น้ำบนโลกมาจากไหน?
หลายพันล้านปีก่อนในจักรภาพ
หลังจากการระเบิด Big Bang ครั้งใหญ่ (ตามที่เล่ากันมา) เกิดแกแล็กซี่ ระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ กลุ่มดาวต่างๆจำนวนนับไม่ถ้วน
และยังมีดาวตก ดาวหาง สะเก็ดดาว หรืออุกกาบาต ที่หลุดลอยออกจากดาวเคราะห์ฯลฯ
โคจรเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ ชนกัน ปะทะกันลุกเป็นไฟ ตกไปบนดาวดวงใดดวงหนึ่งเป็นต้น.
เชื่อกันว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวในช่วง 3.9 ล้านล้านปีก่อน
มีส่วนทำให้เกิดทะเลมหาสมุทรบนดาวเคราะห์โลกที่เราอยู่นี้. สถิติปัจจุบันระบุว่า 97% ของน้ำบนผิวโลกกระจายอยู่ตามทะเลมหาสมุทร,
อีก 3% เป็นมวลน้ำจืดบนผิวโลกเช่นในทะเลสาบและแม่น้ำ,
รวมมวลน้ำในสถานะของธารน้ำแข็งที่ปกคลุมภูเขาสูงและที่ครอบคลุมพื้นที่สองขั้วโลก
กับปริมาณน้ำในอากาศจากไอ เมฆ หมอก. ยังมีน้ำใต้พื้นโลกที่การระเบิดของภูเขาไฟ ได้สะกัดน้ำและแก๊ซจากใต้ภูเขาและจากส่วนลึกใต้พื้นโลก.
เมื่อชีวิตวิวัฒน์ขึ้นในน้ำทะเล(ดังที่สอนกันมา)
จากแบ็คทีเรีย เป็นเซลล์เดียว หลายเซลล์ เป็นพืชพันธุ์สาหร่าย เป็นต้นไม้
ที่สร้างออกซิเจนจากการสังเคราะห์แสง เมื่อมีออกซิเจน ชีวิตวิวัฒน์ต่อไปเป็นสัตว์น้ำ
สัตว์ปีก สัตว์บก เป็นคน. กว่าจะเป็นร่างของ
Homo
erectus เมื่อราวสองล้านปีกว่า และเป็นคนรู้คิด Homo sapiens
เมื่อราวหนึ่งแสนปีก่อน. นับว่าสายพันธุ์คน
มีอายุน้อยมากเมื่อเทียบกับอายุโลก(ที่ประเมินจากทุกกระแส
ทั้งวิทยาศาสตร์และคัมภีร์ศาสนาคริสต์) ราว 4.55
ล้านล้านปี
(CNRS, France).
ไม่ว่าจะจำแนกสิ่งมีชีวิตเป็นระบบแบบใด
สิ่งหนึ่งที่ขาดเสียมิได้ในโครงสร้างของสรรพชีวิต คือ น้ำ. กลายเป็นฐานบทในความเข้าใจของมนุษย์ว่า
อยู่ได้โดยไม่กินอาหารแต่อยู่ไม่ได้ถ้าไม่ดื่มน้ำ. โดยประมาณ 60-70% ของน้ำหนักร่างกายคน คือน้ำหนักน้ำ. 2/3 เป็นน้ำภายในเซลล์ทั้งหมดของคนที่มีประมาณ 37.2 ล้านล้านเซลล์ และอีก 1/3 เป็นน้ำที่หล่อเลี้ยงระหว่างเซลล์ทั้งหลายนี้. นักวิทยาศาสตร์คิดคำนวณย่อยลงถึงขั้นอนุภาค
แล้วสรุปว่า ในหนึ่งเซลล์มีจำนวนโมเลกุลประมาณ
6x1011 โมเลกุล. ในร่างกายคนจึงมีโมเลกุลเท่ากับ (3.72×1013 ) X (6x1011)
= 2 x 1025 โมเลกุล. จำนวนโมเลกุลในแต่ละคน อาจไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น
น้ำหนักตัว อายุ เพศ. แต่ที่แน่นอนเหมือนกันคือ
99% ในจำนวนโมเลกุลทั้งหมดในร่างกายคน คือโมเลกุลน้ำ. (นี่คือฐานข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์ได้นับกันมา
และเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปแล้ว. ศาสตราจารย์ Marc Henry คนหนึ่งล่ะ ที่ได้ลงมือนับเอง
ตามที่เขาเล่าไว้ในปาฐกถาเรื่อง L’eau,passeuse de conscience.
ในทศวรรษที่ 1980 นายแพทย์ฝรั่งเศส Jacques
Benveniste นักวิทยาภูมิคุ้มกัน
(immunologist) ผู้มีชื่อเสียง
หัวหน้าทีมวิจัยสำคัญทีมหนึ่งของสถาบันสุขภาพและการค้นคว้าทางการแพทย์แห่งชาติ(ฝรั่งเศส)
ที่มีชื่อย่อว่า INSERM (Institut national de la santé et de la
recherche médicale) ยืนยันการค้นพบ(ที่โชติรสสรุปง่ายๆในทำนองนี้) ว่า
เมื่อน้ำสัมผัสกับโมเลกุล(สมมุติว่าชื่อ) A, น้ำกักสมบัติของโมเลกุล A ไว้ในตัวมัน,
เก็บเป็นความทรงจำในตัวมันต่อไป แม้เมื่อโมเลกุล A จากไป ไม่อยู่ในบริบทของน้ำที่สัมผัสมันแล้วก็ตาม,
น้ำยังจำสมบัติของโมเลกุล A ได้ครบ. เบ็นเวอนิสต์ยืนยันว่าน้ำมีความทรงจำ จากศักยภาพในการกักและแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า.
สิ่งที่น้ำรับไว้ คือข้อมูล (informationsในภาษาไอทีปัจจุบัน).
น้ำส่งข้อมูลออกไปเป็นความถี่ ซึ่งก็วัดได้พิสูจน์ได้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน จึงไม่ใช่การพูดลอยๆ.
การเจาะมุมมองวิทยาศาสตร์แนวนี้ เป็นทฤษฎีแปลกประหลาดมาก ขัดกับทฤษฎีชีววิทยาคลาซสิกที่ฝังรากแน่นมาแต่โบราณ.
ความทรงจำอยู่นอกบริบทของชีวเคมี เป็นเรื่องของจิตวิทยาหรือมิใช่? เบ็นเวอนิสต์กลายเป็นที่ขบขัน เยาะเย้ยถากถางในวงนักวิทยาศาสตร์ในสถาบัน. เป็นข้อถกเถียงโต้แย้งรุนแรงในวงนักวิทยาศาสตร์ทั้งภายในและภายนอกฝรั่งเศสยุคนั้น.
วารสารวิทยาศาตร์
Nature กล่าวหาว่าเขาเล่นกลโกง
ถึงกับพานักมายากลมาแสดงล้อเลียนว่าที่เขาค้นพบนั้นเป็นเรื่องลมๆแล้งๆ. ไม่ว่าเขาจะอธิบายอย่างไร
คนก็ไม่เชื่อและไม่ได้เครดิตใดๆเลยจากการค้นพบของเขา. เขาถูกเขี่ยออกจากสถาบัน ตกระกำลำบาก และตายไปในปี
2004 เหนื่อยล้ากับการต่อสู้ให้คนยอมรับผลการวิจัยของเขา. ทฤษฎีของเบ็นเวอนิสต์ปฎิวัติความรู้วิทยาศาสตร์ที่เคยมีมา. Jacques Testart [ฌ้าค เต๊ซตารฺ] กล่าวถึงเบ็นเวอนิสต์ว่า
เขาเป็นกาลิเลโอของศตวรรษที่ 20 (Testart เป็นนักชีววิทยาฝรั่งเศส ผู้สร้างตัวอ่อนของทารก baby test tube ขึ้นได้สำเร็จคนแรกของโลกในหลอดแก้วทดลอง.
เขาโชคดีกว่า เพราะจับเรื่องที่ตาเห็นได้ชัดๆ)
ปี 1980 เดียวกันนั้นนักไวรัสวิทยาชาวฝรั่งเศส
Luc
Montagnier [ลุค
มงตาญีเอ] กับ Françoise Barré-Sinoussi [ฟร็องสั๊วซฺ บารเร สินุสสิ] ค้นพบไวรัสที่เป็นตัวการทำให้เกิดโรคเอดส์
(HIV). 28 ปีต่อมาจึงเป็นที่ยอมรับ ทั้งคู่ได้รางวัลโนเบลสาขาแพทย์ศาสตร์ปี 2008.
ความอยากรู้อยากพิสูจน์กระตุ้นให้ Luc Montagnier นำทฤษฎีของเบ็นเวอนิสต์มาพิสูจน์วิเคราะห์ต่อยอด.
สรุปวิธีการแบบง่ายๆได้ว่า Montagnier นำน้ำบริสุทธิ์(เช่น)เก้าหยด เอาเชื้อไวรัสเอชไอวี ลงในน้ำหยดนั้น (ในอัตราส่วนเก้าต่อหนึ่ง) เขย่ากระตุ้นให้เกิดการละลายจนเป็นเนื้อเดียวกัน (เรียกง่ายๆตรงนี้) เป็นสารละลายหมายเลข
1, เอาหยดหนึ่งจากสารละลาย 1 ไปใส่หลอดแก้วใหม่
เติมน้ำบริสุทธิ์เก้าหยดลงไป ได้สารละลายหมายเลข 2, เอาสารละลาย 2 หนึ่งหยด
ใส่ลงในหลอดแก้วใหม่ เติมน้ำบริสุทธิ์ลงไปให้ละลาย ได้สารละลายหมายเลข 3. เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ 24 ครั้ง สารละลายหมายเลข 24 ไม่มีอะไรของเชื้อไวรัสปนแล้ว.
เขาบันทึกสารละลายที่ 24 พบคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้าในน้ำหมายเลข 24 (ในความรู้ของฟิสิกส์คลาซสิก
น้ำในตัวมันเองไม่มีคลื่น แต่เนื่องจากน้ำหมายเลข 24 ยังคงเก็บข้อมูลของเชื้อไวรัสไว้ จึงทำให้โมเลกุลน้ำเปลี่ยนไป มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เก็บความถี่เป็นตัวเลข).
เขาอัดลงในแผ่น(เช่นซีดี) ส่งเป็นข้อมูลความถี่ (เหมือนเราส่งภาพหรือเพลงถึงกันในลายน์หรือทางอีเมล์)
ไปยังสถาบันวิเคราะห์วิทยาศาสตร์ที่มีชื่อในอิตาลี (Università Sannio, Benevento, Italy ที่มีชื่อเสียงว่ามีห้องแล็บชีวะโมเลกุล) ที่ไม่เคยวิเคราะห์อะไรเกี่ยวกับไวรัสเอชไอวีมาก่อน
ให้เขาวิเคราะห์ความถี่ที่ส่งไปให้ ด้วยการปฏิบัติการถอยหลัง ย้อนกลับกระบวนการที่ทำในห้องแล็บฝรั่งเศส
คือเอาคลื่นความถี่จากแผ่นซีดี กลับไปใส่ในน้ำบริสุทธิ์ ให้น้ำในหลอดฟังเสียงคลื่นนั้นหนึ่งชั่วโมง.
เป็นกระบวนการที่ง่ายจริงๆ. หลังจากหนึ่งชั่วโมง
เอาน้ำนั้นแปรงในสภาพคลื่น พบว่ามีคลื่นที่เป็นองค์ประกอบของไวรัสเอชไอวี. (เหมือนกับน้ำหลอดที่อิตาลี ได้ก๊อปปี้น้ำต้นแบบหมายเลข 24 จากฝรั่งเศส). เมื่อเทียบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของน้ำหมายเลข
24 กับน้ำหลอดที่ได้จากห้องแล็บอิตาลีแล้ว ตรงกันถึง 98%. การทำละลายเชื้อไวรัสไปเรื่อยๆจนเจือจางถึงที่สุด
จนไม่เหลืออณูไวรัสเอชไอวีเลยในสารละลายสุดท้าย(หมายเลข 24) พบว่าข้อมูลในโมเลกุลน้ำที่ได้สัมผัสไวรัสเอชไอวีตั้งแต่ต้น(ก่อนทำหมายเลข 1) ยังอยู่เกือบเต็มร้อย. ส่วนน้ำที่ก๊อปปี้ในห้องแล็บอิตาลี
ก็จำข้อมูลที่ได้จากน้ำหมายเลข 24 ไว้ได้เกือบเต็มร้อย. สรุปว่า น้ำจำและเก็บข้อมูลของสิ่งที่มันได้สัมผัสมาก่อน.
งานวิจัยเกี่ยวกับความทรงจำของน้ำ
ทำให้ Luc Montagnier แกะรอยโรคต่างๆได้โดยอาศัยสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ในจุลินทรีย์ของเม็ดเลือด (85% ของเลือดคือน้ำ).
เมื่อเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จึงอัดเป็นข้อมูลของความถี่คลื่น ลงบนแผ่นบันทึก
เช่นดีวีดี ไดร์ฟ และส่งทางอีเมล์หรืออินเตอเน็ตได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว.
เพราะเป็นคลื่น จึงทำให้คิดว่า การรักษาเยียวยา แบบ < ทางไกล > ก็เป็นไปได้ด้วย. แทนการส่งยาให้กิน
แทนการเดินทางไปหาหมอ ไปจากมุมหนึ่งมุมใดบนโลก
หมอเพียงบันทึกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของยา(ในแบบที่เล่ามา)
แล้วส่งทางอีเมล์ไปให้คนไข้ฟังคลื่นยา ที่จะแทรกซึมเข้าในสนามคลื่นของร่างกาย
แล้วทุกอย่างก็จะถูกส่งต่อๆไป เป็นเครือข่ายตรงไปบำบัดความผิดปกติของร่างกาย.
(นี่เป็นบทสรุปรวบรัดเพื่อการเข้าใจง่ายๆของพวกเราผู้มิใช่หมอ
มิใช่นักวิทยาศาสตร์แขนงใด). การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารักษาเยียวยา
(ทางไกลหรือทางใกล้) จึงเป็นไปได้ และก็ได้ทำกันแล้ว. อย่าลืมว่า เพราะภายในโมเลกุลน้ำ
มีพื้นที่ 99.99% เป็นพื้นที่ว่างควอนตัม เป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ประจุลบเคลื่อนที่ไปมา
ซึ่งคือการเก็บกักหรือถ่ายทอดข้อมูล หากไม่มีพื้นที่ว่างควอนตัมนี้ ก็ไม่มีผล
เหมือนขาดสนามสื่อสาร (cf.
Le vide >> https://blogchotiros.blogspot.com/2019/06/le-vide.html
)
กล่าวสรุปสั้นๆว่า Luc Montagnier ได้ต่อยอดความรู้ไปสู่การนำสมบัติวิเศษของน้ำ
ไปใช้ในการเยียวยารักษาโรคร้ายแรงต่างๆได้ เช่นอัลไซเมอร์ อาการออทิสติก
ตลอดจนมะเร็งบางชนิด. อีกเช่นเคย งานวิจัยแบบนี้ที่ปูทางสู่การรักษาโรคแนวใหม่
ทำให้กระแสความคิดเกี่ยวกับการติดเชื้อ
(เกิดจากการสัมผัสไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับเชื้อโรค) ที่ยึดกันมา
ปั่นป่วนและคุกกรุ่น. เกิดการประท้วงกันไปทั่วในบัณฑิตยสภาแห่งวิทยาศาสตร์.
จนทุกวันนี้ ยังมีคนไม่เชื่อ.
เขาได้ให้สัมภาษณ์ในเดือนธันวาคมปี
2010 (ที่ปรากฏในวารสารวิทยาศาสตรชื่อ Science) ว่า « มีคนบอกผมว่า
ได้นำประสบการณ์และการทดลองของเบ็นเวอนิสต์กลับมาพิสูจน์อีกหลายครั้ง
และเป็นผลสำเร็จตรงตามที่เบ็นเวอนิสต์เคยเสนอไว้ แต่พวกเขาไม่กล้านำออกพิมพ์ ด้วยความกลัวว่า
จะเกิดวิกฤติทางปัญญาในหมู่ผู้ที่ไม่เข้าใจ. การค้นพบสมบัติของน้ำ
เป็นวิวัฒนการตัวอย่างหนึ่งที่เป็นผลจากการมีจิตสำนึกที่เปิดกว้าง...
จุดหมายของงานค้นคว้าทุกชนิด คือการนำคนออกจากเส้นทางที่ปราบไว้ราบเรียบแล้ว
มิใช่หรือ? ».
(สังคมมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยน
ไม่ว่าชาติใดภาษาใด ไม่ว่าในระดับชนชั้นใด อะไรที่ออกนอกกรอบ ถูกประณาม
เพราะโดยปริยายกระทบกระเทือนความมั่นคงของนักวิทยาศาสตร์หัวเก่าๆที่ยึดกับความรู้สมัยเก่า
ขาดวิสัยทัศน์ใหม่ๆ. ยังมีเรื่องการล็อบบี้ที่เป็นพฤติกรรมสามัญในทุกสังคม ทุกชาติ
ทุกศาสนา)
น้ำที่มีมากกว่าครึ่งหนึ่งในตัวเรา (60-70%) เหลือองค์ประกอบอื่นๆ 40-30% แล้วตัวเราจริงๆคืออะไรล่ะ? (ปริศนาธรรม)
มาร์ค อ็องรี ศาสตราจารย์ด้านควอนตัมฟิสิกส์
Marc Henry แห่งมหาวิทยาลัยสตร๊าสบูร์กฝรั่งเศส กล่าวว่า โมเลกุลน้ำจำนวนมากที่มีในร่างกายคน
ที่ทำให้สรุปกันเป็นเอกฉันท์ว่า น้ำเป็นวัสดุก่อสร้างพื้นฐานของชีวิต. หากสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นในน้ำ เติบโตมาในน้ำ มีน้ำอยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งของน้ำหนักตัวแล้ว (60-70%
หรือมากกว่า)
น้ำย่อมมีบทบาทในทุกมิติ ทุกขั้นตอนของชีวิต ไม่ว่าในมุมมองของชีววิทยา เคมี
ฟิสิกส์ จิตวิทยาของคนด้วยอย่างหลีกเลี่ยงมิได้. ดังที่กล่าวมาแล้วว่า โมเลกุลน้ำสลายตัว
ผนึกรวมตัวกันใหม่ทุกๆ 10-12 วินาที ทุกอย่างภายในโมเลกุลน้ำเกิดขึ้นในความเร็วสูง. พื้นที่สนามข้อมูลในโมเลกุลน้ำจึงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
มีความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนไปตามจังหวะของคลื่นที่ผ่านเข้าไป. เซลล์ของเรา
ในวงล้อมของน้ำ จึงผันแปรตลอดเวลา. เช่นนี้ มองให้ลึกลงไปถึงมิติควอนตัม เราจึงไม่ใช่คนเดียวกันในแต่ละนาที. พื้นที่ควอนตัม
จึงตื่นตัวรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เก็บข้อมูลที่มีชีวิตชีวาจริงในแต่ละขณะ บันทึกเป็นข้อมูลแม่เหล็กไฟฟ้า
ส่งต่อไปยังระบบดีเอ็นเอ แล้วเชื่อมต่อๆกันข้ามระดับโมเลกุลออกไปทั่วทั้งร่างกาย
(ไม่ผิดเครือข่ายเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมทางด่วนหลายระดับไปในทิศทางต่างๆ).
คนจึงน่าจะเป็นระบบเปิดที่มีข้อมูลควอนตัมผ่านเข้าไปอยู่ตลอดเวลา.
พื้นที่ว่างควอนตัมในโมเลกุลจึงเป็นพื้นที่สะดวกและดีสำหรับเก็บข้อมูลทุกชนิดรวมทั้งจิตสำนึกด้วย
(จะได้เล่าต่อในโอกาสหน้า). มองไกลออกไปกว่านั้น หากเราเชื่อมต่อติดกับพื้นที่ว่างควอนตัมได้
เท่ากับเราอาจต่อติดโยงใยไกลออกไปถึงความว่างในจักรภพ (ถูกตามตรรกะและเป็นไปได้ในควอนตัมฟิสิกส์).
ชีวิตและจิตสำนึกรู้วิธีและมีศิลปะในการจดจำข้อมูลเกี่ยวกับความผันแปรทั้งหลายที่เกิดขึ้น. ชีวิตจริงในสังคมในแต่ละขณะ คนมัวยุ่งติดพันอยู่กับโลกที่เห็นตรงหน้าจนลืมว่า
ยังมีโลกที่ตามองไม่เห็น.
แต่แม้จะรู้คิดตามเหตุปัจจัยแบบนี้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสรรพชีวิต
มักถูกเบนไปจากบริบทของน้ำ. เช่นนักวิทยาศาสตร์เสนอภาพลักษณ์ของดีเอ็นเอ
โดยไม่เคยคำนึงถึงโมเลกุลน้ำจำนวนล้านๆตัวที่ประกอบเป็นโครงสร้างของดีเอ็นเอ หากไม่มีโมเลกุลน้ำ
การทำงานของดีเอ็นเอก็ปั่นป่วน. ถึงเวลาแล้วที่ต้องเอา
«น้ำ» ไปตั้งเป็นหัวใจของสรรพชีวิตอย่างแท้จริง
ให้เป็นศูนย์กลางของการพินิจพิเคราะห์ การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับสุขอนามัยทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ.
ศาสตราจารย์ Marc Henry นักควอนตัมฟิสิกส์และผู้เชียวชาญเรื่องน้ำ
กล่าวว่า « วันที่คนยอมรับว่า
น้ำมีสมบัติพิเศษและวิเศษสุด
ยอมรับว่าคลื่นความถี่ที่น้ำเก็บกักไว้มีศักยภาพที่ต้องคำนึงถึง
วันนั้นเทคนิคการเยียวยารักษาจะเปลี่ยนไปใช้คลื่น... นั่นหมายความว่า
แพทย์สามารถรักษาคนทางไกลโดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด. เมื่อวันนั้นมาถึง
ชาติจะลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขอนามัยของประชาราษฎร์
ตามบัญญัติสวัสดิการสังคม(ฝรั่งเศส) ลงไปมากเหลือคณา
กลบหลุมปัญหาต่างๆ(เช่นการขาดดุล)ในระบบสวัสดิการสังคมของชาติลงไปได้ »
กว่าจะถึงวันนั้น
ชะตากรรมของความรู้ที่ค้นพบใหม่ๆ ไม่ผิดไปจากการตกลงในหลุมดำหลังจากเกิด Big Bang ในจักรภพ คือหายสาบสูญ เงียบไปในความเวิ้งว้างไร้ที่สุด.
หากการแพทย์ใช้คลื่นรักษาคนไข้ ทุกบริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่ของโลก จะล้มละลาย.
บริษัทพวกนี้ เป็นผู้ให้ทุนวิจัยนักวิทยาศาสตร์ ซื้อข้อมูลและผลวิจัย
แล้วเลือกเอาเฉพาะข้อมูลดีๆไปใช้เพื่อผลประโยชน์การตลาด
(โปรโหมดสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ (ในกรณีนี้คือยาทั้งหลาย) ที่พวกเขาลงทุนทำไปแล้ว) สาธยายข้อดีโดยไม่โยงถึงข้อเสียหรือผลกระทบในระยะยาว
(หากเขียนไว้เพราะมีกฎหมายใหม่บังคับ จะปรากฏเหมือนแอบไว้มุมหนึ่ง
หรือเป็นอักษรตัวเล็กจิ๋ว ขนาดต้องใช้แว่นขยายกำลังสูง ยังอ่านไม่ได้ถนัด). แน่นอนว่าบริษัทค้าขายทั้งหลายที่เกี่ยวกับยาและสุขอนามัยทั้งปวง
ย่อมไม่มีวันยอมล้มละลาย. แพทย์ผู้เรียนมาด้วยการใช้ยารักษาเฉพาะที่
(allopathy การแพทย์แผนอัลโลปาธีย์) ก็ย่อมดิ้นรนสู้ สั่งยาต่อไป(เพราะได้เปอเซ็นต์จากบริษัทขายยาด้วยหรือเปล่านะ)
อาจถูกลอยแพ หรือต้องเริ่มเรียนการแพทย์แนวใหม่. ปัญหาสารพัดจะตามมา.
ไม่ว่ารัฐบาลใด
ย่อมไม่ปล่อยให้ชาติและเศรษฐกิจตกในภาวะวิกฤติที่นำไปสู่ความวิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.
ผลประโยชน์ย่อมมาก่อนอื่นใด มนุษยชาติหรือ ก็ต้องวิวัฒน์ไปตามสภาพของสังคม
ตายไปๆเพราะผลข้างเคียงในระยะยาวจากสารเคมีสารพัดที่สังคมปรุงให้กิน...
นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในความทรงจำของน้ำ
คิดเช่นนี้และก็ตระหนักแน่แก่ใจว่า อีกนาน อาจหลายชั่วคน กว่าจะเป็นที่ยอมรับ
แต่พวกเขาก็ศึกษาค้นคว้าต่อไป ตราบเท่าที่ยังมีศีลธรรมและคุณธรรมในจิตสำนึก.
โชติรส นำเกร็ดเรื่องความทรงจำของน้ำมาเล่าเป็นตัวอย่าง
ยังมีอีกหลายกรณีของนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆที่ถูกกลบกลืนหายไปในคลื่นสึนามิของยา จากยาธรรมชาติเป็นยาสังเคราะห์ทั้งหลาย
(น่าจะเริ่มตั้งแต่การผลิตเพนนิซิลินในปี 1928) เพื่อให้พวกเราตระหนักว่า
น้ำเป็นอะไรมากกว่าน้ำดื่มน้ำใช้ในชีวิตประจำวัน.
โชติรส
รายงานด้วยความรักน้ำ
โอ๊ะโอ !!!
น้ำในร่างกายคน ฤาจะเป็นพื้นที่บันทึกภพชาติก่อนๆของคนนั้นด้วย...
๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๒.
ความรู้ในเรื่องน้ำก้าวกระโดดออกไปในวงกว้างมากขึ้น
ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1900 เป็นต้นมา เช่นในเยอรมัน
ออสเตรีย ยุคเดียวกัน ก็มีกระแสคิดเกี่ยวกับน้ำที่ออกนอกกรอบวิทยาศาสตร์ยุคนั้น ติดตามลิงค์ที่ให้เป็นตัวอย่าง
รวมทั้งเช้คชื่อคนสำคัญๆที่ให้ข้างล่างนี้
Viktor
Schauberger (ความคิดของเขาถูกเก็บใส่ตู้ล็อคกุญแจ
นานถึง 50 ปีกว่าคนจะนำออกมาพิจารณาใหม่. ref. https://www.youtube.com/watch?v=yXPrLGUGZsw
Viktor Schauberger : Comprehend and Copy Nature
(Documentary of 2008)
René Quinton >> MULTIPLEX
Spécial Eau de mer Quinton ผู้พัฒนาน้ำทะเลเป็นยารักษาบำบัดโรค ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ประเทศสปน(ref. https://www.youtube.com/watch?v=YxPW5aILhik&t=2s )
-------------------------------------------------------
ความรู้ในเรื่องน้ำก้าวกระโดดออกไปในวงกว้างมากขึ้น
ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1900 เป็นต้นมา เช่นในเยอรมัน
ออสเตรีย ยุคเดียวกัน ก็มีกระแสคิดเกี่ยวกับน้ำที่ออกนอกกรอบวิทยาศาสตร์ยุคนั้น ติดตามลิงค์ที่ให้เป็นตัวอย่าง
รวมทั้งเช้คชื่อคนสำคัญๆที่ให้ข้างล่างนี้
Viktor
Schauberger (ความคิดของเขาถูกเก็บใส่ตู้ล็อคกุญแจ
นานถึง 50 ปีกว่าคนจะนำออกมาพิจารณาใหม่. ref. https://www.youtube.com/watch?v=yXPrLGUGZsw
Viktor Schauberger : Comprehend and Copy Nature
(Documentary of 2008)
Johann Grander ชาวออสเตรีย
เจ้าของความคิดนอกกรอบจำนวนมาก ที่นำมาใช้ได้ผลดียิ่ง
จนมีการผลิตอุปกรณ์บำบัดและผลิตน้ำในชื่อว่า น้ำ Grander (ref. https://www.grander.com/intl-en/international )
Gerald Pollack (USA) ผู้คิดทฤษฎี มิติที่สี่ของน้ำ ที่เขาเรียกว่า EZ
water (จากคำเต็ม Exclusion Zone, the 4th dimension
of water)
Dr. Elmar Fuchs's floating water bridge ศูนย์วิจัยที่เมือง
Stuttgart
(ref. https://www.youtube.com/watch?v=hr76wCqq_4k&list=PLaJGLf5gGsc1OHh6N4hZJuCVT-nurVALn&index=3
)
René Quinton >> MULTIPLEX
Spécial Eau de mer Quinton ผู้พัฒนาน้ำทะเลเป็นยารักษาบำบัดโรค ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ประเทศสปน(ref. https://www.youtube.com/watch?v=YxPW5aILhik&t=2s )
Wetsus (ศูนย์วิจัยนานาชาติเกี่ยวกับน้ำและการบริหารจัดการน้ำในประเทศเนเธอแลนด์
เป็นที่ยอมรับว่า เป็นศูนย์ Master of Water Technology)
รายงานบทนี้ให้รายละเอียดงานค้นคว้าเรื่องความจำของน้ำที่น่าสนใจมาก
(ภาษาฝรั่งเศส) >>
หรือรายงานสั้นๆของเพจนี้
(ภาษาอังกฤษ) >>
ผลงานจำนวนมากของ Professeur Marc Henry
และของ Jacques
Collin ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ
ข้อมูลเหล่านี้
จักนำต่อไปยังรายละเอียดอื่นๆต่อไป ฯลฯ
No comments:
Post a Comment