Friday, March 20, 2020

Beware of 5G

ห้าสิบหกสิบปีมานี้ มนุษยชาติลอยตัวอยู่ในมหาสมุทรคลื่นไฟฟ้าที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น. คลื่นไฟฟ้าเหล่านี้ล้อมรอบตัวเรา แทรกไปในทุกอณูของอากาศ กดทับหรือปั่นหรือกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าธรรมชาติของโลกไปเสียสิ้น. ตาคนมองไม่เห็นพลังไฟฟ้าสังเคราะห์เหล่านี้ โลกดูเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ในระดับเซลล์ เกิดการเปลี่ยนแปลงมหันต์. ผลกระทบจากคลื่นไฟฟ้าสังเคราะห์ดังกล่าว มนุษย์เพิ่งเริ่มเข้าใจและรู้สึก.
สนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) คืออะไร
คือพื้นที่พลังงานที่ตาคนมองไม่เห็น มักอ้างถึงในนามว่า radiation หรือการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า. พฤติกรรมของพลังงานไฟฟ้า เกิดขึ้นรอบตัวเราตลอดเวลา จากต้นตอธรรมชาติหรือจากต้นตอที่มนุษย์สร้างขึ้น.
สนามแม่เหล็กไฟฟ้า แยกออกเป็นสองกลุ่มตามความถี่ของสนาม.  สนามหนึ่งมีการแผ่กระจายคลื่นไฟฟ้าที่เรียกว่า ionizing radiation และอีกสนามหนึ่งมีการแผ่กระจายคลื่นไฟฟ้าที่เรียกว่า non-ionizing radiation. ดูภาพประกอบข้างล่างนี้ 
แถบสเป็กตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า จากความถี่ที่ 0 Hz (เฮิรตซ์, หน่วยวัดความถี่จำนวนรอบต่อวินาที) ทางซ้ายของภาพไปจนถึงความถี่สูงๆที่ 3000 Hz ของรังสีแกมมา หรือขยะกัมมันตรังสี สุดภาพทางขวา. เรียงตามลำดับจากซ้ายไปขวา ภาพประกอบของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เราคุ้นเคย จากเสาไฟฟ้าที่มีความถี่ต่ำมากที่คนสร้างขึ้นเพื่อส่งไฟฟ้าไปตามเสาไฟฟ้าที่กระจายไปทั่วพื้นที่ (เป็นเสาไฟฟ้าความถี่ต่ำมาก หรือ ELF = extremely low frequency ยังมีคลื่น VLF หรือ very low frequency เป็นความถี่ของคลื่นวิทยุสื่อสารทางทะเลเพราะคลื่น VLF ทะลุน้ำทะเลได้ถึง 40เมตร ส่วนใหญ่จึงใช้ในอุปกรณ์การสื่อสารทางทหารกับเรือดำน้ำ // คลื่นวิทยุ(ที่เป็นคลื่นสั้น)ใช้กับเครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์ // คลื่นไมโครเวฟ(ที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์ไร้สายต่างๆ รวมทั้งเตาอบไมโครเวฟในครัวเรือน) // รังสีอินฟราเรด (infrared radiation) // แสงที่มองเห็นด้วยตาเปล่า เช่นแสงหลอดไฟ, แสงแดด // รังสีอุลตราไวโอเล็ต เช่นที่ใช้ในเตียงอบตัวให้ผิวสีแทน // รังสีเอ็กสเรย์, และสารกัมมันตรังสี (ที่เมื่อสลายตัวลงมีสามชนิดคือ รังสีแอลฟา, รังสีเบตาและรังสีแกมมา).
ตัวอย่างอุปกรณ์ที่มีคลื่นความถี่ต่ำจากซ้ายไปจนถึงราวกึ่งกลางของรังสีอุลตราไวโอเล็ต สร้างสนามไฟฟ้าแบบ non-ionizing radiation และจากกึ่งกลางของรังสีอุลตราไวโอเล็ตไปจนถึงรังสีแกมม่า เป็นสนามไฟฟ้าแบบ ionizing radiation (ดูคำอธิบายต่อไปข้างล่างนี้)ภาพจากเว็บเพจนี้

    ในสเป็กตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(ดังภาพข้างบน) การแผ่คลื่นความถี่ไฟฟ้ามีสองแบบ แบบหนึ่งคือ ionizing radiation เพราะเป็นคลื่นที่มีความถี่สูงมาก เช่น รังสีเอ็กสเรย์ ที่ตาคนมองไม่เห็น มันเดินทะลุมวลสารทั้งหลาย เข้าถึงอะตอมและโมเลกุลของสสาร ทำให้อิเล็กตรอนแตกแยกออกจากอะตอมและโมเลกุลของสสารนั้น ที่รวมถึงอากาศ น้ำและเนื้อเยื่อที่มีชีวิต.  เมื่อคลื่นไฟฟ้าแบบนี้เข้าสู่ร่างกาย มันจึงทำให้โมเลกุลในเซลล์ของร่างกายเปลี่ยนไป จนอาจทำให้เซลล์ร่างกายกลายเป็นเซลล์ร้ายเช่นมะเร็งได้. การอยู่ในคลื่นความถี่แบบนี้แม้เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว  คลื่นความถี่แบบนี้ทำลายผิวหนังหรือเนื้อเยื่อ (instant thermal effects)
      ส่วนคลื่นไฟฟ้าอีกแบบหนึ่ง เป็นแบบ non-ionizing radiation คลื่นไฟฟ้าแบบนี้ไม่อาจไปตีอะตอมหรือโมเลกุลให้แตกและแยกอิเล็กตรอนออกมาได้. คลื่นความถี่ต่ำแบบนี้ทำให้เกิดความร้อนสูง ที่เอาไปใช้ในระบบเตาอบไมโครเวฟ ใช้ความร้อนอุ่นน้ำที่มีในอาหาร ทำให้อาหารร้อนในเวลาอันรวดเร็ว. คลื่นไฟฟ้าแบบนี้จึงอาจก่อให้เกิดความร้อนสูงมาก เช่นความร้อนในเตาอบไมโครเวฟ, แสงอินฟราเรดที่ใช้ในตะเกียงความร้อน (heat lamp), แสงอุลตราไวโอเล็ตจากแสงแดด หรือเครื่องอบตัวให้ผิวสีแทน. เราอยู่กับการแผ่คลื่นไฟฟ้าแบบนี้ในชีวิตประจำวัน. การอยู่ในคลื่นไฟฟ้าแบบนี้เป็นระยะเวลานาน ก็ทำให้เนื้อเยื่อเสื่อม. (Ref. อ่านรายละเอียดได้ที่นี่).
        ทุกอย่างที่เป็นไฟฟ้า ตั้งแต่สายไฟที่เก็บซ่อนภายในกำแพงหรือเครื่องใช้ในครัวเรือน จนถึงอุปกรณ์ขนาดใหญ่ตามโรงงานอุตสาหกรรม ทุกอย่างแผ่คลื่นไฟฟ้าในแบบ non-ionizing radiation. อากาศรอบตัวเราเต็มไปด้วยพลังงานวิทยุ โทรทัศน์ หรือไมโครเวฟ ที่ตาคนมองไม่เห็น. มีมลพิษแม่เหล็กไฟฟ้า เกิดขึ้นตลอดเวลาโดยที่คนไม่รู้ตัว. การอยู่ในคลื่นไฟฟ้าแบบนี้นานวันเข้า เป็นอันตรายถึงชีวิต. อันตรายที่เห็นได้จากจำนวนคนป่วยด้วยโรคมะเร็งและลูคีเมีย ในหมู่คนที่อาศัยอยู่ใกล้เสาวิทยุและเสาโทรทัศน์, ใกล้เสาเซลล์โฟน, ใกล้สถานีจ่ายไฟฟ้าสถานีย่อยหรือใกล้เครือข่ายสายไฟฟ้าแรงสูง. เสาทั้งหลายเหล่านี้ แผ่คลื่นไฟฟ้าแบบ non-ionizing radiation ที่ไม่มีต้นตอเกี่ยวกับความร้อน (non-thermal  เช่นเสาไฟฟ้า ไม่ร้อน คลื่นไฟฟ้าไม่ได้เกิดจากความร้อนของไฟฟ้า). โทรศัพท์มือถือเป็นแหล่งไฟฟ้า non-thermal ก็จริง แต่ผู้ใช้มือถือตลอดเวลา ต่างรู้สึกร้อนบริเวณศีรษะด้านหูที่ฟังขณะตอบโต้ด้วยมือถือ. ความร้อนที่เกิดขึ้นตรวจสอบได้ชัดเจนด้วยภาพถ่ายอินฟราเรด.
     ผลสะสมจากการใช้มือถือบ่อยๆในชีวิตประจำวันและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลร้ายต่อสุขภาพอย่างชัดเจน ยืนยันได้จากกรณีศึกษาและงานวิจัยพันๆรายจากนักวิทยาศาตร์ผู้วิจัยเรื่องนี้  และโดยเฉพาะในรายงานหลักจากนักวิทยาศาสตร์ผู้เป็นที่ยอมรับนับถือกันในระดับโลก 13 คน จากกรณีศึกษา 2000 กรณี (รายงานชื่อ Bio-initiative Report, cf. http://www.bioinitiative.org). ผลกระทบจากการแผ่คลื่นไฟฟ้าแบบ non-thermal effects เห็นได้ในความผิดปกติด้านจิตเวชและโรคซึมเศร้า. สารเคมี(บางคนเรียกว่าฮอร์โมน) ตัวที่รับผิดชอบสุขภาวะ อารมณ์ยินดีเบิกบานใจ (serotonin) และการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ลดลงอย่างมาก. เมลาโทนินคือตำรวจปกป้องร่างกาย, โดยเฉพาะเมื่อเกิดเซลล์มะเร็งในร่างกาย. (Endnote)
    สนามแม่เหล็กของโลกส่ายไปมาระหว่างพื้นผิวโลกกับท้องฟ้าชั้น ionosphere ที่ความถี่ 7,83 Hz (เรียกความถี่ธรรมชาติของโลกว่า Schumann Resonance). การส่ายนี้สะท้อนเชื่อมโยงไปกับคลื่นสมอง (ที่เรียกกันว่า คลื่นอัลฟา alfa waves) ที่เห็นได้ชัดจากเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าในสมอง (Electroencephalogram หรือ  EEG). การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปกรณ์ที่คนสร้างขึ้นในชีวิตประจำวัน, ในที่ทำงาน, และในสภาพแวดล้อมอื่นๆ ทำให้คลื่นความถี่ธรรมชาติของโลก หยุดชะงัก คลื่นสมองก็พลอยหยุดไปด้วย. เหตุอื่นๆที่ทำให้คลื่น Schumann Resonance หยุดชะงัก เช่นการแผ่รังสีคอสมิค(ในจักรวาล) หรือเมื่อเกิดฟ้าแลบ. 
        คลื่นความถี่วิทยุและคลื่นไมโครเวฟในอากาศปัจจุบัน อยู่สูงกว่าระดับคลื่นความถี่ธรรมชาติที่โลกและคนเคยอยู่มาตลอดร้อยปีให้หลังถึงล้านล้านเท่า. (Dr. Devra Devis Book “Disconnect”, pp.21). การวิจัยเกี่ยวกับผึ้งอเมริกันสี่สายพันธุ์ (honey bees) ที่ลดจำนวนลงไปถึง 98%.  นกและสัตว์ที่อพยพตามฤดูกาล ต่างต้องอาศัยคลื่นไฟฟ้าธรรมชาติในสนามแม่เหล็กโลก ที่บอกทิศทางนำพวกมันไปสู่ดินแดนที่มันต้องอพยพไป แต่บัดนี้ประสาทการรับรู้ทิศทางของนกหลายชนิดเสื่อมลง. นกจำนวนประมาณ 190 สายพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในไม่ช้านี้. ต้นไม้ใหญ่ตายลงๆ เพราะมีเสาโทรศัพท์หรือสถานีเรดาร์ไปตั้งใกล้ๆมัน ฯลฯ  ทั้งหมดเป็นผลจากความถี่ที่คนสร้างขึ้น (man-made frequencies) และที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาด้วยเทคโนโลยีสารพัดชนิดและโดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิตอลไร้สาย.  แต่นี่ก็ยังไม่เพียงพอไปปลุกจิตสำนึกของผู้รับผิดชอบของเครือข่ายโทรคมนาคม ที่เกี่ยวพันทั้งทางธุรกิจการค้าและการเมือง เพราะเป็นระบบอุตสาหกรรมที่ทำรายได้มหาศาล จึงมองข้ามผลกระทบต่อชีวิตและสุขอนามัยของประชาชนในระยะยาว.
ผลกระทบจากคลื่นไมโครเวฟ
ร่างกายคนวิวัฒน์ขึ้นมาตลอดระยะเวลาล้านๆปีในความถี่ระหว่าง 7-13 รอบต่อวินาที  ที่เป็นความถี่พื้นฐานและธรรมชาติ เรียกกันในนามว่า Schumann Resonance. ความถี่นี้เปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะภูมิประเทศ ความสูงต่ำของพื้นที่ โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 7.83 Hz. เครือข่าย 5G นั้นทำงานในความถี่ระหว่าง 24-90 GHz (เพื่อให้ส่งคลื่นข้อมูลได้เป็นปริมาณมากในความเร็วสูงแบบเรียลไทมได้)  แต่ระยะทางนั้นเป็นข้อจำกัด เพราะเป็นคลื่นสั้นขนาดมิลลิเมตร เช่นนี้ ทำให้ต้องเพิ่มเสาโทรศัพท์อีกจำนวนมากจากเสาโทรศัพท์ของ 4G ที่มีอยู่แล้วเพื่อรับและส่งสัญญาณ 5G ออกไปให้ได้ไกลที่สุดที่จะไปได้. ต้องติดตั้งเสาส่งและรับคลื่นติดๆกันไป แทบจะทุก 100-200 เมตรในชุมชนนอกเมือง และเกือบทุก 50 เมตรในเมืองที่ประชาชนอยู่หนาแน่นเท่ากับว่า ไม่ว่าจะไปที่ใด คนจะอยู่ในคลื่นความถี่ของ 5G ตลอดเวลา. ยังมีโครงการส่งดาวเทียมหมื่นๆดวงขึ้นไปโคจรในชั้นท้องฟ้าชั้น Ionosphere (ที่เป็นสนามประลองกำลังของคลื่นไฟฟ้าต่างๆ โดยเฉพาะคลื่นวิทยุหรือคลื่นสั้น คลื่นมือถืออยู่ในจำพวกนี้) เพื่อเป็นสถานีส่งกระจายความถี่ 5G แผ่ไปทุกกระเบียดนิ้วบนพื้นผิวโลก. เสาโทรศัพท์จะขึ้นเต็มทั่วไป เข้าไปในตึกระฟ้า หรือขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าอาคารสูงๆทั่วไปในโลก. อุตสาหกรรมเครือข่ายไร้สาย มิใช่แค่โครงสร้างเสริมเพื่อการให้เชื่อมต่อเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่มันคือการติดตั้งคลื่นไมโครเวฟไปทั่วโลกนั่นเอง.
ตัวอย่างเสาโทรศัพท์ที่จะเห็นทั่วไปบนหลังคาบ้านพักอาศัย
https://www.xiaomist.com/2019/01/the-mp-asks-about-biological-impact-of.html 

      น้ำเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าที่ดี เราไม่ลืมว่า 99% ของโมเลกุลในร่างกาย คือโมเลกุลน้ำ. การแผ่คลื่นไฟฟ้าไมโครเวฟ ทำให้มวลน้ำในกายคนปั่นป่วน. เป็นความหายนะในระดับนิวเคลียส์ สำหรับสมอง เลือดและต่อมทั้งหลายเป็นที่มีน้ำปนอยู่มาก และนำไปสู่มะเร็งในต่อม ลูคีเมีย เนื้องอกในสมองเป็นต้น. นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงตัวอ่อนที่ห้อมล้อมไปด้วยน้ำในครรภ์มารดา. 
       ร่างกายคนรวมทั้งผิวหนังเป็นเสาอากาศที่มีปฏิกิริยาตอบโต้กับคลื่นความถี่, รับกับส่งถ่ายข้อมูล รวมถึงข้อมูลดีเอ็นเอ.  ลองคิดดูละกัน พลังการแพร่คลื่นไฟฟ้านั้นรุนแรงเป็นล้านล้านเท่า เป็นแหถี่ครอบคลุมสิ่งมีชีวิตทั้งมวล กลบและทำลายคลื่นความถี่ธรรมชาติของโลกไปเสียสิ้น. อันตรายจากคลื่นเหล่านี้ต่อคน จึงเป็นสิ่งที่คนหนีไม่พ้น.
       คลื่นความถี่ของ 5G เป็นคลื่นเดียวกับที่ใช้ในระบบการทหารในกองทัพสหรัฐฯ (US Army Electronic Warfare systems – EW) ในหน่วยปฏิบัติการ Active Denial weapons (AD) ที่ใช้เป็นอาวุธควบคุมพฤติกรรมของฝูงชนและการสลายการชุมนุม. ปฏิกิริยาหนึ่งของอาวุธคลื่นความถี่นี้ คือทำให้ผิวหนังร้อนจัดเหมือนกำลังลุกเป็นไฟ คนนั้นจึงวิ่งหนีออกไปไกลที่สุดจากบริเวณนั้น. ตามทฤษฎีแล้วเครือข่าย 5G ของพลเรือนติดสัญญาณและโปรแกรมที่จะส่งผลแบบเดียวกันได้ จึงเป็นอาวุธควบคุมจิตใจ การตัดสินใจ ในแบบเดียวกับเคยใช้กันในระบบทหารในอดีต. ปฏิบัติการ Active Denial system มีแอ็ปพลิเคชั่นมากมายหลายประเภท ที่รวมถึงการกระตุ้นเร้าอารมณ์ เช่นอารมณ์ก้าวร้าว หรืออารมณ์เฉื่อยอ่อนปวกเปียกเป็นต้น. นี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อเลย แต่ระบบ 5G มีศักยภาพทำให้เกิดพฤติกรรมแบบนี้ได้  คนที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ย่อมนำไปใช้ในแผนก่อการร้ายต่างๆได้.
        อันตรายจากการแผ่คลื่นไฟฟ้าแบบ ionizing radiation (นึกถึงรังสีเอ็กสเรย์เป็นตัวอย่าง) เป็นที่รู้กันดีและยอมรับไปในทุกวงการมานานแล้ว แต่อันตรายจากการแผ่คลื่นไฟฟ้าแบบ non-ionizing radiation (นึกถึงโมบายล์โฟนเป็นตัวอย่าง) รัฐบาลสหรัฐฯสั่งให้ศึกษาวิเคราะห์วิจัยในปี 1968 และแล้วเสร็จในปี 1971.
        มีข้อสรุปที่เป็นประเด็นร้อนคือ « คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกจากเครื่องเรดาร์, โทรทัศน์, ระบบสื่อสารต่างๆ, เตาไมโครเวฟ, ระบบการบริหารจัดการความร้อนในอุตสาหกรรมแบบต่างๆ, อุปกรณ์การแพทย์, และจากต้นตออื่นๆอีกจำนวนมาก, ได้แทรกซึมเข้าในสภาพแวดล้อมสมัยใหม่, ทั้งในวงการพลเรือนและการทหาร... เป็นที่คาดได้ว่า ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า คนจะเข้าสู่ยุคของพลังงานเป็นพิษ เหมือนยุคสารเคมีเป็นพิษที่เราอยู่ในปัจจุบัน... จักเกิดปัญหารุนแรงในสุขอนามัยของมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบทางด้านพันธุกรรม. »  (Ref. EMF Health Report revised January, 2020, by Guy Vantresca)
       เท่ากับว่า สหรัฐฯรู้แล้วตั้งแต่ปี 1971 ว่า ระบบโทรคมนาคมและการสื่อสารสมัยใหม่ โดยเฉพาะที่เจาาะประเด็นโทรศัพท์ไร้สายที่เราสนใจ ว่า มลพิษของคลื่นพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในโทรศัพท์โมบายล์นั้น ส่งผลร้ายต่อระบบนิเวศและสุขอนามัยของคน. แม้จะรู้เช่นนั้น ก็มิได้มีนโยบายกำหนดหรือจำกัดการพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายแต่อย่างไร. หน่วยวิจัยเรื่องนี้ ถูกยุบไปและถูกย้ายไปเข้าสังกัดของกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ที่ไม่มีนโยบายต่อต้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคและเทเลคอม เพราะผลประโยชน์มหาศาลนั่นเอง โดยมุ่งเน้นความเร็ว ประสิทธิภาพ และแอ็ปพลิเคชั่นสารพัดสารพันชนิดในสังคมปัจจุบัน.
        ตลอดห้าสิบปีหลังจากปีที่ทำรายงานฉบับนั้น มีนักวิทยาศาสตร์จากหลายชาติ ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยต่อเนื่องกันมา แต่ก็สู้บริษัทเครือข่ายโมบายล์โฟนยักษ์ใหญ่ทั้งหลายไม่ได้.  มีองค์กรต่างๆพยายามให้ความรู้เกี่ยวกับภัยของโทรศัพท์มือถือรุ่นต่างๆและรุ่นท้ายสุดคือเครือข่าย 5G ที่กำลังมาแรง.
       มิถุนายน 2011, องค์กรวิจัยเกี่ยวกับมะเร็ง (the International Agency for Research on Cancer หรือ IARC) ที่เป็นองค์กรหนึ่งภายในองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกรายงานเตือนว่าการแผ่คลื่นไฟฟ้าจากโมบายล์โฟนและอุปกรณ์รวมเครือข่ายไร้สายทั้งหลาย เป็นตัวก่อมะเร็งได้. (เมื่อไม่นานมานี้ กรมอนามัยโลก กลับประกาศว่าไม่จำกัดการใช้ 5G ให้อยู่ในวิจารณญาณของแต่ละชาติ. จนมีคนพูดว่า WHO ก็ถูกซื้อและซื้อได้เหมือนกัน)
     กันยายนปี 2017 นักวิทยาศาสตร์ 180 คน และแพทย์จาก 35 ประเทศ ได้ลงชื่อแนะนำให้ระงับเครือข่าย 5G จนกว่าจะได้ทำการตรวจสอบและพิสูจน์อย่างถ่องแท้จากนักวิทยาศาสตร์อิสระที่ไม่ขึ้นกับอุตสาหกรรม 5G ใดๆ ว่า เครือข่ายโทรคมนาคมและการสื่อสาร 5G จะไม่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพและระบบนิเวศ, ว่า 5G จะไม่เพิ่มสนามคลื่นความถี่วิทยุ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (RF-EMF) เพิ่มขึ้นจากระบบ 2G, 3G, 4G และระบบไร้สายอื่นๆที่มีอยู่แล้ว. อีกทั้งเตือนให้ตระหนักว่า เทคโนโลยี 4G โดยทั่วไป ยังเอามาใช้เพียงหนึ่งในสามของศักยภาพของมัน. (Ref. Scientist-5G-appeal-2017.pdf).  
     ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศฉบับปี 2017  นักวิทยาศาสตร์จำนวน 230 คน จาก 41 ประเทศ ต่างได้พิสูจน์และยืนยันอันตรายใหญ่หลวงแล้ว ว่า RF-EMF เป็นอันตรายต่อคนและสิ่งแวดล้อม พร้อมหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันให้เห็นจริงว่า EMF หรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ส่งผลกระทบต่อการก่อมะเร็ง, ความเครียดในระดับเซลล์, การเพิ่มขึ้นของจำนวนอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย, ความเสื่อมทางพันธุกรรม, การเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงโครงสร้างและฟังก์ชั่นในระบบสืบพันธุ์, ความเสื่อมของสมองในการรับรู้ การเรียนและความทรงจำ, ความวิปริตในระบบประสาท, และผลร้ายอื่นๆต่อสุขอนามัยโดยรวมของคน. นี่ยังมิได้เจาะจงเกี่ยวกับผลกระทบอย่างมหันต์ต่อพืชพรรณและสัตว์บนโลก.
โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวในมือของแต่ละคน คือการเปิดให้เจ้าของเครือข่ายไร้สาย เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวในชีวิตประจำวัน แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือการเปิดให้ “เขา” ควบคุมพฤติกรรมของแต่ละคนได้อย่างง่ายดาย เพราะเพียงแต่เลือกคลื่นที่เจาะจงส่งไปถึงส่วนของสมองคนที่เขาต้องการกระทบเพื่อให้ได้ผลตามที่เขาต้องการ ก็สั่งการคนนั้นได้โดยที่คนไม่รู้ตัว. เราไม่ลืมว่า มนุษย์คือมวลไฟฟ้าชีวภาพดังได้อธิบายมาข้างต้น. ตัวอย่างในภาพข้างบนนี้ คลื่นไฟฟ้าของสมองส่วนต่างๆ เช่น ศูนย์ควบคุม Cortex ส่วนกลางอยู่ที่ 10 Hz, auditory cortex (ระบบการฟัง) อยู่ที่ 15 Hz, visual cortex (ระบบการมองเห็น) อยู่ที่ 25 Hz, somatosensory (ส่วนของสมองที่รับรู้ข้อมูลจากประสาทสัมผัสทั้งหลายทั่วร่างกาย) อยู่ที่ 9 Hz, thought center (ส่วนของสมองที่ตั้งของการคิดวิเคราะห์) อยู่ที่ 20 Hz.
      William Binney ผู้อำนวยการด้านเทคนิคของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (USA) ยอมรับว่า ร่องรอยอีเล็กทรอนิคจากการใช้ของทุกคนถูกเก็บเข้าแฟ้มของสำนักงานฯ. สหรัฐฯได้สร้างศูนย์เก็บข้อมูลที่รัฐ Utah ด้วยเงิน 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ศูนย์นี้มีขนาดใหญ่เท่าสนามฟุตบอล 17 สนาม. เขายังให้หลักฐานยืนยันว่า สำนักงาน NSA (National Security Agency หรือสำนักงานความมั่นคงของชาติ) ตั้งใจจะใช้อินเตอเน็ตอย่างเต็มประสิทธิภาพ ใต้การควบคุมของสำนักงานฯ. จุดมุ่งหมายคือสร้างความพร้อมเพื่อเข้าไปแทรกแซงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่างๆได้ทุกเมื่อ รวมทั้งความพร้อมที่จะปิดโรงงานไฟฟ้านิวเคลีย, สืบความลับด้านเศรษฐกิจของบริษัทยักษ์ใหญ่, ปิดโรงงานจ่ายไฟฟ้าและทำให้โรงพยาบาลทุกแห่งเป็นอัมพาต. 5G คืออาวุธการเมือง. จีนก็พัฒนา Huawei 5G ขึ้นใช้ในแบบเดียวกัน และยังประมูลชนะบริษัทยักษ์ใหญ่อเมริกันในหลายประเทศด้วย. ศึก 5G ได้เริ่มขึ้นแล้ว (ชะลอลงไปบ้างเพราะโควิด19).

อุปกรณ์ไฟฟ้าในชีวิตประจำวันที่เกือบทุกคนมีใช้ ดูคลื่นไฟฟ้าของแต่ละชนิดให้ประจักษ์. ข้อมูลด้านขวาเกี่ยวกับต่อมและเซลล์ในอวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย ขั้นตอนการสร้างฮอร์โมน androgens และฮอร์โมน testosterone ไปถึงนิวเคลียส์ของสเปิร์ม. เครดิตภาพ : Radiations and male fertility  

ภาพแสดงผลกระทบของการสัมผัสกับสารตะกั่ว ต่อเกือบทุกส่วนของร่างกายคน โดยไม่มีอาการให้เห็น. ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของรัฐ ไม่อาจกำหนดระดับสารตะกั่วที่ปลอดภัยพอในกระแสเลือด (blood lead level) นั่นคือ การอาบหรือแช่ ในรังสีของสารตะกั่ว ไม่ปลอดภัยต่อความสมดุลของเลือดในร่างกายไม่ว่ามากหรือน้อย. สารตะกั่วเป็นองค์ประกอบหนึ่งในเซลล์โฟนชนิดต่างๆ รวมทั้งในแผงวงจร, แบ็ตเตอรีและอุปกรณ์ควบคุมความเสถียรในผลิตภัณฑ์เทอร์โมปลาสติก (PVC หรือ polyvinyl chloride). การสัมผัสสารตะกั่วอาจส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์, ระบบโลหิตและระบประสาท. อีกทั้งยังมีสารอาร์เซนิก (arsenic) ในไมโครชิปของอุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมากรวมถึงโทรศัพท์มือถือด้วย.
      ผลกระทบในเด็ก เช่นต่อสมอง (ความประพฤติผิดปกติ, ไอคิวต่ำ, การฟังบกพร่องหรือหูตึง, ขาดสมรรถนะในการเรียนรู้), ทำลายระบบประสาท, โลหิตจาง, ไตเสื่อม, กระดูกไม่แข็งแรงและกล้ามเนื้อไม่เจริญตามที่ควรจะเป็น.
      ผลกระทบในผู้ใหญ่ เช่นต่อสมอง (ความจำเสื่อม, ขาดสมาธิ, ปวดศีรษะ, ขี้โมโห, เครียด) // หัวใจ (ทำให้ความดันขึ้นสูง) // ไต (ทำงานไม่ปกติ ไตเสื่อม) // บบย่อยอาหาร (ท้องผูก, อาเจียน, เบื่ออาหาร) // ระบบสืบพันธุ์ : เพศชาย > ความต้องการทางเพศลดลงและอัตราตัวอสุจิในน้ำอสุจิลดลง, อสุจิผิดปกติ;  เพศหญิง > แท้งลูกได้ง่าย // ร่างกาย (อ่อนเพลีย, ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ) // ระบบประสาท (ความเสื่อม ที่รวมถึงการชา และการปวดตามปลายนิ้วมือและเท้า). ภาพจากเว็บเพจนี้ 

ภาพสรุปภัยของการอยู่ในคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้า 5G >> ตา (ทำให้เกิดต้อกระจก ต้อหินฯลฯ), ไทรอยด์ (ไอโอดีนที่มีกัมมันตรังสีอาจทำให้ต่อมไทรอยด์เสื่อม), ผิวหนัง (คลื่นไฟฟ้าอาจซึมแทรกเข้าในรูขุมขนทั่วร่างกาย เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งโรคผิวหนัง), กระเพาะอาหาร (เยื่อบุกระเพาะและลำไส้เสื่อม ทำให้กระเพาะหรือลำไส้ตกเลือดและท้องร่วง), ระบบสืบพันธุ์ (อวัยวะสืบพันธุ์เสื่อมลง เช่นรังไข่, ต่อมลูกหมาก และลูกอัณฑะ), การหมุนเวียนของโลหิตในร่างกาย (สูญเสียเม็ดเลือดขาวไปเรื่อยๆ จึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น), ไขกระดูก (ไขกระดูกเสื่อม นำไปสู่โรคลูคีเมียหรือมะเร็งในโลหิต). ภาพจากเว็บเพจนี้ : http://www.premierexhibitions.com/exhibitions/4/4/bodies-exhibition/blog/how-does-radiation-exposure-affect-human-body

         ความถี่ 5G ทำให้สมดุลแม่เหล็กไฟฟ้าของคน เสียไป. ยิ่งวัน คนยิ่งอยู่โดยไม่ใช้มือถือไม่ได้ เหมือนติดยาเสพติดขั้นรุนแรง. คนปล่อยตัวเองให้เทคโนโลยีเป็นผู้เผด็จการชีวิต ครอบงำ กำกับทุกก้าวของชีวิต.
        ไม่มีใครจะหลีกหนีไปจากการแผ่คลื่นไฟฟ้าของ 5G ได้ เพราะจำนวนเครื่องส่งสัญญาณ 5G ที่จักเพิ่มขึ้นนับไม่ถ้วนทั่วไปบนพื้นโลก (ในบ้าน ร้านค้า โรงพยาบาลฯลฯ) เพื่อรองรับสัญญาณเชื่อมต่อ 10-20 ล้านล้านครั้ง ที่เป็นส่วนหนึ่งของอินเตอเน็ตเบ็ดเสร็จของทุกอย่าง (the Internet of Things) เช่นเชื่อมกับตู้เย็น เครื่องซักผ้า กล้องวงจรปิด รถยนต์และรถเมล์ที่ขับเคลื่อนเอง ไปถึงการวินิจฉัยโรค จนถึงการผ่าตัดในโรงพยาบาลด้วยระบบทางไกลแบบเรียลไทม์ข้ามประเทศฯลฯ  ทั้งหมดรวมกันครอบงำมวลชนในสนามคลื่นความถี่วิทยุกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Radiofrequency-Electromagnetic Field) อย่างไม่มีทางหนีพ้น. รัฐบาลที่แฝงตัวภายใต้เทคโนโลยีแบบนี้ มิได้กังวลถึงการปกป้องธรรมชาติ ระบบนิเวศหรือสุขอนามัยของคนเลย.
       เราทุกคนอยู่ในคุกเดียวกัน เป็นคุกดิจิตอลที่เราเดินเข้าไปเอง  ใครจะตัดใจปิดมือถือ ปิดระบบ wi-fi ทั้งหลายได้นานมากน้อยแค่ไหน... 

ประเด็นหลักของชีววิทยา เจาะจงกันมาว่า ยีนเป็นตัวกำหนดสุขภาพ เชื้อโรค การมีอายุยืนนานหรือไม่, สนาม epigenetics (epi มาจากคำกรีกแปลว่า on top of ในความหมายว่า “สิ่งที่เพิ่มเข้าไป” ในระบบดีเอ็นเอ. คำนี้หมายถึง การศึกษาปรากฏการณ์ในดีเอ็นเอ ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยที่โครงสร้างดีเอ็นเอยังคงเดิม. สาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบ epigenetics ที่การแพทย์ยืนยันกันแล้วเช่น อาหารการกิน, ความอ้วนฉุ, พฤติกรรมทางกายภาค, การสูบบุหรี่, การดื่มแอลกอฮอล, มลพิษจากสภาวะแวดล้อม, ความเครียดทางจิตเวช, การทำงานภาคค่ำเป็นต้น. การเข้าถึงระบบ epigenetics ของคน ช่วยให้เข้าใจว่าอะไรทำให้เกิดเชื้อโรค หาวิธีแก้และปกป้องมิให้เกิดขึ้นใหม่). เมื่อเป็นเช่นนี้ วิทยาศาสตร์จึงประกาศชัดเจนว่า ระบบดีเอ็นเอของเรานั้น เป็นเพียงแผ่นพิมพ์เขียว (a blueprint) หาได้เป็นตัวผู้สร้างและไม่ใช่เป็นตัวกำหนดตัวสุดท้ายเกี่ยวกับความสุขสบายของคน.
แท้ที่จริงการเลือกใช้ชีวิตแบบต่างๆของคน สภาพแวดล้อม และอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดของคน คือตัวชี้ขาดการมีสุขภาพดีหรือไม่ และการมีอายุยืนหรือสั้นของแต่ละคน.

โชติรส รายงาน
๒๐ มีนาคม ๒๕๖๓.
--------------------------
Endnote >>
เมลาโทนิน (melatonin) เป็นฮอร์โมนที่ควบคุมวงจรการนอนการตื่นในแต่ละวัน หรือ sleep-wake cycles เกิดจากต่อมไพเนียล. ความมืดทำให้ต่อมไพเนียลผลิตเมลาโทนินมากขึ้นและส่งเข้าไปในเลือด เพื่อเตรียมร่างกายให้หลับ, แสงสว่างทำให้การผลิตเมลาโทนินลดลงและส่งสัญญาณให้ร่างกายเตรียมตัวตื่น. ฮอร์โมนเมลาโทนินยังมีบทบาทปกป้องสารแอนตี้ออกซิเดนต์ในร่างกาย และช่วยควบคุมความดันโลหิต อุณหภูมิของร่างกายและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล รวมถึงฟังชั่นทางเพศและภูมิคุ้มกันในร่างกายด้วย. หากระดับเมลาโทนินลดลง เป็นสัญญาณเตือนภัยเสี่ยงจากมะเร็ง.
(ฮอร์โมนcortisol ที่เป็นฮอร์โมนสเตรอยด์ชนิดหนึ่ง มักเรียกว่า ฮอร์โมนความเครียด ที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วและความดันโลหิตสูงขึ้น. ฮอร์โมนคอร์ติซอลช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ระบบเมตาบอลิซึม-metabolism หรือช่วยลดการอักเสบเป็นต้น)
เซโรโทนิน (serotonin) เป็นสารเคมีที่มีหน้าที่หลายอย่างในกายคน บางทีเรียกกันว่า เป็นสารเคมีของความสุข เพราะมันมีส่วนสร้างความสุขกายสบายใจแก่คน. พบเซโรโทนินมากในสมอง ลำไส้ และในเกล็ดเลือด. เซโรโทนินทำหน้าที่ส่งสารระหว่างเซลล์ประสาท. เชื่อกันว่าเป็นตัวผลักดันชีวิต มีบทบาทในการกระตุ้นความอยากอาหาร อารมณ์ความรู้สึก ความรัก เพศ ความจำและฟังชั่นอัตโนมัติอื่นๆ. และเป็นตัวประสานการทำงานในระบบประสาท. ในส่วนที่เกี่ยวกับการนอนโดยเฉพาะ เมลาโทนินช่วยให้นอนหลับ ส่วนเซโรโทนิน ช่วยให้ตื่นขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่า. เมื่อเซโรโทนินลดลง เมลาโทนินก็ลดลงด้วย (มีผลงานวิจัยทางคลีนิคยืนยัน).

No comments:

Post a Comment