Friday, June 7, 2019

Windmills to Condor

ไปญี่ปุ่นครั้งนี้ ยกกระเป๋า นั่งเดินผิดท่าไปหน่อยเดียว ได้เรื่องเลย เจ็บปวดบั้นเอวและแข้งขาไปตลอดทริป. แต่ไปแล้วก็ต้องก้าวต่อไป ชีวิตคือการเคลื่อนไหว ไปช้าไปเร็ว ก็ต้องก้าวออกไป, ไปเหนือใต้ออกตก ก็ต้องก้าวออกไปก่อน, ไปด้วยตัวด้วยใจ ก็ต้องก้าวออกไป...
ได้ไปนั่งพัก เดินเล่น กินลม ฟอกปอดอยู่เจ็ดแปดวันในสวนภายในพระราชวังเกียวโต. โรงแรมเล็กๆที่ไปพักบ่อยๆ ตั้งอยู่ตรงข้ามพระราชวัง (Kyoto Imperial Palace). ไม่มีเครื่องไอทีทั้งหลายติดตัว ยกเว้นกล้องถ่ายรูปขนาดเล็กๆเท่านั้น แต่ขนาดเล็กยังไง หากแบกไว้ทั้งวัน มันก็หนักไม่ใช่เล่น. นึกถึงที่พระท่านสอนให้ปล่อยวาง จะตัวเบา แต่จะทิ้งกล้อง ก็ทำไม่ได้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการมอง ของการสังเกตโลก. ยิ่งอายุมาก สิ่งที่คิดว่าเห็น จริงๆก็ไม่ได้เห็นชัดๆ พอกลับมาดูภาพที่ถ่ายไว้ จึงรู้ว่า มีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น (โดยยังไม่เข้าไปเจาะลึกว่า สิ่งที่เห็นก็อาจไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าเห็น ยิ่งในยุคของกลไกมายาจากไอทีแห่งศตวรรษที่ 21).
    เจ็ดแปดวันต่อมา ย้ายไปอยู่เมืองโปรดอีกเมืองคือ Kanazawa [ขะน้าศะหว่า]เมืองขุนนางผู้ดีเก่าของญี่ปุ่น. ลานหน้าสถานี โล่งกว้าง มีพื้นที่ให้นั่งมากกว่าสถานีใดที่เคยเห็นในญี่ปุ่น พื้นที่สะดวกใต้หลังคากระจกสูง กันฝนได้อย่างดี. ก็ไปนั่งกินลมต่อ ก่อนกลับเข้าโรงแรม. โรงแรมที่ไปพัก เดินจากลานหน้าสถานีไปไม่ถึงร้อยก้าว.  ลานกว้างตรงนั้น ใช้เป็นที่จัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี. เห็นการแสดงหลายครั้ง มีดนตรีหรือรำบำรำฟ้อนของเด็กเล็กเด็กโต ทั้งยังเป็นต้นทางของรถเมล์เกือบทุกสายของเมือง. บางวันก็นั่งรถเมล์ไปสุดสายแล้ววนกลับมาตรงนั้น ซื้อตั๋ววันสำหรับรถเมล์ ก็สะดวกมาก. ยิ่งอายุมาก ยิ่งเหมือนคนญี่ปุ่น พอขึ้นนั่งบนรถ ก็หลับไปตลอดทาง หลับสนิทเลย รู้ตัวตื่นขึ้น รถก็กลับมาที่ต้นทางพอดี. ไปคนเดียวก็ดีอย่างนี้ ไปสบายๆ. ยิ่งครั้งนี้ จุดหมายสำคัญของการไปญี่ปุ่น คือการไปหาฮวงจุ้ยที่เหมาะกับอนุภาคชีวิตของตัวเอง. ฮวงที่คืออากาศ และจุ้ยที่คือน้ำ สองธาตุที่จักธำรงเกื้อกูลชีวิต. ที่ต้องไปเพราะโดนฝุ่นนาโนของกทม. อัดซะแบติดเตียงสามสัปดาห์. การไปฟอกปอดวิธีที่เปลืองน้อยที่สุด คือไปหาฮวงจุ้ยในญี่ปุ่น. (ฮวงจุ้ยในไทยมีดีเช่นกัน แต่เพราะอากาศร้อนและมียุงรบกวนทันที จนในที่สุดต้องเก็บตัวในห้อง)
      วันหนึ่งเปลี่ยนจากการนั่งรถเมล์ ไปนั่งรถไฟแทน โดยเลือกไปเมืองที่อยู่ไม่ไกลจาก Kanazawa นั่งรถไฟไปยังเมือง Fukui [ฟึกืออิ] เป็นเมืองที่ไม่เคยไป ตั้งอยู่ติดฝั่งทะเล คิดว่าไปสูดโอโซนน่าจะดีกับปอด. ไปทะเลย่อมเป็นเส้นทางสะดวก ลงสู่ระดับน้ำผิวโลก ไม่ต้องตะเกียกตะกายขึ้นสูงไปเหมือนการไปภูเขา (แต่กรณีที่ Fukui คาดการณ์ผิดซะนี่). นั่งรถไฟไปถึงเมือง แปลกตั้งแต่ลงจากรถไฟ เพราะเจอไดโนเสาตั้งแต่ในสถานีรถไฟ และเมื่อออกไปด้านหน้าสถานี ยิ่งผงะ เพราะมีอีกสามตัวขนาดมหึมาคอยดักอยู่หน้าสถานี. ได้ความว่า เขาขุดพบซากไดโนเสาที่เก่าแก่ที่สุดบนเกาะญี่ปุ่น มีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับไดโนเสาโดยเฉพาะ ได้เป็นจุดดึงนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น. เดินวนอยู่ในสถานี ว่าจะไปไหนดี จะนั่งรถเมล์ชมเมืองไหม เพราะดูผู้คนน้อยๆ. เจอประกาศเชิญชวนให้ไปนั่งเรือชมชายฝั่ง เหมาะเลย. จัดการซื้อตั๋วรถไฟหวานเย็น นั่งไปจนสุดทาง. เป็นรถประเภทฉึกๆฉักๆถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง เรียกเป็นรถไฟ shuttle ก็ได้ เชื่อมชานเมืองกับตัวเมืองฟึกืออิ. รถไฟมีแค่สองตู้สั้นๆ แล่นผ่านนาข้าวของชุมชนขนาดเล็กสองข้างทาง. นั่งมองทุ่งนาไปถึงสุดทาง. ถึงแล้ว เจ้าหน้าที่ชี้ให้เดินข้ามทางรถไฟ ไปยังถนนฝั่งตรงข้าม ให้ไปคอยที่ป้ายรถเมล์สีแดง จะมีรถเมล์ผ่านมา รับไปชมชายฝั่งทะเลบริเวณที่ชื่อว่า โถ่จิ้นโบะ (東尋坊Tōjinbō cf. https://www.japan-guide.com/e/e6604.html) อยู่ทางเหนือของเมืองฟึกืออิ.
       คอยตรงนั้นอยู่ประมาณสิบ-สิบห้านาที ก็ได้นั่งรถเมล์สายตรงไปที่แหลมโถ่จิ้นโบะ. รถเมล์ลัดเลาะอ้อมเนินเขาไปมา. ไปถึงจุดหมายในเวลาประมาณสิบห้านาที. เห็นศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยว เดินเข้าไป. สถานที่ออกจะหงอยเหงา เพราะไม่มีใครเข้าไป. เจ้าหน้าที่ชี้ทางว่าให้เดินขึ้นไปตามเส้นทางตรงหน้าศูนย์ ขึ้นไปเรื่อยๆ สักสิบ-ยี่สิบนาทีก็ถึง. พอได้ยินว่าจะต้องเดินขึ้นเนินไปอีก ก็ชักลังเล บอกเจ้าหน้าที่สตรีผู้นั้นว่า ฉันมีปัญหาหัวใจ คงขึ้นไม่ไหว. คุณเธอมองดูข้าพเจ้า เห็นเพียงภาพลวงตา บอกทันทีว่ายังแข็งแรง ขึ้นไหวแน่นอน. ทำไงได้ ก็ต้องออกเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ. คนญี่ปุ่นอาจใช้เวลาสิบ-ยี่สิบนาที โชติรสใช้เวลานานกว่านั้น.
      เดินไป หอบไป หยุดไป ไม่มีใครอื่นเดินบนเส้นทางนั้น. ไปได้ครึ่งทาง เลยแวะนั่งพัก กินข้าวเที่ยงเอาแรงก่อน. ชุมชนติดทะเล อาหารปูปลาหอยย่อมสด ให้กำลังวังชา. เข้าไปในร้านหนึ่ง เป็นลูกค้าคนเดียว สั่งข้าวหน้าปูมากิน อาหารพร้อมในสองนาที ชามข้าวที่ดูใหญ่ แต่จริงๆตื้นมาก. ชิมปูที่เขาโรยหน้าข้าว แล้วก็ไม่ปลื้มนัก มันไม่ได้กลิ่นอายทะเลในชามนั้น. เขานึ่งเสร็จมานานแล้ว. กินไปทีละคำๆ ได้ยินเสียงเพลงดังแผ่วๆมาจากภายในร้าน เพลงเอื่อยๆเฉื่อยๆ ทำนองซ้ำไปมา ไม่ได้ยินเนื้อเพลงชัดเจน เงี่ยหูฟังอีกทีว่าเพลงภาษาอะไร. ทำนองเพลงคุ้นหูอยู่ และแล้วก็นึกชื่อได้ในบัดดล ใจชื้นขึ้นทันที คือเพลง The Windmills of Your Mind.
       นั่งอยู่ที่ฟึกืออิในญี่ปุ่น เพลงนี้มาพากลับย้อนเวลาไปในอดีตเกือบห้าสิบปี. นึกเห็นใบหน้าเรียบเฉยของ Steve McQueen ในภาพยนต์เรื่อง The Thomas Crown Affair (1968) และใบหน้าของ Faye Dunaway ที่มีอะไรเอื่อยๆหน้าจีนๆเกือบซีด (ในสายตาและในความทรงจำส่วนตัว). เพลงกังหันลมในใจเธอเป็นเพลงประกอบภาพยนต์เรื่องนี้ ทำนองช่างเหมาะกับเนื้อหาและใบหน้าของพระเอกในเรื่อง ที่ให้ความรู้สึกว่าเอื่อยๆไปเรื่อยๆ หนังไม่ตื่นเต้นแบบหนังแอ็คชั่น. เพลงนี้เป็นเพลงเดียวที่ฟังในวัยนั้น(ไม่ถึงยี่สิบ) แล้วออกจะงงๆ เพราะระดับดนตรีเกือบจะ mono tone อยู่ในความถี่เกือบระดับเดียวตลอดเพลง วนอยู่ในโน้ตเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนคลื่นเล็กๆที่ต้องคลี่และคลายตัวบนฝั่งทะเลยามย่ำรุ่ง ไม่มีวันหยุด. เพลงก็ดูเหมือนยาวมาก จำได้ว่า เมื่อฟังครั้งแรกห้าสิบปีก่อน ต้องใช้สมาธิ ติดตามทุกคำพูดตั้งแต่ต้นจนจบ เข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่ง เพลงก็ดูเหมือนนานกว่าเพลงทั่วๆไปในยุคเดียวกัน ฟังไปฟังไป เหมือนซึมซับความเอื่อยๆเฉื่อยๆ ตามด้วยความชาชินแล้วต่อไปถึงจุดเบื่อ แต่ไม่ทันเบื่อก็ถูกนำวกกลับ เหมือนคลื่นที่คลายตัว แล้วต้องถอยไปม้วนตัวมาใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้. ทำนองเพลงที่ซ้ำๆต่อเนื่องกันไป ติดอยู่ในฮาร์ดดิสก์ผัสสะของข้าพเจ้า และแน่นอนผนึกบรรยากาศเอื่อยๆเรื่อยๆเหมือนชีวิตพระเอกที่ราบเรียบไม่มีเหตุการณ์ใดๆ จนต้องสร้างเหตุการณ์มาท้าทายตัวเอง ให้เป็นเกมเล่นแบบหนึ่ง... ด้วยการปล้นธนาคารบ้าง โจรกรรมภาพจิตรกรรมบันลือโลกในหอศิลป์บ้าง และเขาก็ทำได้สำเร็จทุกครั้ง โดยไม่เคยถูกจับได้. นี่คือสิ่งที่ความทรงจำได้บันทึกติดตรึงไว้ในใจข้าพเจ้ามาจนทุกวันนี้  และเมื่อตามไปดูเนื้อเพลงหลังจากดูหนัง ก็ยิ่งทำให้จำได้ไม่ลืมเลือน. โดยเฉพาะในเวอชั่นฝรั่งเศสที่ได้ยินครั้งแรกเกือบสิบปีต่อมา(มั้ง) ยิ่งติดใจภาพแต่ละภาพในเนื้อเพลงที่ผู้ประพันธ์แนะให้จินตนาการต่อไปเยี่ยงกวี.
     Michel Legrand เป็นนักดนตรี นักแต่งเพลง นักร้องฯลฯชาวฝรั่งเศส เขาได้ประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนต์หลายเรื่องทีเดียว เป็นที่รู้จักกันดีทั้งในสหรัฐฯและยุโรป. เขาเป็นผู้ประพันธ์ทั้งเนื้อเพลงและดนตรีของ เพลงกังหันลมในใจเธอ ประกอบภาพยนต์เรื่อง The Thomas Crown Affair ที่ได้รางวัลตุ๊กตาทองของฮอลลีวูด เป็น Best Original Song ปี 1968. ในเวอชั่นฝรั่งเศสที่นำมาให้ฟังนี้ เป็นเสียงร้องของเขาเอง ทั้งเนื้อเพลงและทำนองดูจะสอดคล้องดียิ่งกับบรรยากาศโดยรวมของภาพยนต์ ในขณะที่เวอชั่นภาษาอังกฤษ เหมือนใบพัดต้องลมแรง รีบร้อนไปหน่อย. tempo เบนออกไปจากทำนองดั้งเดิมของผู้ประพันธ์.
ฟังเวอชั่นฝรั่งเศสของ Michel Legrand ตามลิงค์ที่ให้ข้างล่างนี้ และคลิกดูเนื้อเพลงใต้คลิปประกอบไปด้วย. ประโยคหลักของเนื้อเพลงคือ ชื่อเธอทำให้กังหันทั้งหมดในใจผมหมุนไปตามแรงลมตลอดสี่ฤดูกาล.
      กังหันสมัยก่อนมีใบพัดสี่ใบ ที่พอทำให้นึกเปรียบเป็นใบพัดของสี่ห้องหัวใจคน แต่ใบพัดในแต่ละห้องหัวใจ ไม่พัดไปในทิศทางเดียวกันก็ได้ ทวนหรือสวนกระแสก็ได้ จึงสร้างปมให้ขบคิด. ส่วนสี่ใบพัดของกังหันลม ถูกบังคับให้ไปในทิศทางเดียวกัน จึงมีผลลัพธ์ที่ให้ประโยชน์ในองค์รวม. กังหันสมัยปัจจุบันมีใบพัดเหลือสามเท่านั้น. เนื้อหาดั้งเดิมในเวอชั่นภาษาฝรั่งเศส ให้ภาพสวยงามหลากหลายของธรรมชาติในฤดูกาลต่างๆ มิได้เร่งรัด ตัดพ้อ บอกเล่าเหมือนยอมรับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล. ส่วนตัวชอบเวอชั่นฝรั่งเศสและโดยเฉพาะที่ Michel Legrand ร้องเอง >>
เวอชั่นภาษาอังกฤษนั้น Alan & Marilyn Bergman เป็นผู้ประพันธ์. เนื้อเพลงในภาษาอังกฤษมิได้เป็นบทแปลของเวอชั่นฝรั่งเศส. แม้ภาพพจน์จะแปลกแยกไป แต่ประเด็นไม่ต่างกัน และให้ภาพของการหมุนเวียนเป็นวงกลมที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ ดังข้อความสั้นๆจากเนื้อเพลงที่นำมาประกอบข้างล่างนี้ >>
Like a circle in a spiral
Like a wheel within a wheel
Never ending or beginning
On an ever-spinning reel…
As the images unwind
Like the circles that you find
In the windmills of your mind…

ข้าพเจ้าเดินออกจากร้านอาหาร เดินขึ้นไปบนเนินเพื่อไปดูชายฝั่งทะเล กว่าจะถึงจุดชมวิว ก็หอบไปหลายตรลบ. เดินไปมาเลียบฝั่ง มองหาที่ลงเรือ. พบว่า ต้องเดินลงจากโขดหินตรงนั้นสู่ระดับน้ำทะเล ลงแล้วก็ต้องขึ้นโขดหินนั้นกลับขึ้นมาบนเนิน.  กวาดตาดูเส้นทางขึ้นลง คำนวณกำลังน่องแล้ว ก็หยุดอยู่แค่ตรงนั้น. ถ่ายรูปสิบกว่าใบ แล้วเดินลงเนิน กลับไปยังป้ายรถเมล์ ย้อนตามเส้นทางที่มา (รถเมล์ + รถไฟ shuttle + รถเร็ว) สู่เมืองฟึกืออิ และ ขะน้าศะหว่า ตามลำดับ.
  
วันนั้น ข้าพเจ้านึกถึงชีวิตเดินทางของข้าพเจ้าเอง ที่วนเวียนไปมาเหมือนกังหันแบบหนึ่ง บรรยากาศของภาพยนต์ก็ตรงกับความไม่ยินดียินร้ายในการไปญี่ปุ่นครั้งนี้ ที่เป็นการเดินทางเพื่อออกเดิน โดยไม่มีจุดหมายอื่นใดตั้งไว้ล่วงหน้า ผิดจากการเดินทางครั้งก่อนๆของข้าพเจ้า. ทุกอย่างในญี่ปุ่นมิได้เปลี่ยนแปลงมากนักจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง มีอะไรสุนทรีย์และมีอะไรที่น่าเบื่อ เหมือนทุกแห่งในโลกที่เคยไปมา.
      วันนี้ที่ 6 มิถุนายน 2019 ข้าพเจ้าสรุปการเดินทางตลอดทั้งทริปว่า ราบรื่น แบบเรื่อยๆไปรอนๆ ไม่มีอะไรมาจุดประกายเพิ่ม thrilling aspect ที่จะตรึงในหัวใจ นอกจากการแว่วได้ยินเพลง The Windmills of Your Mind ที่ย้อนมาชวนให้คำนึงถึงกังหันลมเอื่อยๆที่พัดในใจตัวเอง.
      ร่างกายที่เจ็บปวดเพราะกระดูกทับเส้น ได้อาศัยบริการส่งของ ส่งกระเป๋าและบริการรถแท็กซี่เกือบทุกวัน ไม่มีที่ใดในโลกทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่า เช่นนี้ญี่ปุ่นจึงเป็นสถานฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดสำหรับข้าพเจ้าในวัยนี้.

บันทึกเดินทางของ โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์.
๖ มิถุนายน ๒๕๖๒.

เชิญชมตัวอย่างภาพที่ไปถ่ายมาวันนั้นได้ดังต่อไปนี้
กำแพงทางเดินจากชานชาลารถไฟภายในสถานี Fukui [ฟึกืออิ]
กระเบื้องเคลือบลวดลายดอกไม้
มีสัตว์โลกล้านปีโผล่มาทักทาย
ในห้องโถงของสถานีที่กว้างโอโถง
มีมุมครูเฒ่าล้านปี ถือหนังสือและกระดูก กำลังพิจารณาเผ่าพันธุ์
แผ่นโปสเตอร์เชิญชวนหนูๆไปค้นพบสัตว์โลกล้านปี
มีลูกหลานเหลนไดโนเสาคอยต้อนรับอยู่
ตรงประตูเข้าออกสถานีด้านหนึ่ง เป็นตู้ไปรษณีย์
ยังมีคนเขียนจดหมายอีกหรือ
ตรงลานหน้าสถานีรถไฟ ไดโนเสาหลายตัว มีข้อมูลกำกับให้สั้นๆ. ผู้สนใจตามไปเช้คได้ตามรายละเอียดนี้ : The Fukui Prefectural Dinosaur Museum (福井県立恐竜博物館Fukui Kenritsu Kyōryū Hakubutsukan). การขุดค้นพบซากไดโนเสาที่เมือง Fukui เริ่มตั้งแต่ปี 1982 และดำเนินต่อมาจนถึงปี 1993 อีกยังมีโครงการทำต่อมาจนทุกวันนี้. ผลการสำรวจค้นพบซากหินของกระดูก ฟัน และรอยเท้าของไดโนเสา. ญี่ปุ่นประกาศยืนยันว่า เมือง Fukui เป็นศูนย์รวมฟอสซิลของไดโนเสามากที่สุดในญี่ปุ่นและเป็นศูนย์รวมนักวิจัยไดโนเสาจากทั่วโลกด้วย.
ได้ยินเสียงคำรามในลำคอด้วยนะ
ตัวจิ๋วๆ เชื้อสายไดโนเสาสามประเภท เพิ่งเกิดใหม่ไม่นาน
บนกำแพงชั้นบนที่ตั้งสำนักงานต่างๆ ก็ยังมีสัตว์โลกล้านปีประดับเตือนใจ
ว่า กว่าจะมาเป็นคนขนาดเท่าเราๆนั้น ใช้เวลาคลำเวลาผันเกลียวดีเอ็นเออยู่นาน
  ทุ่งนาสองข้างทางรถไฟสายขนส่งชุมชน ฉึกๆฉักๆค่อยๆไป แต่ถึงทุกนัดตามเวลา

 ตัวอย่างสถานีรถไฟขนส่งชุมชน เพียงพอ มีที่กำบังลม แดด ฝนหรือหิมะ

ชานชาลาสถานีนี้ใหญ่หน่อย เพราะบริเวณนี้มีสถานอาบน้ำพุร้อน-อนเซ็ง

เมื่อถึงสถานีสุดท้าย ก่อนลง เลยชักภาพให้เห็นว่า
รถไฟฉึกฉักของเขาดีกว่าชั้นหนึ่งของ รฟท.

จากสถานีปลายทาง เดินข้ามรางรถไฟและข้ามถนน ไปคอยที่ป้ายรถเมล์เพื่อไปต่อที่แหลมโขดหิน โถ่จิ้นโบะ (東尋坊, Tōjinbō)
มองพื้นที่หลังป้ายรถเมล์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของชายฝั่งทะเลแล้ว น่าจะมีเรือล่องชมชายฝั่งจากตรงนั้นเลย.
เดินมาจากป้ายรถเมล์ชื่อโถ่จิ้นโบะ ตามสายน้ำบนพื้นถนน.  ภาพนี้ถ่ายลงไปข้างล่าง หยุดทักทายพระเซนผู้ยืนทนและต้องทนยืนต่อไป

แผนภาพและแผนภูมิดินปั้น แสดงลักษณะภูมิประเทศของพื้นที่ปลายแหลมที่โถ่จิ้นโบะ. ดูภาพมักทำให้เชื่อว่าสุดยอด คำพรรณนาบางทีเกินความเป็นจริง. 
ศตวรรษที่ 21 เป็นยุคของเทคนิคการ make believe ที่พัฒนาหลากหลายรูปแบบ. 
เคยคิดว่า ในเมื่อคนเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่มีภาษาพูดและภาษาเขียน คำพูดของคน น่าจะเป็นอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ่ายทอดความจริง โดยเฉพาะภาษาเขียน คือหลักฐาน เป็น hard evidence ของ identity ของคน ของการมีตัวตนของคนหนึ่ง... 
อยากให้เป็นแบบ If I say it, I mean it... สั้น ตั้งใจ จริงใจ เต็มตามนัย
เดินเลียบพื้นที่บนเนิน พอจะไหว
สะพานแดงทอดเชื่อมเกาะนอกฝั่งสองเกาะ สะพานญี่ปุ่นใช้สีแดงๆเสมอ
ฝรั่งหนึ่งคนขี่จักรยานขึ้นไป หยุดยืนเหม่อมองไปไกล
เส้นทางเดินตรงนี้ ไปสุดที่ศาลเจ้า พระสงฆ์ที่คงธุดงค์มาจำวัดและทำวัตรที่นั่น
ได้แต่ยืนมองอยู่เหนือเนิน ไม่ลงไปเดินบนโขดหิน ใครสนใจก็จงเดินไป 
โขดหินที่นั่นเป็นชั้นหลานๆของ The Giant's Causeway ในไอร์แลนด์เหนือ 
(คลิกที่ชื่อเพื่อไปชมโขดหินเฒ่า ที่หินดูเป็นระเบียบในระบบสอดประชิดกันพอดิบพอดี ที่ไอร์แลนด์) 
ดูแบบนี้ ไม่หนักหนาอะไร ใช่ไหม
เรือนำชมชายฝั่ง ยามนั้น มีชั่วโมงละเที่ยว
ความจริงเขาทำบันไดขึ้นลงไว้อย่างเรียบร้อย ไม่น่ากลัวเลย




จะเข้าห้องน้ำ ก็ยังต้องเดินลงจากโขดหิน เขาเอาลงทะเลหรือไง ไม่น่าจะใช่
แผนที่แสดงที่ตั้งสองข้างทางเดินขึ้นมาบนเนิน เป็นร้านอาหารเกือบหมด
และร้านขายผลิตภัณฑ์จากทะเล หอย ปู ปลา ไม่ค่อยมีลูกค้าหยุดซื้อกันหรอก หากมิได้ขับรถไปเอง. ถ้าไปเป็นกลุ่มทัวร์ เขาก็ไม่มีเวลาให้เดินเลือกสินค้า พาไปลงเรือแล้วก็พากลับ. ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่นจากถิ่นแดนไกลอื่นๆ.

เห็นเหยี่ยวโฉบไปมา   เพลง El condor pasa ดังขึ้นในหู
 What I'd rather be?
Nothing else but be me, for better and for worse!

<< A man gets tied up to the ground... 
He gives the world its saddest sound...>> 
ส่วนฉัน สองเท้าเหยียบบนพื้นแม่ จะแกะรอยความงามของโลก
และบอกเล่าความมหัศจรรย์ของชีวิต...
(คลิกชื่อเพลง ฟังกันอีกครั้ง)
ตอนขาเดินลงไปที่ป้ายรถเมล์ ถึงได้เห็นป้าย เตือนว่าอย่าเดินกินในกลางแจ้งบนเนินหินผานั้น ไม่ว่าอาหารทะเลประเภทใด แม้แต่ไอติม. เหยี่ยวมันคงเคยบินโฉบลงคว้าอาหารไปได้. หากเป็นเด็กเล็ก เผลอๆติดในอุ้งตีนเหยี่ยว... โอ๊ะโอ! อันตราย!

กว่าจะกลับถึงเมือง Kanazawa ก็ห้าโมงเย็นแล้ว. วันนั้น ต้องกินมื้อเย็น (ปกติไม่กินมื้อเย็น) ชามข้าวหน้าปูเมื่อเที่ยง ย่อยหมดไปนานแล้ว ไม่พอไปเลี้ยงทุกเซลล์...
ได้ชุดอย่างนี้ จากร้านอาหาร Kagaya สาขาที่สถานีรถไฟเมือง Kanazawa
อิ่มและพอใจ มีอาหารทะเลให้ทุกอย่างๆละชิ้นสองชิ้นเล็กๆ รสชาติประณีต.
ขอบคุณสรรพชีวิตที่เลี้ยงดูเรามา และแม่พระธรณี
กินไป ใจครวญตามทำนองเพลง The Windmills of MY mind และจบลงด้วย El Condor Pasa…   

No comments:

Post a Comment