Thursday, March 19, 2020

From ear to brain

จากหูตรงถึงสมอง
       มนุษย์และสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชพรรณ สัตว์บก สัตว์น้ำและสัตว์ปีก คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า. สรรพชีวิตจึงไม่เพียงมีกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านไปมาในร่างเท่านั้น ยังแผ่คลื่นความถี่ออกไปจากร่างด้วย.  แต่ละคนจึงเป็นสนามพลังงาน (สนามแม่เหล็กไฟฟ้า คือสนามพลังงานที่ตามองไม่เห็น มักเรียกพลังงานแบบนี้ว่า radiation การแผ่คลื่นไฟฟ้า) เมื่อสนามพลังงานสนามหนึ่ง ไปปะทะกับสนามพลังงานอีกสนามหนึ่ง, สนามที่มีพลังงานเหนือกว่า จะข่มสนามที่มีพลังงานน้อยกว่า ไม่ผิดไปจากปลาใหญ่กินปลาเล็ก. หากการปะทะหรือการเผชิญระหว่างสนามพลังงานทั้งสอง เกิดต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน สนามที่มีพลังน้อยกว่าย่อมเสื่อม จนอาจสลายหรือถูกกลืนไป.
        มนุษย์เป็นมวลไฟฟ้าชีวภาพ (Bioelectricity(Endnote 1). คนสร้างสนามพลังงานรอบตัวเรา เป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ย่อมสะท้อนตอบโต้กับสนามไฟฟ้าอื่นๆที่คนสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี.  และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา. สนามแม่เหล็กไฟฟ้าธรรมชาติของโลกและของสิ่งมีชีวิต ต้องเผชิญกับสนามอื่นๆเหล่านี้ รับมือกับความถี่ทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่มีในธรรมชาติ, ความถี่ที่คนสร้างยังเป็นสนามที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอด้วย. คิดดูละกันว่า ร่างกายคน สนามไฟฟ้าที่เป็นสนามพลังงานของคน ถูกรุกเร้าถาโถมไม่ได้หยุด. 
      งานวิจัยใหม่ๆของนักไมโครชีววิทยา ระบุหลักการใหม่ในการศึกษาเซลล์ชีวิต ว่าชีวิตของเซลล์ในร่างกาย ขึ้นอยู่กับศักยภาพในการสร้างและการธำรงมวลไฟฟ้าของมัน ว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด ดีและนานมากน้อยเพียงใด. เมื่อเซลล์สูญเสียพลังไฟฟ้าไป มันจะแก่เร็ว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในตัวลดลง และตายก่อนกำหนดอันควร.

ภาพจาก Institute of Electrical and Electronic Engineers’ Journal on Microwave Theory and Techniques.
ภาพแสดงการกระจายของคลื่นไฟฟ้าจากโมบายล์โฟนเข้าไปในสมอง เทียบอัตราการดูดซึมคลื่นของเด็กและผู้ใหญ่ หน่วยวัดพลังคลื่นเป็น W/kg (watts per kilogramme = จำนวนวัตต์ ต่อน้ำหนักตัว)
ภาพผ่าด้านข้างจากหูถึงสมอง แสดงให้เห็นการแผ่กระจายของคลื่นความถี่ของโทรศัพท์มือถือเข้าไปถึงสมองมากน้อยอย่างไร
ภาพซ้ายสุดสมองของเด็กอายุห้าขวบ ที่มีกะโหลกหนาเพียง ½ มิลลิเมตร, ดูดซึมพลังไฟฟ้าจำนวน 4.49 W/kg
ภาพตรงกลาง สมองของเด็กอายุสิบขวบ กะโหลกหนา 1 มิลลิเมตร, ดูดซึมพลังไฟฟ้าจำนวน 3.21 W/kg
และภาพขวาสุด สมองของผู้ใหญ่ ที่มีกะโหลกศีรษะหนา 2 มิลลิเมตร, ดูดซึมพลังไฟฟ้าจำนวน 2.93 W/kg
     ความหนาของกะโหลกศีรษะ เป็นเหมือนฉากกั้นการกระจายคลื่นได้ในระดับหนึ่ง เหมือนกำแพงหนาๆ เช่นของอาคารตึกระฟ้า ที่คลื่นความถี่ 5G ผ่านเข้าออกลำบาก จึงต้องเอาอุปกรณ์เซลลูลาร์โมบายล์ 5G ไปติดอยู่บนดาดฟ้าของอาคาร หรือเอาเข้าไปติดตั้งภายในอาคารเลย.
     วิทยาศาสตร์สอนกันมาว่า สมองคนเป็นตัวผลิตสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ดังนั้นการศึกษาตลอดจนการพัฒนาเซลล์โฟนที่ผ่านมา จึงโฟกัสไปที่ส่วนหัวเป็นหลัก. นักวิทยาศาสตร์จึงออกแบบให้คนถือเซลล์โฟนไปชิดหัวที่สุด, เซลล์โฟนยังได้อาศัยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของสมอง ที่เป็นเหมือนส่วนต่อของเสาอากาศด้วย. (ความฉลาดของคนคิด)
ระบบหู(อวัยวะรับเสียง)ของคน เป็นอวัยวะที่เปราะบางที่สุดของคน และเมื่อคนเอาโทรศัพท์ขึ้นแนบหู คลื่นความถี่จากมือถือ จึงผ่านหูตรงเข้าไปถึงสมองเลย. 

เครดิตภาพ : Dr. Om Gandhi, University of Utah, 1996, 
IEE Publication.
ภาพการกระจายคลื่นไฟฟ้า ถ่ายในแสงอินฟราเรด
บริเวณสีแดงที่เป็นโซนร้อนจัด สีเหลืองร้อนน้อยลง ในหัวสมองของเด็กและผู้ใหญ่

ภาพนี้เช่นกัน เครื่องวัดความร้อนของศีรษะ ในภาพซ้ายเมื่อไม่ใช้เซลล์โฟน และในภาพขวา หลังจากที่ใช้เซลล์โฟนพูดตอบโต้ 15 นาที. ความร้อนเช่นนี้ ก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ. 
   
       ขอให้คิดตามตัวเลขเหล่านี้ให้กระจ่างแก่ใจ  คนวิวัฒน์ขึ้นมาในความถี่แม่เหล็กไฟฟ้าธรรมชาติ ที่ห่อหุ้มโลก, ความถี่ของโลกจึงผ่านเข้าออกในสรรพชีวิต. ทุกชีวิตจึงอยู่มาด้วยความบรรสานสอดคล้องกันอย่างดีบนโลก. คนมีความถี่ไฟฟ้าโดยเฉลี่ยภายในร่างกายที่ 7,83 Hz (ที่เรียกว่า Schumann Resonance ที่คือจังหวะการเต้นของหัวใจของโลก, เป็นความถี่ไฟฟ้าธรรมชาติของโลกและของสรรพชีวิตบนโลก. การมีอยู่ของความถี่นี้ คือความเป็นความตายของสรรพชีวิต ทั้งทางกายภาพและทางจิตอารมณ์)
อุปกรณ์ไร้สายนั้นอยู่ในแถบความถี่ระหว่าง 2.4-5 GHz (กิ๊กก้าเฮิรตซ์).
คลื่นไมโครเวฟ(ในเตาอบ) ทำงานที่ความถี่ 2.5 GHz. (เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ เป็นเทคโนโลยีไมโครเวฟเพื่อการสื่อสาร (microwave communication technology ใช้ความถี่วิทยุ-Radio frequency เดียวกัน (2.5 GHz). ต่อมาเพื่อให้ฟังดูดี และเพื่อเบนความสนใจคนออกไปจากนัยร้อนระอุของเตาอบ จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า mobile communication แทน. ง่ายๆสั้นๆ โทรศัพท์มือถือ คือไมโครเวฟอย่างหนึ่ง. นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ยืนยันผลร้ายจากเทคโนโลยีไมโครเวฟ (the athermal effects) มาแล้วหลายสิบปี แต่นักอุตสาหกรรมก็ยังคงทำหูทวนลม). 
ส่วนเครือข่าย 5G ที่กำลังมาแรง  มีแถบความถี่ระหว่าง 24-90 GHz.
คิดคำนวณดูว่า จากความถี่ธรรมชาติ 7.83 Hz ที่เป็นพื้นฐานชีวิตของคน  คนกำลังจะตกในเครือข่ายความถี่ที่ 90 GHz.  มันกี่เท่านะ? นักคำนวณช่วยตอบทีค่ะ.
------------------------------------
Endnote 1 >> สิ่งมีชีวิต เป็นมวลไฟฟ้าชีวภาพ (Bioelectricity). มวลไฟฟ้าชีวภาพเกิดจากเซลล์ เนื้อเยื่อในร่างกายคน รวมถึงกระแสไฟฟ้าที่ไหลอยู่ในเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ. ไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายนั้นวัดได้ เช่นเครื่องวัด EEG (Electroencephalogram ที่บันทึกพฤติกรรมไฟฟ้าในสมอง หรือบันทึกคลื่นสมอง,
ECG (Electrocardiogram) ที่บันทึกพฤติกรรมของไฟฟ้าเมื่อหัวใจเต้นแต่ละครั้ง การเต้นแต่ละครั้ง ทำให้คลื่นไฟฟ้าเดินทางผ่านทั่วหัวใจ ไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบและปั๊มเลือด.
EMG (Electromyography) ที่วัดคลื่นกล้ามเนื้อและเซลล์ประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ. คลื่นนี้บอกให้รู้ว่า การส่งสัญญาณระหว่างเซลประสาทกับกล้ามเนื้อปกติหรือมีปัญหาอะไรไหม
และ EDA (Electrodermal activity หรือที่เรียกกันว่า skin conductance) ที่วัดการเป็นตัวนำไฟฟ้าของผิวหนัง ที่เกิดจากสิ่งกระตุ้นจากทั้งภายในและภายนอกของร่างกาย.
คลื่นจากสนามแม่เหล็กของสมองและหัวใจคนหนึ่ง ก็ยังวัดได้แม้คนนั้นอยู่ห่างออกไปหนึ่งเมตร. คนอาจสามารถจับคลื่นแม่เหล็กของหัวใจได้ด้วยเครื่องแม็กเนโตมิเตอร์ที่ละเอียด(magnetometer).
ทั้งหมดนี้ รวมกันเป็นมวลไฟฟ้าชีวภาพ ที่คือร่างกายของคนนั่นเอง ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงไวต่อไฟฟ้าและไม่ใช่เฉพาะคนที่มีจิตอ่อน หรือหวั่นไหวง่ายเท่านั้น. 

อ่านมาถึงตรงนี้ ปิดมือถือซะ อย่างน้อยก็สักพักใหญ่ๆนะคะ. 

โชติรส รายงาน
๑๙ มีนาคม ๒๕๖๓.

No comments:

Post a Comment