จากหูตรงถึงสมอง
มนุษย์และสิ่งมีชีวิต
ทั้งพืชพรรณ สัตว์บก สัตว์น้ำและสัตว์ปีก คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า. สรรพชีวิตจึงไม่เพียงมีกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านไปมาในร่างเท่านั้น
ยังแผ่คลื่นความถี่ออกไปจากร่างด้วย. แต่ละคนจึงเป็นสนามพลังงาน
(สนามแม่เหล็กไฟฟ้า คือสนามพลังงานที่ตามองไม่เห็น มักเรียกพลังงานแบบนี้ว่า radiation การแผ่คลื่นไฟฟ้า)
เมื่อสนามพลังงานสนามหนึ่ง ไปปะทะกับสนามพลังงานอีกสนามหนึ่ง,
สนามที่มีพลังงานเหนือกว่า จะข่มสนามที่มีพลังงานน้อยกว่า ไม่ผิดไปจากปลาใหญ่กินปลาเล็ก.
หากการปะทะหรือการเผชิญระหว่างสนามพลังงานทั้งสอง เกิดต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
สนามที่มีพลังน้อยกว่าย่อมเสื่อม จนอาจสลายหรือถูกกลืนไป.
มนุษย์เป็นมวลไฟฟ้าชีวภาพ (Bioelectricity) (Endnote 1).
คนสร้างสนามพลังงานรอบตัวเรา เป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
ที่ย่อมสะท้อนตอบโต้กับสนามไฟฟ้าอื่นๆที่คนสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี. และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา.
สนามแม่เหล็กไฟฟ้าธรรมชาติของโลกและของสิ่งมีชีวิต ต้องเผชิญกับสนามอื่นๆเหล่านี้
รับมือกับความถี่ทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่มีในธรรมชาติ, ความถี่ที่คนสร้างยังเป็นสนามที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอด้วย.
คิดดูละกันว่า ร่างกายคน สนามไฟฟ้าที่เป็นสนามพลังงานของคน
ถูกรุกเร้าถาโถมไม่ได้หยุด.
งานวิจัยใหม่ๆของนักไมโครชีววิทยา
ระบุหลักการใหม่ในการศึกษาเซลล์ชีวิต ว่าชีวิตของเซลล์ในร่างกาย
ขึ้นอยู่กับศักยภาพในการสร้างและการธำรงมวลไฟฟ้าของมัน ว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด
ดีและนานมากน้อยเพียงใด. เมื่อเซลล์สูญเสียพลังไฟฟ้าไป มันจะแก่เร็ว
ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในตัวลดลง และตายก่อนกำหนดอันควร.
ภาพจาก Institute
of Electrical and Electronic Engineers’ Journal on Microwave Theory and Techniques.
ภาพแสดงการกระจายของคลื่นไฟฟ้าจากโมบายล์โฟนเข้าไปในสมอง
เทียบอัตราการดูดซึมคลื่นของเด็กและผู้ใหญ่ หน่วยวัดพลังคลื่นเป็น W/kg (watts per kilogramme = จำนวนวัตต์ ต่อน้ำหนักตัว)
ภาพผ่าด้านข้างจากหูถึงสมอง
แสดงให้เห็นการแผ่กระจายของคลื่นความถี่ของโทรศัพท์มือถือเข้าไปถึงสมองมากน้อยอย่างไร
ภาพซ้ายสุดสมองของเด็กอายุห้าขวบ ที่มีกะโหลกหนาเพียง ½ มิลลิเมตร, ดูดซึมพลังไฟฟ้าจำนวน
4.49 W/kg
ภาพตรงกลาง สมองของเด็กอายุสิบขวบ กะโหลกหนา 1 มิลลิเมตร, ดูดซึมพลังไฟฟ้าจำนวน
3.21 W/kg
และภาพขวาสุด สมองของผู้ใหญ่ ที่มีกะโหลกศีรษะหนา 2 มิลลิเมตร, ดูดซึมพลังไฟฟ้าจำนวน
2.93 W/kg
ความหนาของกะโหลกศีรษะ เป็นเหมือนฉากกั้นการกระจายคลื่นได้ในระดับหนึ่ง
เหมือนกำแพงหนาๆ เช่นของอาคารตึกระฟ้า ที่คลื่นความถี่ 5G ผ่านเข้าออกลำบาก
จึงต้องเอาอุปกรณ์เซลลูลาร์โมบายล์ 5G
ไปติดอยู่บนดาดฟ้าของอาคาร
หรือเอาเข้าไปติดตั้งภายในอาคารเลย.
วิทยาศาสตร์สอนกันมาว่า สมองคนเป็นตัวผลิตสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย
ดังนั้นการศึกษาตลอดจนการพัฒนาเซลล์โฟนที่ผ่านมา
จึงโฟกัสไปที่ส่วนหัวเป็นหลัก.
นักวิทยาศาสตร์จึงออกแบบให้คนถือเซลล์โฟนไปชิดหัวที่สุด,
เซลล์โฟนยังได้อาศัยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของสมอง ที่เป็นเหมือนส่วนต่อของเสาอากาศด้วย.
(ความฉลาดของคนคิด)
ระบบหู(อวัยวะรับเสียง)ของคน เป็นอวัยวะที่เปราะบางที่สุดของคน และเมื่อคนเอาโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
คลื่นความถี่จากมือถือ จึงผ่านหูตรงเข้าไปถึงสมองเลย.
เครดิตภาพ : Dr. Om Gandhi, University of Utah, 1996,
IEE Publication.
ภาพการกระจายคลื่นไฟฟ้า
ถ่ายในแสงอินฟราเรด
บริเวณสีแดงที่เป็นโซนร้อนจัด
สีเหลืองร้อนน้อยลง ในหัวสมองของเด็กและผู้ใหญ่
ขอให้คิดตามตัวเลขเหล่านี้ให้กระจ่างแก่ใจ คนวิวัฒน์ขึ้นมาในความถี่แม่เหล็กไฟฟ้าธรรมชาติ ที่ห่อหุ้มโลก, ความถี่ของโลกจึงผ่านเข้าออกในสรรพชีวิต.
ทุกชีวิตจึงอยู่มาด้วยความบรรสานสอดคล้องกันอย่างดีบนโลก. คนมีความถี่ไฟฟ้าโดยเฉลี่ยภายในร่างกายที่
7,83 Hz (ที่เรียกว่า Schumann Resonance ที่คือจังหวะการเต้นของหัวใจของโลก,
เป็นความถี่ไฟฟ้าธรรมชาติของโลกและของสรรพชีวิตบนโลก. การมีอยู่ของความถี่นี้
คือความเป็นความตายของสรรพชีวิต ทั้งทางกายภาพและทางจิตอารมณ์)
อุปกรณ์ไร้สายนั้นอยู่ในแถบความถี่ระหว่าง 2.4-5 GHz (กิ๊กก้าเฮิรตซ์).
คลื่นไมโครเวฟ(ในเตาอบ)
ทำงานที่ความถี่ 2.5 GHz. (เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ เป็นเทคโนโลยีไมโครเวฟเพื่อการสื่อสาร
(microwave communication technology ใช้ความถี่วิทยุ-Radio
frequency เดียวกัน (2.5 GHz). ต่อมาเพื่อให้ฟังดูดี และเพื่อเบนความสนใจคนออกไปจากนัยร้อนระอุของเตาอบ
จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า mobile communication
แทน. ง่ายๆสั้นๆ
โทรศัพท์มือถือ คือไมโครเวฟอย่างหนึ่ง.
นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ยืนยันผลร้ายจากเทคโนโลยีไมโครเวฟ
(the athermal effects) มาแล้วหลายสิบปี แต่นักอุตสาหกรรมก็ยังคงทำหูทวนลม).
ส่วนเครือข่าย 5G ที่กำลังมาแรง มีแถบความถี่ระหว่าง 24-90 GHz.
คิดคำนวณดูว่า จากความถี่ธรรมชาติ 7.83 Hz ที่เป็นพื้นฐานชีวิตของคน
คนกำลังจะตกในเครือข่ายความถี่ที่ 90 GHz. มันกี่เท่านะ? นักคำนวณช่วยตอบทีค่ะ.
------------------------------------
Endnote 1 >> สิ่งมีชีวิต
เป็นมวลไฟฟ้าชีวภาพ (Bioelectricity). มวลไฟฟ้าชีวภาพเกิดจากเซลล์
เนื้อเยื่อในร่างกายคน รวมถึงกระแสไฟฟ้าที่ไหลอยู่ในเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ.
ไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายนั้นวัดได้ เช่นเครื่องวัด EEG (Electroencephalogram ที่บันทึกพฤติกรรมไฟฟ้าในสมอง
หรือบันทึกคลื่นสมอง,
ECG (Electrocardiogram) ที่บันทึกพฤติกรรมของไฟฟ้าเมื่อหัวใจเต้นแต่ละครั้ง การเต้นแต่ละครั้ง
ทำให้คลื่นไฟฟ้าเดินทางผ่านทั่วหัวใจ ไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบและปั๊มเลือด.
EMG (Electromyography) ที่วัดคลื่นกล้ามเนื้อและเซลล์ประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ.
คลื่นนี้บอกให้รู้ว่า การส่งสัญญาณระหว่างเซลประสาทกับกล้ามเนื้อปกติหรือมีปัญหาอะไรไหม
และ EDA (Electrodermal
activity หรือที่เรียกกันว่า skin conductance) ที่วัดการเป็นตัวนำไฟฟ้าของผิวหนัง
ที่เกิดจากสิ่งกระตุ้นจากทั้งภายในและภายนอกของร่างกาย.
คลื่นจากสนามแม่เหล็กของสมองและหัวใจคนหนึ่ง
ก็ยังวัดได้แม้คนนั้นอยู่ห่างออกไปหนึ่งเมตร. คนอาจสามารถจับคลื่นแม่เหล็กของหัวใจได้ด้วยเครื่องแม็กเนโตมิเตอร์ที่ละเอียด(magnetometer).
ทั้งหมดนี้
รวมกันเป็นมวลไฟฟ้าชีวภาพ ที่คือร่างกายของคนนั่นเอง
ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงไวต่อไฟฟ้าและไม่ใช่เฉพาะคนที่มีจิตอ่อน หรือหวั่นไหวง่ายเท่านั้น.
อ่านมาถึงตรงนี้ ปิดมือถือซะ อย่างน้อยก็สักพักใหญ่ๆนะคะ.
โชติรส รายงาน
๑๙ มีนาคม ๒๕๖๓.
No comments:
Post a Comment