Saturday, December 14, 2019

Laugh more

หัวเราะต้านโรค 
        ร่างกายมีปัญญาสร้างสุขด้วยกระบวนการหัวเราะ. หัวเราะเป็นธรรมชาติของคนทุกเพศทุกวัย ไม่มีพรมแดนเรื่องภาษาหรือวัฒนธรรม.  การที่คนหรือสัตว์รู้จักหัวเราะ เป็นพฤติกรรมที่ติดมากับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลก และมิได้เลือนหายไปในช่วงระยะอันยาวนานนั้น ยืนยันว่า การหัวเราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยธำรงชีวิตในความสมดุล หรือจำเป็นเพื่อการอยู่รอด. การวิจัยในห้องปฏิบัติการแพทย์เช่นในออสเตรีย อินเดีย สหรัฐฯ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า หัวเราะทำให้สุขภาพดีขึ้น.

หัวเราะมีบทบาทสำคัญในระบบกล้ามเนื้อ ระบบหายใจ ระบบประสาท ระบบจิตวิทยาของคน.
     ในมุมมองของสรีรศาสตร์ การหัวเราะคือ เร่งลมหายใจ คือการออกกำลังทั้งใบหน้า ทรวงอก ท้อง กล้ามเนื้อสมอง.  เมื่อหัวเราะ กลไกในร่างกาย หลั่งสารเซโรโทนิน (serotonin) ออกมามากกว่าปกติในระบบย่อยอาหารทั้งกระเพาะและลำไส้.
      หัวเราะไปเขย่าหัวใจ เหมือนการจ็อกกิ้งภายใน หรือการเล่นแอโรบิก หัวใจสูบฉีดแรงขึ้น กระบังลมขยาย ความดันภายในเปลี่ยนไป ทำให้การไหลของน้ำเหลืองในช่วงอกเร็วกว่าปกติ 10-15 เท่า, เม็ดเลือดขาวที่คือเซลล์ทหารนักสู้โรคในระบบภูมิคุ้มกันถูกปล่อยออกมาจากต่อมน้ำเหลือง. ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งขึ้น หากป่วยเป็นอะไรก็หายเร็ว.  
       หัวเราะในปริมาณเพียงพอ เทียบได้กับการวิ่งไปร้อยเมตร โดยไม่ทำให้ปวดเมื่อย. ในขณะเดียวกัน ปอดปล่อยอากาศคั่งค้างออกมาจำนวนมาก(สองลิตร) สูบฉีดรับออกซิเจนใหม่ๆเข้าไป กระแสเลือดไหลคล่อง และสมองก็ได้ออกซิเจนใหม่ๆด้วย.
        ส่วนร่างกาย ปล่อยตัวและผ่อนคลาย, ปริมาณฮอร์โมนความเครียดคอร์ติซอล (cortisol ศัตรูหมายเลขหนึ่งของสุขภาพ) ลดลง.  เมื่อร่างกายผ่อนคลาย จังหวะการเต้นหัวใจช้าลง ทำให้เส้นเลือดขยายตัว และความตึงในกระแสเลือดลดลง. ต่อมฮอร์โมนในสมอง และสมองส่วนไฮโปทาลามัส (hypothalamus) หลั่งสารเข้มข้นของเอ็นโดฟิน, สารโดปามิน, และสารฮอร์โมนอื่นๆรวมทั้งสารกรดอะมีโนสำหรับเซลล์ประสาท ทั้งหมดเป็นฮอร์โมนความสุข ที่มาพร้อมกับพลังบวกในระบบหมุนเวียนของกระแสเลือดในหัวใจและหลอดเลือด. การหัวเราะจึงลดความเสี่ยงเกี่ยวกับหัวใจ เช่นระบบหมุนเวียนของโลหิต, การหดตัวของหลอดเลือดเป็นต้น.
       ฮอร์โมนความสุข กระตุ้นความเห็นอกเห็นใจ ความเอื้อเฟื้อ ความร่วมมือต่อกัน, ลดความเครียดลง คือลดอารมณ์ฉุนเฉียว โทสะจริต, จิตใจสงบลง มองชีวิตแง่ดีขึ้น มีความยืดหยุ่น สร้างภาพดีๆให้ตัวเอง แก้ปัญหาหรือตัดสินใจอย่างฉลาดสุขุม เป็นต้น.
        มีระบุด้วยว่า คลื่นสมองเมื่อคนหัวเราะจริงจัง ใกล้เคียงกับคลื่นสมองของคนที่นั่งสมาธิลึกๆ, เหมือนสมองได้ออกกำลังฟิตเนส. คลื่นแกมมา (gamma คลื่นความถี่ชนิดเดียวที่กระจายไปทั่วในสมองคน) จับมือปิ๊งไปทั่วทุกพื้นที่ในสมอง ในความถี่ระหว่าง 30-40 Hz. ในสภาวะเช่นนี้ สมองทำงาน คิดและจัดระบบความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพและดีขึ้นด้วย.
        เมื่อกล้ามเนื้อผ่อนคลาย กระบวนการเมตาบอริสซึมของเซลล์ดีขึ้น เซลล์เก่าๆถูกขับออกไปเร็วขึ้น เซลล์ใหม่ๆถูกสร้างขึ้นมาแทน. สรุปได้ว่า หัวเราะบ่อยๆเป็นประจำทุกวัน ส่งผลดีต่อระบบการทำงานอื่นๆของร่างกาย เช่นระบบย่อยอาหาร. หัวเราะยังไปช่วยนวดเส้นสายของลำไส้, วันไหนได้หัวเราะมาก ยังทำให้หลับสบาย.
       หัวเราะคือการมอบของขวัญที่ดีที่สุดให้ตัวเอง ใบหน้าเบิกบาน แจ่มใส ตาเป็นประกาย สวยขึ้น หล่อขึ้น.

จิตรกรรมผลงานของเร็มบรันด์ (Rembrandt van Rijn, 1606-1669)
เครดิตภาพ Getty Museum

  « เราไม่หัวเราะเพราะเรามีความสุข แต่เรามีความสุขเพราะเราหัวเราะ»  
นี่คือสโลแกนตามวิสัยทัศน์ของนายแพทย์มาดัน กาตาเรีย (Madan Kataria) ชาวอินเดียผู้สถาปนาคลับโยคะหัวเราะขึ้น ในสวนเมืองมุมไบ(บ็อมเบ)อินเดีย เมื่อปี 1955  เพื่อปลูกฝังความมีชีวิตชีวาในหมู่ชาวเมือง และการมองโลกในแง่ดีด้วยการหัวเราะ.
         โยคะหัวเราะของเขา (Hasyayogo, Laughter Yoga หรืออีกชื่อว่า Humor therapy ที่มีใจความกว้างกว่าประสมประสานการหายใจ (การควบคุมลมปราณ หรือ Prāṇāyāma) กับการหัวเราะโดยไม่ต้องมีเหตุเร้าหรือเรื่องขบขันใดมากระตุ้น. เขายืนยันแลพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นไปได้ตามนี้จริง ไม่ว่าใครก็หัวเราะเป็น โดยไม่มีเหตุผล โดยไม่มีเรื่องขำหรืออารมณ์ขัน. วิธีการเริ่มต้นด้วย ผู้นำเชิญชวนให้แต่ละคนหัวเราะ ให้ตามองไปยังคนอื่นๆในกลุ่มเสมอ. เมื่อทุกคนอยู่ในสภาพเดียวกันนี้ เห็นทุกคนหัวเราะกันทั่ว เหมือนก้อนหิมะกลมๆที่กลิ้งไปบนทางลาด รวบเอาหิมะบนเส้นทางรวมเข้าไปในก้อนกลมนั้น จนก้อนหิมะโตขึ้นๆ. เริ่มจากการบังคับตัวเองให้หัวเราะ จนกลายเป็นหัวเราะจริง และเหมือนโรคติดต่อ ทุกคนหัวเราะงอหาย. เขาบอกว่าโยคะหัวเราะมีฐานวิทยาศาสตร์รองรับ และยืนยันว่าร่างกายไม่แยกแยะความแตกต่างระหว่างการแกล้งหัวเราะกับการหัวเราะตามธรรมชาติ. ในทั้งสองกรณี ผู้หัวเราะได้ประโยชน์ทั้งทางกายและทางใจ. 
        การระเบิดหัวเราะเหมือนเด็กๆนั้น ยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งยาก ส่วนใหญ่ต่างคิดว่า มันต้องมีบริบทที่ทำให้หัวเราะก่อน. โยคะหัวเราะเริ่มด้วยการฝึกให้หัวเราะแบบกลไก. หายใจถี่ๆ ทำให้กระบังลมกระเพื่อม ร่างกายจะหัวเราะเป็นระรอกๆเหมือนน้ำตก. และแม้ว่ามันไม่ใช่หัวเราะเพราะขบขันจริงๆ แต่การสั่นสะเทือนของกระบังลม เป็นยาต้านที่ดีสำหรับคนเบื่อชีวิต. ปกติคนมักเก็บกดหรือปกปิดอารมณ์ความรู้สึก การกล้าหัวเราะ ช่วยปรับเปลี่ยนและกระตุ้นสภาพจิต. ฝึกไปนานๆให้ร่างกายคุ้นชิน จนกลายเป็นอัตโนมัติ, ไม่นาน การหัวเราะตามธรรมชาติจะเกิดขึ้นเองและเกิดง่ายขึ้นๆในชีวิตประจำวัน.
      หัวเราะทำให้คนหัวเราะ มีจิตสำนึกโล่งเบา จนหัวเราะขำตัวเองได้ และเบิกบานใจจริงๆในที่สุด เมื่ออารมณ์อื่นๆถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว. นี่เป็นจุดหมายปลายทาง เป็นยาวิเศษที่ต้องฝึกด้วย เพราะต้องมีความกล้าพอที่จะปลดปล่อยเรื่องไม่พอใจต่างๆทิ้งไป. หัวเราะได้ หัวเราะจริง ด้วยใจปลอดโปร่งโล่งเบา ไม่ใช่หัวเราะหลอกตัวเองเมื่อใจยังหมกมุ่นกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ในชีวิตจริง. หัวเราะเพื่อเลือกทางออกที่แจ่มใสกว่า มองข้ามความทุกข์ไปยังความสุขของการมีชีวิต และตั้งใจปลูกฝังอารมณ์เชิงบวกให้มากที่สุด. หัวเราะเท่ากับการผลักตัวเองไปบนทางแห่งความสุข นึกถึงความสุขที่อยู่ข้างหน้า อาจเอื้อให้เกิดความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต. เช่นนี้ เรียนที่จะหัวเราะกับสิ่งรบกวนไม่สบอารมณ์เล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวันและไม่ติดใจกับมันอีกต่อไป ช่วยให้จิตสงบมีสติมากขึ้นเมื่อเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายรุนแรงกว่า. หัวเราะคือพาตัวเองห่างออกมาจากศูนย์กลางของพายุความรู้สึกรุนแรง ช่วยให้เราหนีออกมาได้. ขยายและปรับเปลี่ยนจิตสำนึกด้วยการหัวเราะ เท่ากับฉุดตัวเองออกจากความคิดหมกมุ่นที่ไม่เป็นประโยชน์ จะทำให้ตอบสนองหรือตอบโต้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ดีกว่า.  
          การหัวเราะเหมือนเครื่องเร่งปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในความสุขเบิกบานใจ. คลับหัวเราะต่างๆต้องการกระตุ้นให้คนหัวเราะมากขึ้นๆ ให้มันเป็นเหมือนยาวิเศษที่หล่อเลี้ยงร่างกายและจิตใจ.
         โยคะหัวเราะได้เป็นหัวข้อข่าวไปทั่วโลก (ในหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ : Le Time Magazine, le National Geographic, le Wall Street Journal et CNN aux Etats-Unis, le Daily Telegraph et la BBC au Royaume-Uni, Le monde, Le point, TF1, France 2 en France). เป็นคลับที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองหรือการทำเงิน ปกติผู้บริหารเป็นอาสาสมัครที่ได้รับการฝึกอบรมด้านนี้มา แล้วเผยแพร่ขยายออกไปตามโรงเรียน บริษัท โรงพยาบาลและเรือนจำ. เมื่อแรกเริ่มต้นที่เมืองมุมไบในอินเดีย มีสมาชิกเพียงหยิบมือ ปัจจุบันกลายเป็นปรากฏการณ์โลก. เดี๋ยวนี้มีคลับส่งเสริมพัฒนาหัวเราะไปทั่วโลก มากกว่า 5000 แห่ง.

Stan Laurel and Oliver Hardy (เครดิตภาพ : irishmirror.ie)
The Marx Brother (เครดิตภาพ : The New Yorker)

         กรณีที่น่าสนใจ ชวนให้คิด คือ Norman Cousins [นอเมิน คัสเซิ่น] (1915-1990, นักเขียน บรรณาธิการชาวอเมริกัน, เป็นคนดังคนสำคัญมากคนหนึ่งในสังคมและการเมืองอเมริกันยุคนั้น. ดูรายละเอียดชีวิตเขาได้อย่างน้อยก็ในวิกิพีเดีย) เมื่ออายุ 49 ป่วยเป็นโรค (ankylosing spondylitis) ที่ทำให้เขาขยับเขยื้อนร่างกายเกือบไม่ได้เลย. เมื่ออาการถึงขั้นรุนแรง แม้จะขยับปากพูดก็ทำไม่ได้. หมอวินิจฉัยว่าหมดทางช่วยเหลือแล้ว เพียงหนึ่งในห้าร้อยคนที่รอดตายจากโรคนี้.
        เขาไม่ย่อท้อหรือสิ้นหวัง กลับหาความรู้เกี่ยวกับโรคและร่างกาย และได้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับโยคะหัวเราะในอินเดีย และตัดสินใจรักษาตัวเองด้วยการหัวเราะ. เขาย้ายออกจากโรงพยาบาล ไปอยู่ในที่สะดวกสบายในโรงแรม มีเพื่อนที่เป็นหมอ (Dr. William Hitzig) คอยช่วยเหลือดูแลประกบเขาตลอดเวลา. เขาเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต ออกกำลัง กินอาหารดีมีประโยชน์ นอนอย่างเพียงพอ ดูหนังตลก (Marx Brothers films) หยุดยาแอสพิรินที่โรงพยาบาลให้เขากินแก้ปวด วันละร่วม ๓๘ เม็ด, หยุดหมกมุ่นกับเรื่องไม่สบอารมณ์ ปัญหาเลวร้ายต่างๆ, กินวิตามินซีเป็นจำนวนมาก,  ฝึกตัวเองตามหลักการ ๑. คิดบวก (มองทุกอย่างในแง่ดี) , ๒. ปฏิบัติตนบวก (หัวเราะ เห็นใจ ร่วมมือ), ๓. สร้างนิสัยบวก สร้างอารมณ์บวก (ความรัก ความหวัง ศรัทธา ความเชื่อมั่น).
       ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นบวก. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเขา ได้อาศัยวิตามินซี เป็นตัวช่วยฟื้นฟูที่สำคัญที่สุด เขากินทุกวันๆละจำนวนมาก เกินปริมาณที่การแพทย์รับรอง. ปริมาณมากเช่นนั้น เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่มันกลับช่วยชีวิตเขาได้.  นอกจากนี้ เขาเล่าว่า ทุกวันหากเขาหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างสบายอกสบายใจเพียงสิบนาที เขาจะหลับสบายโดยไม่เจ็บปวดเนื้อตัว สองชั่วโมง.  เขาใช้หัวเราะบำบัดบรรเทาโรคอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ลดความเจ็บปวดตามตัวลงไปเรื่อยๆจนแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย. เขายืนยันว่า ที่เขาหายและมีชีวิตต่อมาได้อีกนานจนถึงอายุ 75 ปีนั้น เพราะได้วิตามินซีช่วย ควบคู่ไปกับการหัวเราะที่เป็นยาบำรุงจิตใจ.
          Norman Cousins ได้แต่งหนังสือเล่าประสบการณ์ของเขา ชื่อว่า  Anatomy of an Illness ที่กลายเป็นหนังสือขายดีมากในสหรัฐฯ, การที่เขามีชีวิตรอดและอยู่ต่อมาอย่างมีความสุขจนถึงอายุ 75 ปี  เป็นหนามทิ่มแทงใจนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ทั่วโลก(เพราะรักษาเขาไม่ได้).
(ยังมีกรณีหัวเราะบำบัดอีกหลายกรณีที่มีนักวิทยาศาสตร์ทำวิเคราะห์วิจัยไว้. ติดตามไปอ่านได้ด้วยการเช้คเข้าไปตามชื่อนายแพทย์ที่ยกมาเป็นตัวอย่างต่อไปนี้ : Lee S.Berk & Stanley Tan, William Fry, Michael Muller, Henri Rubinstein, หรือที่เว็บเพจ laughofflife)

เครดิตภาพ : abvistur.at.ua
       ปัจจุบันมีสมาคมคลาวน์ (clown) หรือตัวตลก ที่แทรกเข้าไปทำกิจกรรมเพื่อคนป่วยตามโรงพยาบาล. ไปชวนคุย เล่าเรื่องตลก ทำท่าหยอกล้อ นำคนป่วยออกจากความเจ็บปวดได้ชั่วคราว ให้ได้ยิ้ม. เด็กๆหรือคนป่วยหน้าตาแจ่มใสขึ้น ตามด้วยเสียงหัวเราะ เกิดพลังชีวิตใหม่ๆ เบนจิตสำนึกของคนป่วยไปในทางบวก, ยิ่งเด็กๆ ยิ่งตื่นเต้น. ตัวตลกเหล่านั้น สร้างโลกมหัศจรรย์โลกใหม่ให้คนป่วยได้อย่างง่ายดาย. Caroline Simonds ผู้สถาปนาสมาคม Rire médecin (แพทย์หัวเราะ) และได้เข้าร่วมกิจกรรมช่วยฟื้นฟูเด็กผู้ป่วยตามสถานพยาบาลกว่า 45 แห่ง, เล่าว่า ตัวตลกของสมาคม (les Clowns de l’Espoir) ได้รับจดหมายคิดถึง ขอบคุณจากเด็กๆที่ป่วยอยู่โรงพยาบาล และจากพ่อแม่เด็กเป็นจำนวนมาก ที่ได้ช่วยให้เด็กผู้ป่วยผ่านช่วงวิกฤตทางกายและใจในโรงพยาบาลไปด้วยดี.

          ในเมืองไทยก็มีการตั้งกลุ่มโยคะหัวเราะ ด้วยอุดมการณ์ของการ พลิกประเทศ หยุดฆ่าตัวตาย สลายความเครียด ด้วยเสียงหัวเราะ”. 
ดูรายละเอียดที่นี่ : http://www.laughteryogathailand.com/ 
      รุ่นเราย่อมจำยอดดาราอัจฉริยะผู้ทำให้โลกหัวเราะและร้องไห้ได้พร้อมกัน...
Charlie Chaplin กับเพลง Smile ของเขา
« You’ll find that life is still worthwhile if you just smile »
ฉากจบในภาพยนต์ Modern Times หนังเงียบเรื่องสุดท้ายปี 1936
เครดิตภาพ : famousclowns.org

โชติรส รายงาน
๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒.

No comments:

Post a Comment