม และถ่ายทอดสู่การรับรู้ของคนอื่นๆ และโดเฉพาะในหมู่ผู้มีอาชีพดูแลรักษาประคับประคองคนป่วยในระยะสุดท้าย. เช่นที่นายแพทย์ Eric Dudoit ผู้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ โรงพยาบาล la Timone เมือง Marseille ได้ต่อยอด ด้วยความร่วมมือกับนักวิจัยในแขนงการใช้สมาธิภาวนามาช่วยในการรักษา  รวมประสบการณ์ของการออกจากร่าง หรือ Out of Body Experience (ODE), การใช้วีธีสะกดจิตเข้าแทนที่การใช้ยาสลบในการผ่าตัดสมองเป็นต้น. และนี่เป็นตัวอย่างของวิวัฒนาการการศึกษาเรื่องจิตวิญญาณเชิงวิทยาศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน. 
        ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และทางแพทย์ ทำให้เราสามารถช่วยชีวิตคนจำนวนมากที่หากเป็นสมัยก่อนก็ตายจากไป. นั่นคือ 99% ของผู้ที่หัวใจหยุดเต้นแล้ว ตายไปจริงๆ กู้ไม่ฟื้น ไม่กลับมาเล่าประสบการณ์ใดๆ. แต่ในยุคปัจจุบัน มีคนพันๆคนที่มีประสบการณ์สมองตายและฟื้นหายเป็นปกติ และใช้ชีวิตต่อมาได้. จึงไม่แปลกใจที่พวกเขาเหล่านั้น เล่าประสบการณ์ NDE และ สนใจตั้งคำถามกับวิทยาศาสตร์ว่า เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายและจิตวิญญาณของเขา
          ประสบการณ์การออกจากร่างกาย เมื่อหัวใจหยุดเต้น แต่มันอาจเกิดขึ้นได้ในสภาวะอื่นๆ เช่นในการนั่งเข้าฌาณ ในขนบการรักษาของชามัน (shaman) เป็นต้น. ทั้งหมดเป็นการหยุดมโนสำนึกของการวิเคราะห์ (conscience analytique) ซึ่งเกี่ยวกับมวล (entity) ที่จับต้องได้, สัมผัสได้ด้วยประสาทรับรู้ปกติของคน. เมื่อประสาทเหล่านี้ดับลง (คนสิ้นใจแล้วหรือคนที่มีฌาณสมาบัติที่ดับประสาทสัมผัสของกายลงได้)  วิญญาณสำนึกยังอยู่และเชื่อมโยงกันในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมเรียกว่าเป็น สัญชาตญาณนอกระบบประสาท (conscience extraneuronale intuitive) ที่เชื่อมโยงกับการรับรู้โลก (ที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัส) เช่นลางสังหรณ์ การเป็นร่างทรง แรงดลใจ เป็นต้น ทั้งหมดนี้อยู่นอกบริบทของประสาทปกติของคน. ผู้ที่เป็นร่างทรง เป็นสื่อกลาง(ที่เชื่อมโลกคนตายกับโลกคนเป็น) รับรู้และสัมผัสได้ ที่คนปกติไม่อาจรับรู้ได้ จึงถือว่า มันไม่มี ไม่เกิดขึ้น ไม่ตั้งอยู่. หลายอย่างเช่น คลื่นโทรศัพท์ คลื่นโทรทัศน์ เป็นสิ่งที่ตามองไม่เห็น แต่มันมีอยู่ เป็นข้อเท็จจริงมิใช่หรือ. ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรับรู้ข้อมูล.
        เด็กๆยังไม่มีจิตที่ยึดติดการวิเคราะห์หาเหตุผล จิตแบบนี้พัฒนาได้มาก เป็นจิตสัญชาตญาณ  และอาจเห็นวิญญาณได้. ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กอาจเล่นกับเพื่อน“ล่องหน”  หรือรำลึกถึงเหตุการณ์ในหนหลัง(ในชีวิตก่อน). สัญชาตญาณเด็กในวัยก่อนเจ็ดแปดขวบ ยังไม่มีทักษะของการคิดแบบวิเคราะห์ตามเหตุปัจจัยเข้าไปรบกวน ความคิดของเด็กยังไม่ถูกกรอบใดมาเซ็นเซอร์. แต่หลังจากนั้น จิตถูกครอบงำทีละเล็กทีละน้อยและมากขึ้นๆ โดยเฉพาะหากเติบโตในค่านิยมของสังคม ในระบบการศึกษาที่ประนามเรื่องเหล่านี้ว่าเป็นความคลุ้มคลั่ง ในที่สุดเด็กก็ถูกหลอมเข้าในเบ้าที่สังคมตั้งไว้. หมดทักษะการรับรู้แบบอื่นๆ หมดความเป็นตัวเองไปมากด้วยเช่นกัน.
        หากเราแน่ใจว่า เราคือร่าง และไม่ใช่ เรามีร่าง เมื่อตายไป ก็ไม่เหลืออะไร เพราะเราเห็นการแตกสลายของร่าง. หากเรายอมรับว่า เราคือจิตวิญญาณมาเกิดในร่างหนึ่ง, ว่าเราคือจิตวิญญาณในกายที่เป็นวัตถุ เป็นสสารอันคือเลือดเนื้อ, เราก็เข้าใจว่า เมื่อร่างสลายลง วิญญาณยังอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องอาศัยร่าง. ควอนตัมฟิสิกส์จึงอธิบายการการตายได้ดีกว่าวิทยาศาสตร์แขนงใด.
        ประสบการณ์ NDE ของแต่ละคน มี “ความลึก” มากน้อยต่างกันและส่งผลต่อชีวิตหลังการฟื้นอย่างมีนัยยะสำคัญ. ต่างบอกตรงกันว่า มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ให้ความรู้สึกดียิ่ง (เป็นความปิติ). ส่วนใหญ่ประสบการณ์ NDE ได้พลิกผันทัศนคติของคนเหล่านั้นต่อการดำเนินชีวิต. วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ที่คนรอบข้างไม่เข้าใจและเจ้าตัวก็อธิบายไม่ได้. เขาจึงกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่คนคุ้นเคยไม่รู้จัก. กรณีรุนแรง ทำให้แตกแยกกันไป มีการหย่าร้างเกิดขึ้นมากเช่นกันในหมู่คนที่ผ่านประสบการณ์ NDE มาแล้ว เพราะคู่ครองเข้าไม่ถึงกันแล้ว. สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ พวกเขาไม่กลัวความตายอีกแล้ว (ซึ่งคนละเรื่องกับกลัวความเจ็บปวดของร่างกายเพราะโรคเพราะบาดแผลต่างๆ).  ความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต รวมไปถึงเป้าหมายของชีวิตที่เคยตั้งไว้ ความสำเร็จในชีวิตที่พวกเขาสนใจน้อยลง (เช่นเรื่องหาเงิน หาตำแหน่งสูงในสังคม) และ คุณธรรมที่พวกเขาพัฒนาขึ้นเหนือทุกอย่าง คือความรัก ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ความรู้คุณ. พวกเขาเข้าใจแล้วว่ามีภารกิจอะไรที่ต้องทำบนพื้นโลก, เป้าหมายของชีวิตบนโลก ที่คือการเรียนให้รู้จักรักคนอื่น มอบความรักแก่คนอื่นและช่วยเหลือคนอื่นๆ.

Dr Eric DUDOIT :
ปัจจุบัน ผมเป็นผู้รับผิดชอบหน่วย Psycho-Oncology (การศึกษาสภาวะจิตในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกและการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวข้องกัน) ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย Timone เมืองมาร์แซย ประเทศฝรั่งเศส. ผมมีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในระยะสุดท้าย, ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างชีวิตกับความตาย, ช่วยสภาพจิตของครอบครัวผู้ป่วย, จัดทีมบรรเทาทุกข์ทางใจ. ปัจจุบันมีการจัดกลุ่มนั่งสมาธิ วิปัสสนา เพื่อผู้ป่วยที่ผ่านประสบการณ์ NDE (Near Death Experience).
          จิตวิญญาณออกจากกาย เป็นมันเรื่องที่เกิดขึ้นได้  หากผมออกจากกาย ไปอยู่ในแดนเดียวกับคนป่วยผู้กำลังจะสิ้นลม เราแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ เราพูดคุยกันได้. หากผมเล่าให้ใครฟัง ส่วนใหญ่จะคิดว่า ผมจิตวิปลาส.
          แม่ผมเสียชีวิตเมื่อสามสี่ปีก่อน เราดูแลบริบาลท่านแบบประคับประคอง. โชคดีที่เรารับแม่มาดูแลที่บ้านได้. คืนหนึ่ง ผมไม่เพลียและไม่ง่วง จึงนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์. ราวตีสี่ ทุกคนในบ้านตื่นกันหมด ผมแปลกใจมาก ตื่นมาทำไมเวลานี้. ตอนนั้นผมเห็นคลื่นเล็กๆเต็มรอบตัว มันทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก. วินาทีต่อมา ผมพบว่า แม่ผมเพิ่งสิ้นใจ. ก่อนหน้านั้น ผมให้แม่มารักษาในแผนกรังสีบำบัดที่นี่ แม่ไม่รู้สึกตัวแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าแม่อยู่ใกล้ๆนี่เอง. ผมไม่โกหกญาติทั้งหลาย บอกว่าแม่จะตายในไม่ช้า. กับญาติของคนไข้รายอื่นๆก็เช่นกัน ทุกคนกลัวอยู่ในใจ. การตายคือการพรากจากคนที่รัก จากคนที่อยู่บนโลกนี้ไป. ผู้จากไปอาจไปอยู่ในเมืองใหม่ ไปอยู่กับอะไรที่จีรังยั่งยืนกว่า. คนตาย ตายไปตามกฏธรรมชาติ แต่คนอยู่ต้องเติบโตด้วยเช่นกัน.  ผมสูญเสียแม่ไป ญาติหรือคนรู้จักอื่นๆก็ตายจากไปตามธรรมชาติ. หากคิดให้ดี ผมควรจะดีใจด้วยซ้ำ (ที่พวกเขาไปมีชีวิตใหม่ที่อื่น...)
         ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกที่บ้าๆบ๊องๆ. มติมหาชนหรือเสียงข้างมาก เป็นผู้สร้างจริยธรรม กำหนดกฎหมาย ซึ่งมันไม่ถูกต้อง. ไม่ใช่เพราะทุกคนคิดเรื่อง A ทำให้ A เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องดี.  ตราบใดที่มหาวิทยาลัยหรือสถาบันไม่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่อง NDE นี้ เราจะมีแค่นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นผลผลิตของวิทยาการเชิงวัตถุนิยมเท่านั้น และนั่นคือปัญหา. แพทย์ที่ทำงานกับผม ทำงานเต็มตามความรู้ที่เขาได้เรียนมา มีความตั้งใจในหน้าที่การงาน แต่เมื่อเกิดประเด็นเกี่ยวกับสภาวะใกล้ตาย เกี่ยวกับวิญญาณออกจากร่าง  เกิดความเห็นที่ขัดแย้งกันเป็นสองฝ่าย. ฝ่ายที่แย้ง ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้เพราะไม่มีวิทยาศาสตร์รองรับ ฝ่ายที่มีประสบการณ์ตรงยืนยันว่า ชีวิตมิใช่วิทยาศาสตร์เท่านั้น. การแตกแยกในหมู่แพทย์ชัดเจน คือเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย.
        จำเป็นที่เราต้องสร้างศาสตร์ที่กว้างกว่าวิทยาการเชิงวัตถุนิยม เพื่อรับรู้และรับมือผู้ที่มีประสบการณ์วิญญาณออกจากร่าง ว่าแทนการยึดติดกับการเชื่อหรือไม่เชื่อ ต้องก้าวต่อไปและทำความเข้าใจว่า ประสบการณ์นั้นเปลี่ยนบุคคลนั้นไหมและอย่างไร.
        ปัญหาทั่วไปของตะวันตกที่เป็นสังคมบริโภค และคิดสรุปว่า เราจะมีวิญญาณสำนึกได้ในเวลาสองคลิก. มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกนะครับ ผมอยากจะบอกว่า มันต้องเรียน ต้องเผชิญของจริงเอง. 
         ความแตกต่างระหว่างผู้ที่เข้าฌาณ (mystic) กับผู้ที่วิกลจริต(psychotic) คือคนประเภทหลังมักคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ (megalomaniac) ในขณะที่คนประเภทแรก มักเป็นคนถ่อมตน. ผู้เข้าฌาณขั้นสูง รู้วิถีโลก อะไรควรทำไม่ควรทำ ควรคิดไม่ควรคิด. ในจักรวาลของเรา มีตัวอย่างการใช้ชีวิตทุกรูปแบบ, เป็นจักรวาลสุดพิเศษ. ผมอยากให้ทุกชีวิตได้สัมผัสมิติต่างๆ, ทุกมิติต่างมีความสำคัญ.
         ประเด็นสำคัญ คือเข้าใจว่าจิตวิญญาณนั้นไปเกิดใหม่ได้.  คนมีเลือดเนื้อและเลือดเนื้อนี้มีอิทธิพลต่อวิญญาณสำนึกด้วย.  เมื่อคนตาย ร่างไม่เหลืออะไรแล้ว แต่มีอะไรที่จากร่างไป ไปอย่างอิสระ. ทุกคนรู้ว่าเมื่อร่างกายเหนื่อยเพลียนั้น จิตวิญญาณก็เหนื่อยเพลียไปด้วย. การทำสมาธิพิสูจน์ให้เห็นทางคลีนิคแล้วว่า ส่งผลต่อร่างกายมากกว่าที่คนคิดกัน. เรามาอยู่ในโลกนี้เพื่อเรียน ไม่ใช่เพื่อเรียนการทำเงิน ผมไม่ได้ประณามการหาเงิน แต่มันไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง. เรามาอยู่ในโลกนี้ เพื่อเรียนให้เข้าใจสิ่งที่เราอยาก เราหวัง. มีคนจำนวนมากที่ทนทุกข์ทรมาน. หนุ่มสาวที่หลงทางในสังคม ขาดความหวัง ความอยากในชีวิต เพราะไม่มีอะไรที่สอดคล้องกับสิ่งที่เขาปรารถนา แต่ละครั้งเมื่อคิดอะไรได้ ที่อาจวิเศษ น่าทึ่ง แต่ทุกคนก็บอกเขาว่า มันเป็นไปไม่ได้. ในที่สุด สังคมไม่กระตุ้นให้พวกเขาเดินไปข้างหน้าด้วยความหวังในความสุข ในความพอใจ.
        ผมคิดว่าพรุ่งนี้หรืออนาคต จะสุกใสกว่านี้แน่ จะมืดแปดด้านมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เราไปถึงจุดจบของศตวรรษที่ 20 แล้ว และผมพอใจมาก คือหนุ่มสาวสมัยนี้ที่คณะผม สนใจติดตามเรื่องนี้มาก แต่ก็ยังมีพวกที่ไม่ยินดียินร้าย. โลกพรุ่งนี้จะต้องเป็นโลกของผู้สร้าง ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรในอนาคต แต่ผมแน่ใจว่า วิญญาณสำนึกเปิดกว้างออกแล้วในตะวันตก แม้จะช้าไปบ้าง.  เราต้องไม่ลืมว่า เราเป็นเพียง 7% ของประชากรโลก เราจึงต้องช่วยพี่น้องมนุษย์ด้วยกัน เปลี่ยนกระบวนการของวิทยาศาสตร์ เปลี่ยนจิตสำนึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของคน. จริงๆแล้วมันง่ายและเห็นผลชัดเจนในชีวิตประจำวันของผม ถ้าผมยิ้มให้ใคร เขายิ้มตอบ นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี.

Dr Olivier CHAMBON :
       ผมเป็นแพทย์จบตามหลักสูตรคลาซสิกของการแพทย์ที่พัฒนาการศึกษาด้วยตรรกะของเหตุปัจจัยตามแนววัตถุนิยม ในตอนต้นของการศึกษาที่ผมมุ่งหมายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช ก็ยังเป็นไปตามกระบวนการคลาซสิกที่สอนกันมาในฝรั่งเศส. ต่อมาก็ได้ไปฝึกตามศูนย์จิตเวชบำบัดในอีกหลายสถาบัน ตลอดไปจนถึงการใช้ดนตรีบำบัดฯลฯ. ผมได้ฝึกฝนในจิตเวชบำบัดเพื่อบรรเทาความทุกข์ทางกาย แล้วไปสู่จิตเวชบำบัดทางจิตใจ ที่ต้องตระหนักถึงวิญญาณสำนึกของแต่ละคนด้วย. ทั้งนี้รวมถึงการเรียนรู้เรื่องของการสะกดจิต, สภาวะเข้าทรงแบบชามันนิซึม, การเจริญสมาธิตามหลักของโยคะฮินดู, และติดตามเจาะระบบหมุนเวียนของพลังงานตามหลักของชีกง-tchi kong จีน.
       ผมก็เหมือนคนอื่นๆที่ถูกฟอร์แม็ตให้คิดว่า ประสบการณ์ NDE (Near Death Experience) เป็นผลผลิตจากกระบวนการทางชีววิทยาของสมอง ที่เป็นตัวการกำกับความประพฤติ ระบบยีน, ว่าจิตสำนึกเป็นผลผลิตของสมอง ตามกระบวนวินิจฉัยของสถาบันการศึกษาขั้นสูงของประเทศ. สั้นๆคือ ผมถูกสอนถูกจัดอยู่ในกรอบ จนเกือบเสียรูปเสียทรงของตัวเอง. และแล้วทีละเล็กทีละน้อย ชีวิตและประสบการณ์ที่เกิดกับผม สอนให้ผมตระหนักมากยิ่งขึ้นว่า จิตวิญญาณเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ผมคิดไว้มากนัก.
       ในการฝึกอบรมด้านจิตบำบัด ที่แน่นอนโยงไปถึงจิตสำนึก เช่นในการสะกดจิต, ในเทคนิคการกระเทาะความกลัวที่แอบแฝงอยู่ในจิตใต้สำนึก (T.I.P.I. หรือ Techniques d’intégration des peurs inconscientes), ในจังหวะเต้นของหัวใจที่สอดคล้องกับสภาวะทางจิตแบบต่างๆ. ทั้งหมดเป็นสิ่งที่น่ารู้น่าศึกษาในตัว เช่นนี้ เปิดช่องทางให้คนมาหาหมอ มาเล่าประสบการณ์ส่วนตัว. ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องน่าทึ่งมาก. ปกติคนไข้อึดอัดที่จะพูดกับหมอ มักจะคุยๆกับพยาบาลก่อน เพราะคิดว่า หมอจะเห็นว่าพวกเขาบ้าและพูดในทำนองว่า “คุณมีประสบการณ์อย่างนั้น เป็นเรื่องธรรมดา สมองตกร่องไปหน่อยเท่านั้น”.
        ประเด็นต่างๆเกี่ยวกับสภาวะใกล้ตาย ที่ฝ่ายวัตถุนิยมมอง ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางชีววิทยา เป็นการพูดประเมินคร่าวๆเท่านั้น.  เช่นเมื่อคนที่มี NDE พูดถึงแสงสว่าง หมอทั่วไปจะบอกว่าเป็นผลจากการขาดออกซิเจนในเซลล์ประสาทตา ทำให้เกิดแสงไฟแปล็บๆขึ้นแล้วดับ.  แต่มันไม่เหมือนคำพรรณนาของคนที่มี NDE ที่ยืนยันทุกรายว่า เป็นแสงสว่างจ้าที่ขยายออกๆ สว่างจ้าแต่ไม่ทำให้ตาพร่าหรือบาดตา และที่พวกเขาสัมผัสได้ ว่าเหมือนความรัก ความเมตตา ความเข้าใจ. ประสบการณ์ของพวกเขาไม่เกี่ยวกับสมรรถภาพของสายตาแม้แต่น้อย.
        หมอตอบว่า สมองบางส่วนถูกกระตุ้น อาจทำให้วิญญาณออกจากร่างไป. ๑) เป็นการออกจากร่างเพียงบางส่วนของร่างกาย ส่วนบนหรือส่วนล่าง  ๒) เป็นการออกจากล่างที่ไม่รวมความสามารถของ “วิญญาณ” ที่เดินห่างไปจากร่างได้ เช่นไปปรากฏตัวในห้องอื่นนอกห้องผ่าตัดที่ร่างนั้นนอนอยู่ และยังรู้ไปถึงความในใจตลอดจนการปฏิบัติงานของทีมหมอที่กำลังช่วยเขาอยู่ หรือการออกไปเดินบนถนน.
      ดังนั้นการอธิบายเชิงชีววิทยาของแพทย์ทั่วไป จึงไม่ใช่, พวกเขาต้องยอมรับว่า มีจิตวิญญาณที่เป็นอิสระ และไม่ได้อยู่ในการควบคุมของสมอง.
       สมองในร่างกายคนเป็นกลไกที่วิเศษสุดที่โอบรับความสำนึกที่ดีๆที่สร้างความมั่นใจความไว้วางใจกับสมอง. ความสำนึกของสมองเช่นนี้ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่กระจายครอบทั่วทั้งจักรวาล. ในที่สุดคือจิตวิญญาณของคน อยู่นอกสมอง, สมองต้องการความมั่นใจจากจิตวิญญาณ แต่จิตวิญญาณไม่ต้องอาศัยสมองเพื่ออยู่. เปรียบได้กับเครื่องรับโทรทัศน์ที่รับรายการได้ เมื่อเราปิดโทรทัศน์ เราไม่ได้หยุดรายการ รายการยังมีต่อไปอีก. จิตวิญญาณคนก็เป็นเช่นนั้น จึงอธิบายในกรณีของคนที่สมองตายแล้ว แต่จิตวิญญาณมิได้ตายไปด้วย (เพราะไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ จึงไม่มีการเสื่อมสลายดังที่ร่างกายต้องเสื่อมลงตามอายุขัย).  จิตวิญญาณที่ออกจากร่าง มีพฤติกรรมที่ปราดเปรียวยิ่งขึ้นอีก  และขยายตัวออกไปกว้าง รับรู้ทุกอย่างรอบด้าน เมื่อกลับอยู่ในร่าง ระบบประสาทรับรู้ถูกปรับตัวให้อยู่ในความจำกัดของร่างกาย จึงรับรู้โลกรับรู้ความเป็นจริงของโลกรอบข้างได้เพียงบางส่วน. ผู้ที่มิได้ตกอยู่ในสภาวะจำกัดเช่นนี้ คือผู้ที่มีฌาณสมาบัติขั้นสูง จิตวิญญาณของเขามิได้ถูกจำกัด คนจึงเรียกว่า เขาเป็นผู้รู้แจ้ง (กรณีของพระพุทธเจ้า). ดังนั้นผู้ที่มีประสบการณ์วิญญาณออกจากร่างไปท่องจักรวาล จึงรับรู้ว่า มีความจริงอีกหลายระดับในจักรวาลที่หลากหลาย ละเอียดและประณีตที่คนมองไม่เห็น. จิตวิญญาณไม่ต้องอาศัยร่างกาย วิญญาณนั้นไม่ถูกจำกัดด้วยเซลล์ประสาทสัมผัสในสมอง เมื่อกายตาย ถูกปลดปล่อย เหมือนกระจายออกไป 360 องศา. ทุกอย่างสื่อสารกันถึง วิญญาณล่องลอยไปได้ทุกแห่ง หลุดออกจากกรอบของกาย ของสมอง.
       วัตถุนิยมไม่ใช่วิทยาศาสตร์. พวกใฝ่วัตถุนิยม หัวใสเอาวิทยาศาสตร์ไปใช้เพื่อประโยชน์ของพวกเขา ด้วยการทำให้เชื่อสมมุติฐานของพวกเขาว่า ทุกอย่างคือสสาร(matter) มีแค่วัตถุ และทุกอย่างเป็นผลผลิตของวัตถุ รวมทั้งพลังงาน จิตสำนึก. สมมุติฐานดังกล่าว ในศตวรรษที่ 19 และ 20 ได้ส่งให้วิทยาศาสตร์ก้าวรุดหน้าอย่างยิ่ง จริงอยู่ แต่วิทยาการทั้งหลายมีข้อจำกัด และไปสะดุดเรื่องต่างๆที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ และไม่อาจช่วยให้วิทยาการก้าวหน้าพัฒนาต่อไปได้อีก เพราะได้ไปถึงขีดจำกัดของหลักการ ของโมเดลทั้งหลายทั้งปวงแล้ว. 
       ถึงเวลาที่ต้องมีโมเดลที่ใหญ่กว่า, ใหญ่ขึ้นอีกมากด้วย ที่สามารถครอบเครือข่ายความรู้ที่กว้างกว่าความรู้เชิงวัตถุนิยมและที่ต้องรวมความรู้ด้านอื่นๆด้วย.  เรายอมรับว่า วิทยาศาสตร์เชิงวัตถุนิยม ได้นำความเจริญก้าวหน้ามาแก่โลกมาก แต่โลกหรือชีวิต มิใช่เพียงตัวตน ร่างกายชีวะเคมีเท่านั้น ยังมีชีวิตในมิติอื่นอีกมากที่ต้องคำนึงถึง.
       การแพทย์เป็นวิทยาศาสตร์ที่ต้องการหลักฐาน ข้อพิสูจน์ว่า เมื่อสมองหยุดทำงาน ตามคำจำกัดความสากลว่า การตายคลีนิค(สมองตาย)  ยังมีจิตวิญญาณที่เห็น สัมผัสทุกอย่างได้เหมือนยังมีชีวิต และชัดเจนและรอบด้านดีกว่าด้วย สามารถบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นไกลจากร่างที่นอนตายอยู่. มันเป็นชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นจิตวิญญาณที่ยังอยู่ต่อ ความคิดเช่นนี้เขย่าวงการวิทยาศาสตร์, จะถ่ายทอดความจริงแบบนี้ได้อย่างไร, หักล้างความเชื่อและหลักการทุกอย่างในสังคมตะวันตก บวกกับความไม่ปรารถนาจะพูดเรื่องความตาย ยิ่งไม่เป็นที่เข้าใจ. จำเป็นต้องมีสังคมที่ยอมรับความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ ให้พื้นที่แก่จิตวิญญาณ.
        ผมมองว่า จิตวิญญาณของคนมีสองประเภท ๑) วิญญาณวิเคราะห์ (analytic conscience) เป็นจิตปกติที่คิดหาเหตุผล ให้รู้ต้นสายปลายเหตุ เกี่ยวกับสรรพสิ่ง สรรพประสบการณ์ และวางตัวเราบนตำแหน่งในพื้นที่ ที่เชื่อมโยงกับคนอื่นๆในพื้นที่เดียวกันนั้น ที่เอื้อให้วัดระยะทางและสำรวจผลกระทบของการกระทำต่อไปถึงคนอื่นๆ นำเราให้สำเหนียกถึง(สิ่งที่จะทำใน)อนาคต สร้างความกังวล แล้วยังนำไปสู่อดีต(จะโหยหาหรือไม่ก็ตาม) เทียบกันตลอดเวลา จากอดีตสู่อนาคต (ในพุทธวิถี คือลืมที่จะอยู่กับปัจจุบัน) และนี่คือแบบของจิตสำนึกของชาวตะวันตกส่วนใหญ่.
๒) จิตสัญชาตญาณ ที่รับรู้ชีวิตรอบข้างโดยไม่ผ่านประสาทสัมผัสของร่างกาย (ไม่ผ่านหู ตา จมูก ลิ้น และกาย) เป็นการรับรู้แบบ extrasensory perception (ESP) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในระหว่างประสบการณ์ NDE เพราะเมื่อวิญญาณวิเคราะห์ดับลง จิตวิญญาณแสดงตนเต็มที่ตามสัญชาตญาณและเชื่อมเรากับการรับรู้ทางอื่นๆ โดยไม่ต้องผ่านร่างกาย. สภาวะแบบนี้ เกิดขึ้นได้กับคนที่เป็นร่างทรง เมื่อเกิดมีลางสังหรณ์ การรู้ด้วยโทรจิต เป็นต้น. จิตวิญญาณในสถานะนี้ จึงสามารถสำรวจโลกในมิติอื่นๆได้.  ชีวิตของเราในสังคม สมองเราต่างถูกฟอร์แม็ตในกรอบของวัฒนธรรมตั้งแต่เกิด เรามิได้ใช้ศักยภาพของเราอย่างเต็มที่. 
         ผมอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ แต่ยังไม่มีวิชาสอนเรื่องจิตวิญญาณในแผนกจิตศึกษาในมหาวิทยาลัย. ในประชุมเกี่ยวกับจิตเวชศาสตร์ ทุกเรื่องที่ไปเสนอนั้นเป็นเรื่องเดิมๆที่พูดกันมาสามสิบปีก่อน. ไม่มีใครหรืองานวิจัยที่จับประเด็นจิตวิญญาณ, ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับชามานิซึม (shamanism), หรือวิธีการรักษาทางเลือกอื่นๆ. แพทย์ส่วนใหญ่ถอยตัว ออกไปมองเรื่องนี้ห่างๆ. อาจารย์มหาวิทยาลัยขึ้นอยู่กับระบบเหตุผลอย่างแนบแน่น และใช้เหตุผลวิเคราะห์จิตใจ, สร้างเป็นการบำบัดทางจิตใจ, วิเคราะห์สภาพจิต.  มันฟังดูดี แต่เมื่อเกี่ยวกับการบำบัดกายด้วยจิตวิจักษ์ (corporal psychotherapy) ก็ถอยออกไป เพราะไม่มีความรู้พอที่จะรับมือได้. 
        ประสบการณ์ NDE นำทางสู่การสร้างคุณสมบัติดีๆ เช่น ความกล้าหาญ ความเพียร การรู้จักแยกแยะ การไม่ตัดสินใคร รวมทั้งการสำเหนียกว่า การเกิดมาเป็นคน ให้โอกาสมีความสุข ความหวัง ให้ประสบการณ์ทางโลก ทางผัสสะ ทั้งหมดเป็นประสบการณ์เฉพาะเจาะจงในร่างคนที่หาจากโลกมิติอื่นไม่ได้.
         จิตวิญญาณอยู่ในกาย (physical body) อยู่ในระดับความถี่ความสั่นสะเทือนของกาย, ส่วนจิตวิญญาณของผู้ที่มี NDE หรือ OBE, การสังหรณ์ใจ สัญชาตญาณ การมองเห็นอนาคต ฯลฯ อยู่ในโซนความถี่คนละระดับ(เพราะไม่ถูกจำกัดด้วยกาย). ศาสตร์อายุรเวทของอินเดีย ที่สาธยายได้อย่างละเอียดน่าทึ่งยิ่งนัก เป็นศาสตร์เดียวที่ชาติอื่นๆก็เข้าถึงได้ วิเคราะห์วิจัยได้ เช่นชาวรัสเซีย ชาวอินเดียนแดงเป็นต้น. ทุกคนสามารถลับและพัฒนาพลังงานของกาย สู่กายที่ละเอียดกว่าประณีตยิ่งขึ้นๆ. เพราะเมื่อเชื่อว่ามีกายที่เป็นพลังงาน ก็มีความคิดที่จะบันทึกภาพกายพลังงานนั้น ฯลฯ และมีวิวัฒนาการของกล้องถ่ายภาพจาก Kirlian photography ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจถึงขั้นถ่ายภาพวิญญาณออกจากร่างได้ในวินาทีที่สิ้นลม.  ประสบการณ์ NDE ของคนจำนวนมาก น่าจะปักหมุดเป็นฐานได้แล้วว่า จิตวิญญาณมีจริงและเป็นอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับสมองและอยู่ได้หลังการตายของร่างและของสมอง, ตามการยืนยันทางวิทยาศาสตร์แล้ว.
      เดี๋ยวนี้ เรารู้แล้วว่าต้นไม้มีวิญญาณสำนึก มีอารมณ์ความรู้สึก และมันสื่อสารถึงกันและกัน. นี่ยังไม่ต้องพูดถึงสรรพสัตว์ที่มีปัญญาและวิญญาณสำนึก. แม้เซลล์เล็กๆก็มีจิตวิญญาณ หรือมีพฤติกรรมที่บ่งบอกให้รู้ว่ามันมีวิญญาณสำนึก...วิทยาศาสตร์กำลังกู้โลกด้วยการยืนยันว่า สรรพสิ่งเคลื่อนไหว หายใจ แลกเปลี่ยนสื่อสารกัน, ทำให้พูดได้ว่า ขณะนี้เราควรอยู่อย่างรู้คุณค่า และมองชีวิตกับค่าของชีวิต, เห็นความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งกับธรรมชาติ บนโลกหรือในระบบชีวิตระบบอื่นๆ.
         คิดตามนี้ เราไม่พลาดได้ง่ายๆ. โมเดลนี้น่าสนใจมากกว่าและมีศักยภาพเหนือกว่าโมเดลวัตถุนิยม ที่ย้ำพูดว่า ออกนอกวัตถุ ไม่มีอะไร เมื่อตาย ทุกอย่างที่คุณชอบ รัก หายสูญไป, ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย จงกอบโกยความสุขให้มากที่สุดบนโลกแล้วก็จบลง. โมเดลวัตถุนิยมเช่นนี้ เป็นโมเดลที่เห็นแก่ตัว ไม่มีแม้แต่ความรัก หรือความเอื้อเฟื้อแก่กัน ทั้งๆที่มีแบบอย่างให้เห็นในธรรมชาติอย่างหาที่สุดมิได้.
         มคิดว่าอะไรๆกำลังเปลี่ยน โมเดลสังคมกำลังเปลี่ยน มีงานวิจัย องค์กรต่างๆรวมทั้งสื่อมวลชนที่ให้ความสนใจเรื่องจิตวิญญาณหรือวิญญาณสำนึกมากขึ้นๆ.

ประสบการณ์ทั้งของผู้ที่ผ่าน NDE และความเห็นการติดตามศึกษาของแพทย์ทุกท่านที่นำมาเล่านี้ เป็นบทเรียนสอนใจเราได้เป็นอย่างดี. แม้ว่าความเข้าใจในเรื่องนี้ ยังไม่ใช่ทางหลุดพ้นตามแนวพุทธ แต่ความสำคัญที่ชาวตะวันตกเหล่านี้ต้องการเน้น คือการเห็นค่าของชีวิตนี้ทั้งของตัวเองและของผู้อื่น และเตรียมรับชีวิตหน้า ด้วยสติ จิตสว่างและแจ่มใส เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต.
ด้วยความปรารถนาดี
โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์
๓๐ มกราคม ๒๕๖๓.

ข้อมูลสารคดีวีดีทัศน์
En Conscience. Documentaire de Tistrya. September 26, 2016.
สัมภาษณ์ Dr. Jean-Jacques Charbonier
Olivier Chambon : Etats élargis de conscience
Olivier Chambon - Esprits, une autre vision de la vie
Olivier Chambon, Psychiatre sprituel… (article par Guy Rouquet)
Le voyage astral. Oct 3, 2016. Tistrya.

Livres à lire :
Dr. Jean-Jacques Charbonier :
La Médeicne face à l’Au-delà.
Les Preuves scientifiques d’une vie après la vie.
La Conscience intuitive extraneuronales.
Dr. Olivier Chambon : La Médecine psychédélique.
Dr. Silvie Déthiollaz & al., Institut suisse des sciences noétiques – ISSNOE - Noêsis
États modifiés de conscience. 
Voyage aux confins de la conscience. 

No comments:

Post a Comment