Sunday, June 30, 2019

Memory frequencies

คลื่นความทรงจำ  

น้ำบนโลกมาจากไหน?
หลายพันล้านปีก่อนในจักรภาพ หลังจากการระเบิด Big Bang ครั้งใหญ่ (ตามที่เล่ากันมา) เกิดแกแล็กซี่ ระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ กลุ่มดาวต่างๆจำนวนนับไม่ถ้วน และยังมีดาวตก ดาวหาง สะเก็ดดาว หรืออุกกาบาต ที่หลุดลอยออกจากดาวเคราะห์ฯลฯ โคจรเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ ชนกัน ปะทะกันลุกเป็นไฟ ตกไปบนดาวดวงใดดวงหนึ่งเป็นต้น. เชื่อกันว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวในช่วง 3.9 ล้านล้านปีก่อน มีส่วนทำให้เกิดทะเลมหาสมุทรบนดาวเคราะห์โลกที่เราอยู่นี้. สถิติปัจจุบันระบุว่า 97% ของน้ำบนผิวโลกกระจายอยู่ตามทะเลมหาสมุทร, อีก 3% เป็นมวลน้ำจืดบนผิวโลกเช่นในทะเลสาบและแม่น้ำ, รวมมวลน้ำในสถานะของธารน้ำแข็งที่ปกคลุมภูเขาสูงและที่ครอบคลุมพื้นที่สองขั้วโลก กับปริมาณน้ำในอากาศจากไอ เมฆ หมอก. ยังมีน้ำใต้พื้นโลกที่การระเบิดของภูเขาไฟ ได้สะกัดน้ำและแก๊ซจากใต้ภูเขาและจากส่วนลึกใต้พื้นโลก.  เมื่อชีวิตวิวัฒน์ขึ้นในน้ำทะเล(ดังที่สอนกันมา) จากแบ็คทีเรีย เป็นเซลล์เดียว หลายเซลล์ เป็นพืชพันธุ์สาหร่าย เป็นต้นไม้ ที่สร้างออกซิเจนจากการสังเคราะห์แสง เมื่อมีออกซิเจน ชีวิตวิวัฒน์ต่อไปเป็นสัตว์น้ำ สัตว์ปีก สัตว์บก เป็นคน. กว่าจะเป็นร่างของ Homo erectus เมื่อราวสองล้านปีกว่า และเป็นคนรู้คิด Homo sapiens เมื่อราวหนึ่งแสนปีก่อน. นับว่าสายพันธุ์คน มีอายุน้อยมากเมื่อเทียบกับอายุโลก(ที่ประเมินจากทุกกระแส ทั้งวิทยาศาสตร์และคัมภีร์ศาสนาคริสต์) ราว 4.55 ล้านล้านปี (CNRS, France).
       ไม่ว่าจะจำแนกสิ่งมีชีวิตเป็นระบบแบบใด สิ่งหนึ่งที่ขาดเสียมิได้ในโครงสร้างของสรรพชีวิต คือ น้ำ. กลายเป็นฐานบทในความเข้าใจของมนุษย์ว่า อยู่ได้โดยไม่กินอาหารแต่อยู่ไม่ได้ถ้าไม่ดื่มน้ำ.  โดยประมาณ 60-70% ของน้ำหนักร่างกายคน คือน้ำหนักน้ำ.  2/3 เป็นน้ำภายในเซลล์ทั้งหมดของคนที่มีประมาณ 37.2 ล้านล้านเซลล์ และอีก 1/3 เป็นน้ำที่หล่อเลี้ยงระหว่างเซลล์ทั้งหลายนี้. นักวิทยาศาสตร์คิดคำนวณย่อยลงถึงขั้นอนุภาค แล้วสรุปว่า ในหนึ่งเซลล์มีจำนวนโมเลกุลประมาณ 6x1011 โมเลกุล. ในร่างกายคนจึงมีโมเลกุลเท่ากับ (3.72×1013 ) X (6x1011) = 2 x 1025 โมเลกุล. จำนวนโมเลกุลในแต่ละคน อาจไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น น้ำหนักตัว อายุ เพศ. แต่ที่แน่นอนเหมือนกันคือ  99% ในจำนวนโมเลกุลทั้งหมดในร่างกายคน คือโมเลกุลน้ำ. (นี่คือฐานข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์ได้นับกันมา และเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปแล้ว. ศาสตราจารย์ Marc Henry คนหนึ่งล่ะ ที่ได้ลงมือนับเอง ตามที่เขาเล่าไว้ในปาฐกถาเรื่อง L’eau,passeuse de conscience.

           ในทศวรรษที่ 1980 นายแพทย์ฝรั่งเศส Jacques Benveniste นักวิทยาภูมิคุ้มกัน (immunologist) ผู้มีชื่อเสียง หัวหน้าทีมวิจัยสำคัญทีมหนึ่งของสถาบันสุขภาพและการค้นคว้าทางการแพทย์แห่งชาติ(ฝรั่งเศส) ที่มีชื่อย่อว่า  INSERM (Institut national de la santé et de la recherche médicale) ยืนยันการค้นพบ(ที่โชติรสสรุปง่ายๆในทำนองนี้) ว่า เมื่อน้ำสัมผัสกับโมเลกุล(สมมุติว่าชื่อ) A, น้ำกักสมบัติของโมเลกุล A ไว้ในตัวมัน, เก็บเป็นความทรงจำในตัวมันต่อไป แม้เมื่อโมเลกุล A จากไป ไม่อยู่ในบริบทของน้ำที่สัมผัสมันแล้วก็ตาม, น้ำยังจำสมบัติของโมเลกุล A ได้ครบ.  เบ็นเวอนิสต์ยืนยันว่าน้ำมีความทรงจำ จากศักยภาพในการกักและแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า.  สิ่งที่น้ำรับไว้ คือข้อมูล (informationsในภาษาไอทีปัจจุบัน). น้ำส่งข้อมูลออกไปเป็นความถี่ ซึ่งก็วัดได้พิสูจน์ได้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน จึงไม่ใช่การพูดลอยๆ.
         การเจาะมุมมองวิทยาศาสตร์แนวนี้ เป็นทฤษฎีแปลกประหลาดมาก ขัดกับทฤษฎีชีววิทยาคลาซสิกที่ฝังรากแน่นมาแต่โบราณ. ความทรงจำอยู่นอกบริบทของชีวเคมี เป็นเรื่องของจิตวิทยาหรือมิใช่? เบ็นเวอนิสต์กลายเป็นที่ขบขัน เยาะเย้ยถากถางในวงนักวิทยาศาสตร์ในสถาบัน. เป็นข้อถกเถียงโต้แย้งรุนแรงในวงนักวิทยาศาสตร์ทั้งภายในและภายนอกฝรั่งเศสยุคนั้น. วารสารวิทยาศาตร์ Nature กล่าวหาว่าเขาเล่นกลโกง ถึงกับพานักมายากลมาแสดงล้อเลียนว่าที่เขาค้นพบนั้นเป็นเรื่องลมๆแล้งๆ. ไม่ว่าเขาจะอธิบายอย่างไร คนก็ไม่เชื่อและไม่ได้เครดิตใดๆเลยจากการค้นพบของเขา. เขาถูกเขี่ยออกจากสถาบัน ตกระกำลำบาก และตายไปในปี 2004 เหนื่อยล้ากับการต่อสู้ให้คนยอมรับผลการวิจัยของเขา. ทฤษฎีของเบ็นเวอนิสต์ปฎิวัติความรู้วิทยาศาสตร์ที่เคยมีมา. Jacques Testart [ฌ้าค เต๊ซตารฺ] กล่าวถึงเบ็นเวอนิสต์ว่า เขาเป็นกาลิเลโอของศตวรรษที่ 20 (Testart เป็นนักชีววิทยาฝรั่งเศส ผู้สร้างตัวอ่อนของทารก baby test tube ขึ้นได้สำเร็จคนแรกของโลกในหลอดแก้วทดลอง. เขาโชคดีกว่า เพราะจับเรื่องที่ตาเห็นได้ชัดๆ)

           ปี 1980 เดียวกันนั้นนักไวรัสวิทยาชาวฝรั่งเศส Luc Montagnier [ลุค มงตาญีเอ] กับ Françoise Barré-Sinoussi [ฟร็องสั๊วซฺ บารเร สินุสสิ] ค้นพบไวรัสที่เป็นตัวการทำให้เกิดโรคเอดส์ (HIV). 28 ปีต่อมาจึงเป็นที่ยอมรับ ทั้งคู่ได้รางวัลโนเบลสาขาแพทย์ศาสตร์ปี 2008.  ความอยากรู้อยากพิสูจน์กระตุ้นให้ Luc Montagnier นำทฤษฎีของเบ็นเวอนิสต์มาพิสูจน์วิเคราะห์ต่อยอด.
          สรุปวิธีการแบบง่ายๆได้ว่า Montagnier นำน้ำบริสุทธิ์(เช่น)เก้าหยด เอาเชื้อไวรัสเอชไอวี ลงในน้ำหยดนั้น (ในอัตราส่วนเก้าต่อหนึ่ง) เขย่ากระตุ้นให้เกิดการละลายจนเป็นเนื้อเดียวกัน (เรียกง่ายๆตรงนี้) เป็นสารละลายหมายเลข 1, เอาหยดหนึ่งจากสารละลาย 1 ไปใส่หลอดแก้วใหม่ เติมน้ำบริสุทธิ์เก้าหยดลงไป ได้สารละลายหมายเลข 2, เอาสารละลาย 2 หนึ่งหยด ใส่ลงในหลอดแก้วใหม่ เติมน้ำบริสุทธิ์ลงไปให้ละลาย ได้สารละลายหมายเลข 3.  เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ 24 ครั้ง สารละลายหมายเลข 24 ไม่มีอะไรของเชื้อไวรัสปนแล้ว. เขาบันทึกสารละลายที่ 24 พบคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้าในน้ำหมายเลข 24 (ในความรู้ของฟิสิกส์คลาซสิก น้ำในตัวมันเองไม่มีคลื่น แต่เนื่องจากน้ำหมายเลข 24 ยังคงเก็บข้อมูลของเชื้อไวรัสไว้  จึงทำให้โมเลกุลน้ำเปลี่ยนไป มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เก็บความถี่เป็นตัวเลข). เขาอัดลงในแผ่น(เช่นซีดี) ส่งเป็นข้อมูลความถี่ (เหมือนเราส่งภาพหรือเพลงถึงกันในลายน์หรือทางอีเมล์) ไปยังสถาบันวิเคราะห์วิทยาศาสตร์ที่มีชื่อในอิตาลี (Università Sannio, Benevento, Italy ที่มีชื่อเสียงว่ามีห้องแล็บชีวะโมเลกุล) ที่ไม่เคยวิเคราะห์อะไรเกี่ยวกับไวรัสเอชไอวีมาก่อน ให้เขาวิเคราะห์ความถี่ที่ส่งไปให้ ด้วยการปฏิบัติการถอยหลัง ย้อนกลับกระบวนการที่ทำในห้องแล็บฝรั่งเศส คือเอาคลื่นความถี่จากแผ่นซีดี กลับไปใส่ในน้ำบริสุทธิ์ ให้น้ำในหลอดฟังเสียงคลื่นนั้นหนึ่งชั่วโมง.  เป็นกระบวนการที่ง่ายจริงๆ. หลังจากหนึ่งชั่วโมง เอาน้ำนั้นแปรงในสภาพคลื่น พบว่ามีคลื่นที่เป็นองค์ประกอบของไวรัสเอชไอวี. (เหมือนกับน้ำหลอดที่อิตาลี ได้ก๊อปปี้น้ำต้นแบบหมายเลข 24 จากฝรั่งเศส). เมื่อเทียบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของน้ำหมายเลข 24 กับน้ำหลอดที่ได้จากห้องแล็บอิตาลีแล้ว  ตรงกันถึง 98%. การทำละลายเชื้อไวรัสไปเรื่อยๆจนเจือจางถึงที่สุด จนไม่เหลืออณูไวรัสเอชไอวีเลยในสารละลายสุดท้าย(หมายเลข 24) พบว่าข้อมูลในโมเลกุลน้ำที่ได้สัมผัสไวรัสเอชไอวีตั้งแต่ต้น(ก่อนทำหมายเลข 1) ยังอยู่เกือบเต็มร้อย. ส่วนน้ำที่ก๊อปปี้ในห้องแล็บอิตาลี ก็จำข้อมูลที่ได้จากน้ำหมายเลข 24 ไว้ได้เกือบเต็มร้อย. สรุปว่า น้ำจำและเก็บข้อมูลของสิ่งที่มันได้สัมผัสมาก่อน.       
          งานวิจัยเกี่ยวกับความทรงจำของน้ำ ทำให้ Luc Montagnier แกะรอยโรคต่างๆได้โดยอาศัยสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ในจุลินทรีย์ของเม็ดเลือด (85% ของเลือดคือน้ำ). เมื่อเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จึงอัดเป็นข้อมูลของความถี่คลื่น ลงบนแผ่นบันทึก เช่นดีวีดี ไดร์ฟ และส่งทางอีเมล์หรืออินเตอเน็ตได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว. เพราะเป็นคลื่น จึงทำให้คิดว่า การรักษาเยียวยา แบบ < ทางไกล > ก็เป็นไปได้ด้วย. แทนการส่งยาให้กิน แทนการเดินทางไปหาหมอ ไปจากมุมหนึ่งมุมใดบนโลก หมอเพียงบันทึกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของยา(ในแบบที่เล่ามา) แล้วส่งทางอีเมล์ไปให้คนไข้ฟังคลื่นยา ที่จะแทรกซึมเข้าในสนามคลื่นของร่างกาย แล้วทุกอย่างก็จะถูกส่งต่อๆไป เป็นเครือข่ายตรงไปบำบัดความผิดปกติของร่างกาย. (นี่เป็นบทสรุปรวบรัดเพื่อการเข้าใจง่ายๆของพวกเราผู้มิใช่หมอ มิใช่นักวิทยาศาสตร์แขนงใด).  การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารักษาเยียวยา (ทางไกลหรือทางใกล้) จึงเป็นไปได้ และก็ได้ทำกันแล้ว. อย่าลืมว่า เพราะภายในโมเลกุลน้ำ มีพื้นที่ 99.99% เป็นพื้นที่ว่างควอนตัม  เป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ประจุลบเคลื่อนที่ไปมา ซึ่งคือการเก็บกักหรือถ่ายทอดข้อมูล หากไม่มีพื้นที่ว่างควอนตัมนี้ ก็ไม่มีผล เหมือนขาดสนามสื่อสาร (cf. Le vide >> https://blogchotiros.blogspot.com/2019/06/le-vide.html )
         กล่าวสรุปสั้นๆว่า Luc Montagnier ได้ต่อยอดความรู้ไปสู่การนำสมบัติวิเศษของน้ำ ไปใช้ในการเยียวยารักษาโรคร้ายแรงต่างๆได้ เช่นอัลไซเมอร์ อาการออทิสติก ตลอดจนมะเร็งบางชนิด.  อีกเช่นเคย งานวิจัยแบบนี้ที่ปูทางสู่การรักษาโรคแนวใหม่ ทำให้กระแสความคิดเกี่ยวกับการติดเชื้อ (เกิดจากการสัมผัสไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับเชื้อโรค) ที่ยึดกันมา ปั่นป่วนและคุกกรุ่น. เกิดการประท้วงกันไปทั่วในบัณฑิตยสภาแห่งวิทยาศาสตร์. จนทุกวันนี้ ยังมีคนไม่เชื่อ. 
         เขาได้ให้สัมภาษณ์ในเดือนธันวาคมปี 2010 (ที่ปรากฏในวารสารวิทยาศาสตรชื่อ Science) ว่า « มีคนบอกผมว่า ได้นำประสบการณ์และการทดลองของเบ็นเวอนิสต์กลับมาพิสูจน์อีกหลายครั้ง และเป็นผลสำเร็จตรงตามที่เบ็นเวอนิสต์เคยเสนอไว้ แต่พวกเขาไม่กล้านำออกพิมพ์ ด้วยความกลัวว่า จะเกิดวิกฤติทางปัญญาในหมู่ผู้ที่ไม่เข้าใจ. การค้นพบสมบัติของน้ำ เป็นวิวัฒนการตัวอย่างหนึ่งที่เป็นผลจากการมีจิตสำนึกที่เปิดกว้าง... จุดหมายของงานค้นคว้าทุกชนิด คือการนำคนออกจากเส้นทางที่ปราบไว้ราบเรียบแล้ว มิใช่หรือ? »
(สังคมมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าชาติใดภาษาใด ไม่ว่าในระดับชนชั้นใด อะไรที่ออกนอกกรอบ ถูกประณาม เพราะโดยปริยายกระทบกระเทือนความมั่นคงของนักวิทยาศาสตร์หัวเก่าๆที่ยึดกับความรู้สมัยเก่า ขาดวิสัยทัศน์ใหม่ๆ. ยังมีเรื่องการล็อบบี้ที่เป็นพฤติกรรมสามัญในทุกสังคม ทุกชาติ ทุกศาสนา) 


        น้ำที่มีมากกว่าครึ่งหนึ่งในตัวเรา (60-70%) เหลือองค์ประกอบอื่นๆ 40-30% แล้วตัวเราจริงๆคืออะไรล่ะ? (ปริศนาธรรม)
         มาร์ค อ็องรี ศาสตราจารย์ด้านควอนตัมฟิสิกส์ Marc Henry แห่งมหาวิทยาลัยสตร๊าสบูร์กฝรั่งเศส กล่าวว่า โมเลกุลน้ำจำนวนมากที่มีในร่างกายคน ที่ทำให้สรุปกันเป็นเอกฉันท์ว่า น้ำเป็นวัสดุก่อสร้างพื้นฐานของชีวิต. หากสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นในน้ำ เติบโตมาในน้ำ มีน้ำอยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งของน้ำหนักตัวแล้ว (60-70% หรือมากกว่า) น้ำย่อมมีบทบาทในทุกมิติ ทุกขั้นตอนของชีวิต ไม่ว่าในมุมมองของชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ จิตวิทยาของคนด้วยอย่างหลีกเลี่ยงมิได้.  ดังที่กล่าวมาแล้วว่า โมเลกุลน้ำสลายตัว ผนึกรวมตัวกันใหม่ทุกๆ 10-12 วินาที ทุกอย่างภายในโมเลกุลน้ำเกิดขึ้นในความเร็วสูง. พื้นที่สนามข้อมูลในโมเลกุลน้ำจึงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนไปตามจังหวะของคลื่นที่ผ่านเข้าไป. เซลล์ของเรา ในวงล้อมของน้ำ จึงผันแปรตลอดเวลา. เช่นนี้ มองให้ลึกลงไปถึงมิติควอนตัม เราจึงไม่ใช่คนเดียวกันในแต่ละนาที.  พื้นที่ควอนตัม จึงตื่นตัวรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เก็บข้อมูลที่มีชีวิตชีวาจริงในแต่ละขณะ บันทึกเป็นข้อมูลแม่เหล็กไฟฟ้า ส่งต่อไปยังระบบดีเอ็นเอ แล้วเชื่อมต่อๆกันข้ามระดับโมเลกุลออกไปทั่วทั้งร่างกาย (ไม่ผิดเครือข่ายเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมทางด่วนหลายระดับไปในทิศทางต่างๆ). คนจึงน่าจะเป็นระบบเปิดที่มีข้อมูลควอนตัมผ่านเข้าไปอยู่ตลอดเวลา. พื้นที่ว่างควอนตัมในโมเลกุลจึงเป็นพื้นที่สะดวกและดีสำหรับเก็บข้อมูลทุกชนิดรวมทั้งจิตสำนึกด้วย (จะได้เล่าต่อในโอกาสหน้า). มองไกลออกไปกว่านั้น หากเราเชื่อมต่อติดกับพื้นที่ว่างควอนตัมได้ เท่ากับเราอาจต่อติดโยงใยไกลออกไปถึงความว่างในจักรภพ (ถูกตามตรรกะและเป็นไปได้ในควอนตัมฟิสิกส์).
         ชีวิตและจิตสำนึกรู้วิธีและมีศิลปะในการจดจำข้อมูลเกี่ยวกับความผันแปรทั้งหลายที่เกิดขึ้น.  ชีวิตจริงในสังคมในแต่ละขณะ คนมัวยุ่งติดพันอยู่กับโลกที่เห็นตรงหน้าจนลืมว่า ยังมีโลกที่ตามองไม่เห็น.
         แต่แม้จะรู้คิดตามเหตุปัจจัยแบบนี้  ความเข้าใจเกี่ยวกับสรรพชีวิต มักถูกเบนไปจากบริบทของน้ำ. เช่นนักวิทยาศาสตร์เสนอภาพลักษณ์ของดีเอ็นเอ โดยไม่เคยคำนึงถึงโมเลกุลน้ำจำนวนล้านๆตัวที่ประกอบเป็นโครงสร้างของดีเอ็นเอ  หากไม่มีโมเลกุลน้ำ การทำงานของดีเอ็นเอก็ปั่นป่วน.  ถึงเวลาแล้วที่ต้องเอา «น้ำ» ไปตั้งเป็นหัวใจของสรรพชีวิตอย่างแท้จริง  ให้เป็นศูนย์กลางของการพินิจพิเคราะห์ การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับสุขอนามัยทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ.
          ศาสตราจารย์ Marc Henry นักควอนตัมฟิสิกส์และผู้เชียวชาญเรื่องน้ำ กล่าวว่า « วันที่คนยอมรับว่า น้ำมีสมบัติพิเศษและวิเศษสุด ยอมรับว่าคลื่นความถี่ที่น้ำเก็บกักไว้มีศักยภาพที่ต้องคำนึงถึง วันนั้นเทคนิคการเยียวยารักษาจะเปลี่ยนไปใช้คลื่น... นั่นหมายความว่า แพทย์สามารถรักษาคนทางไกลโดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด. เมื่อวันนั้นมาถึง ชาติจะลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขอนามัยของประชาราษฎร์ ตามบัญญัติสวัสดิการสังคม(ฝรั่งเศส) ลงไปมากเหลือคณา กลบหลุมปัญหาต่างๆ(เช่นการขาดดุล)ในระบบสวัสดิการสังคมของชาติลงไปได้ »
        กว่าจะถึงวันนั้น  ชะตากรรมของความรู้ที่ค้นพบใหม่ๆ ไม่ผิดไปจากการตกลงในหลุมดำหลังจากเกิด Big Bang ในจักรภพ คือหายสาบสูญ เงียบไปในความเวิ้งว้างไร้ที่สุด. หากการแพทย์ใช้คลื่นรักษาคนไข้ ทุกบริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่ของโลก จะล้มละลาย. บริษัทพวกนี้ เป็นผู้ให้ทุนวิจัยนักวิทยาศาสตร์ ซื้อข้อมูลและผลวิจัย แล้วเลือกเอาเฉพาะข้อมูลดีๆไปใช้เพื่อผลประโยชน์การตลาด (โปรโหมดสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ (ในกรณีนี้คือยาทั้งหลาย) ที่พวกเขาลงทุนทำไปแล้ว) สาธยายข้อดีโดยไม่โยงถึงข้อเสียหรือผลกระทบในระยะยาว (หากเขียนไว้เพราะมีกฎหมายใหม่บังคับ จะปรากฏเหมือนแอบไว้มุมหนึ่ง หรือเป็นอักษรตัวเล็กจิ๋ว ขนาดต้องใช้แว่นขยายกำลังสูง ยังอ่านไม่ได้ถนัด).  แน่นอนว่าบริษัทค้าขายทั้งหลายที่เกี่ยวกับยาและสุขอนามัยทั้งปวง ย่อมไม่มีวันยอมล้มละลาย.  แพทย์ผู้เรียนมาด้วยการใช้ยารักษาเฉพาะที่ (allopathy การแพทย์แผนอัลโลปาธีย์) ก็ย่อมดิ้นรนสู้ สั่งยาต่อไป(เพราะได้เปอเซ็นต์จากบริษัทขายยาด้วยหรือเปล่านะ) อาจถูกลอยแพ หรือต้องเริ่มเรียนการแพทย์แนวใหม่. ปัญหาสารพัดจะตามมา. ไม่ว่ารัฐบาลใด ย่อมไม่ปล่อยให้ชาติและเศรษฐกิจตกในภาวะวิกฤติที่นำไปสู่ความวิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้. ผลประโยชน์ย่อมมาก่อนอื่นใด มนุษยชาติหรือ ก็ต้องวิวัฒน์ไปตามสภาพของสังคม ตายไปๆเพราะผลข้างเคียงในระยะยาวจากสารเคมีสารพัดที่สังคมปรุงให้กิน...
         นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในความทรงจำของน้ำ คิดเช่นนี้และก็ตระหนักแน่แก่ใจว่า อีกนาน อาจหลายชั่วคน กว่าจะเป็นที่ยอมรับ แต่พวกเขาก็ศึกษาค้นคว้าต่อไป ตราบเท่าที่ยังมีศีลธรรมและคุณธรรมในจิตสำนึก.
        โชติรส นำเกร็ดเรื่องความทรงจำของน้ำมาเล่าเป็นตัวอย่าง ยังมีอีกหลายกรณีของนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆที่ถูกกลบกลืนหายไปในคลื่นสึนามิของยา จากยาธรรมชาติเป็นยาสังเคราะห์ทั้งหลาย (น่าจะเริ่มตั้งแต่การผลิตเพนนิซิลินในปี 1928) เพื่อให้พวกเราตระหนักว่า น้ำเป็นอะไรมากกว่าน้ำดื่มน้ำใช้ในชีวิตประจำวัน.

โชติรส รายงานด้วยความรักน้ำ
โอ๊ะโอ !!! 
น้ำในร่างกายคน  ฤาจะเป็นพื้นที่บันทึกภพชาติก่อนๆของคนนั้นด้วย...
๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๒.
-------------------------------------------------------

ความรู้ในเรื่องน้ำก้าวกระโดดออกไปในวงกว้างมากขึ้น ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1900 เป็นต้นมา เช่นในเยอรมัน ออสเตรีย ยุคเดียวกัน ก็มีกระแสคิดเกี่ยวกับน้ำที่ออกนอกกรอบวิทยาศาสตร์ยุคนั้น ติดตามลิงค์ที่ให้เป็นตัวอย่าง รวมทั้งเช้คชื่อคนสำคัญๆที่ให้ข้างล่างนี้  

Viktor Schauberger (ความคิดของเขาถูกเก็บใส่ตู้ล็อคกุญแจ นานถึง 50 ปีกว่าคนจะนำออกมาพิจารณาใหม่. ref.  https://www.youtube.com/watch?v=yXPrLGUGZsw 

Viktor Schauberger : Comprehend and Copy Nature (Documentary of 2008)


Johann Grander ชาวออสเตรีย เจ้าของความคิดนอกกรอบจำนวนมาก ที่นำมาใช้ได้ผลดียิ่ง จนมีการผลิตอุปกรณ์บำบัดและผลิตน้ำในชื่อว่า น้ำ Grander (ref. https://www.grander.com/intl-en/international )

Gerald Pollack (USA) ผู้คิดทฤษฎี มิติที่สี่ของน้ำ ที่เขาเรียกว่า EZ water (จากคำเต็ม Exclusion Zone, the 4th dimension of water)

Dr. Elmar Fuchs's floating water bridge ศูนย์วิจัยที่เมือง Stuttgart (ref. https://www.youtube.com/watch?v=hr76wCqq_4k&list=PLaJGLf5gGsc1OHh6N4hZJuCVT-nurVALn&index=3 )

René Quinton >> MULTIPLEX Spécial Eau de mer Quinton ผู้พัฒนาน้ำทะเลเป็นยารักษาบำบัดโรค ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ประเทศสปน(ref. https://www.youtube.com/watch?v=YxPW5aILhik&t=2s )


Wetsus (ศูนย์วิจัยนานาชาติเกี่ยวกับน้ำและการบริหารจัดการน้ำในประเทศเนเธอแลนด์ เป็นที่ยอมรับว่า เป็นศูนย์ Master of Water Technology)

รายงานบทนี้ให้รายละเอียดงานค้นคว้าเรื่องความจำของน้ำที่น่าสนใจมาก (ภาษาฝรั่งเศส) >>
หรือรายงานสั้นๆของเพจนี้ (ภาษาอังกฤษ) >>

ผลงานจำนวนมากของ Professeur Marc Henry
และของ Jacques Collin ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ
ข้อมูลเหล่านี้ จักนำต่อไปยังรายละเอียดอื่นๆต่อไป ฯลฯ

Wednesday, June 26, 2019

Coherence

ความสมัครสมาน เพื่อเป็นสิ่งที่งามที่สุด         
น้ำไม่ชอบอยู่โดดเดี่ยว มันจะเข้าประชิดสร้างสายสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆตลอดเวลา. หากซูมกล้องจุลทัศน์เข้าไปพิจารณาน้ำหยดหนึ่งอย่างใกล้ชิด จะเห็นพฤติกรรมเข้มตื่นตัวเต็มพิกัด ไม่ผิดจากพฤติกรรมของผึ้งจำนวนร้อยจำนวนพันที่กำลังทำงานอย่างขมักเขม้นภายในรวงผึ้ง. เราจะเห็นสายใยในโมเลกุลน้ำที่ผนึกรวมตัว สลายลง รวมตัวกันขึ้นใหม่อย่างไม่หยุดทุกๆ 10-12 วินาที ทุกอย่างเกิดขึ้นในความเร็วสูง.
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ยังเป็นปริศนาลึกลับ.
       ในใจกลางของปฏิกิริยาคุกกรุ่นภายในของโมเลกุลน้ำนั้น มีปรากฏการณ์เกิดขึ้นในหมู่โมเลกุลน้ำ ที่สัมพันธ์และสอดคล้องต่อเนื่องกันเป็นฉากๆเหมือนในอุปรากรหรือในระบำบัลเลต์ ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ผู้สังเกตการณ์งงงวยเสมอมา.
          ศาสตราจารย์ Marc Henry เรียกพฤติกรรมแบบนั้นว่าเป็นเครือข่าย Domaine de cohérence  แปลเป็นอุปมาอุปมัยตามประสาคนเขียน ว่าเหมือนความสมัครสมานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวในตลาดนัดชุมชนที่ผู้คนค้าขายร่วมกันด้วยจิตเอื้อเฟื้อเข้าใจและเห็นใจกัน. 
ดูวีดีโอนี้ แล้วอ่านคำอธิบายประกอบต่อไป >>
https://www.youtube.com/watch?v=77jZWizO9HA

         การแสดงดนตรีในวงซิมโฟนี การเดินสวนสนาม การแสดงเริงระบำของคนกลุ่มโตๆ อาจมีวาทยากร หรือจังหวะกลองจังหวะดนตรีที่กำหนดและรู้กันล่วงหน้าทั่วทุกคนในทีมคนแสดง เป็นตัวจัดระบบระเบียบคนทั้งหมด ให้อยู่ในการเคลื่อนไหวแบบเดียวกัน.
         เมื่อขาดคนนำเช่นตำรวจจราจร บนถนนในกรุงเดลี เกิดความโกลาหลอย่างยิ่ง ดังที่เรารู้เห็น(จนกลัว)เมื่อไปตกอยู่ในสภาพการณ์แบบนั้นในอินเดีย. นั่นเป็นตัวอย่างชัดที่สุดของ incoherence การไม่มีความความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกัน ต่างคนไปในคนละทิศคนละทาง ไม่สนใจสร้างสายสัมพันธ์กับใคร.   
        Marc Henry เปรียบให้เห็นฝูงปลาขนาดเล็กที่ว่ายวนไปมาทิศทางเดียวกันในน้ำทะเลเป็นกลุ่มโตกลุ่มเดียว ทันทีที่มีปลาตัวใหญ่ศัตรูของพวกมันปรากฏตัวขึ้น. หรือเหมือนฝูงนกที่บินผงาดผ่านไปในท้องฟ้าเป็นกลุ่ม บินวนกันไปอย่างมีระเบียบ(และสวยงามในสายตาคนดู) เป็น perfect synchronization.
          อะไรทำให้ปลาทุกตัวมีพฤติกรรมสอดคล้องประสานกันไปอย่างสมบูรณ์. ทำไมไม่ว่ายหนีเอาตัวรอดไปตัวเดียว (ถ้าเป็นฝูงคน ตัวใครตัวมันนะคะ).  การขยับครีบตีน้ำของฝูงปลา ส่งต่อๆไปเป็นเป็นสัญญาณแก่ปลาทั้งฝูงหรือมิใช่ ? น้ำเป็นสนามนำสัญญาณ SOS แก่ทั้งฝูงปลาหรือเปล่า?
        ฝูงนกที่กระพือปีกบินขึ้นเข้ากลุ่มเหมือนรู้ว่าจะต้องไปอยู่ณตำแหน่งใด และบินรวมกันไป in perfect synchronization เช่นกัน. อากาศหรือกระแสความถี่ของการกระพือปีกในอากาศ ส่งสัญญาณแก่นกทุกตัวใช่ไหม?  ความพร้อมเพรียง ความร่วมมือกันดังกล่าว เป็นสัญชาติญาณเท่านั้นหรือ?  

ในวีดีโอนี้ มีการสาธิตตัวอย่างของทรายบนแผ่นโลหะ. ณความถี่หนึ่ง ทรายทุกเม็ดจัดเรียงตัวมันอย่างเป็นระเบียบสอดคล้องกัน. ความถี่เปลี่ยนไป เม็ดทรายทั้งหลายก็เคลื่อนตัวไปอีกแบบหนุ่ง. เรารู้ว่า เม็ดทรายไม่มีชีวิต ไม่มีมโนสำนึกใดๆ แต่มันร่วมมือกันในแบบเดียวกับพฤติกรรมของเซลล์มีชีวิต (เช่นปลา นก คน).  เมื่อส่งกระแสไฟฟ้าเข้าไปในแผ่นโลหะที่โรยทรายไว้จำนวนหนึ่ง แผ่นโลหะกลายเป็นสนามของการสั่น (vibration) เป็นสนามคลื่น. เม็ดทรายจึงเคลื่อนที่ไปตามแรงสั่นสะเทือน. การเคลื่อนไหวของทรายแต่ละเม็ด ก็สร้างความถี่ของตัวมันด้วยในสนามนั้น. เม็ดทรายแต่ละเม็ดจึงเคลื่อนที่ตามการสั่นสะเทือนของสนามใหญ่(แผ่นโลหะนั้น) และตอบโต้กับการสั่นสะเทือนของเม็ดทรายข้างๆมันด้วย. แผ่นโลหะมีพื้นที่ที่ถูกจำกัดด้วยขอบตรึงแน่นอยู่กับที่ เป็นฉนวน ไม่มีกระแสไฟฟ้าผ่าน จึงเหมือนเป็นกำแพงหยุดการเคลื่อนที่ของเม็ดทราย.  ภาพลักษณ์บนแผ่นโลหะทั้งแผ่น สะท้อนให้เห็นปฏิกิริยาของทรายในคลื่นความถี่ต่างๆ เห็นการประสมประสานกันบนพื้นที่จำกัดนั้น. แต่การหยุดอยู่ในพื้นที่จำกัดตรงนั้น (ในสภาวะ stationary) มิได้หมายความว่า มันนิ่งอยู่เฉยๆ(static). เมื่อซูมเข้าไปใกล้สุด (Hail Technology!) เห็นได้ว่า ไม่มีทรายเม็ดใดนิ่งเฉยอยู่กับที่. การเคลื่อนตัวของเม็ดทรายแต่ละเม็ด มีความสมัครสมานกลมเกลียวกัน ราวกับมีผู้กำกับการแสดงคอยประสานอยู่.  เส้นสีเข้มๆที่เม็ดทรายไปรวมกันเป็นสันเล็กๆนั้น บอกให้รู้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีการสั่นสะเทือนน้อยหรือเกือบไม่มี. (เพราะการเดินทางของเสียงไปบนแผ่นโลหะนั้น เป็นคลื่นความถี่ที่ผันแปรไปตามเวลาและสถานที่).
        โมเลกุลน้ำในร่างกายคน ก็มีพฤติกรรมสอดคล้องประสานกันไปอย่างน่าอัศจรรย์เช่นเดียวกัน. ณเสี้ยววินาทีหนึ่ง โมเลกุลน้ำทั้งหมดโลดไปในทิศทางเดียวกันและมีปฏิกิริยาเหมือนกันทุกตัว อย่างมีระเบียบในระบบเดียวกัน เหมือนกำลังเซิร์ฟโต้คลื่นที่ตาเรามองไม่เห็น (cf. Marc Henry). วิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า โมเลกุลน้ำผนึกรวมตัว สลายลง รวมตัวกันขึ้นใหม่อย่างไม่หยุดทุกๆ 10-12 วินาที ในร่างกายคน. ( เมื่อคนหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม ก็มักปัดไปว่า God knows why?)

       Marc Henry สรุปปัจจัยที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่สอดคล้องประสมประสานกัน (domaine de cohérence) สามประการ คือ
๑. แหล่งที่มาของคลื่น (ส่งกระแสไฟฟ้าเข้าไปในแผ่นโลหะ, การปรากฏตัวของแมวน้ำศัตรู (เปลี่ยนคลื่นความถี่ในทะเล), หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในอากาศที่ไปกระตุ้นประสาท(คลื่นไฟฟ้าในตัวนก), คลื่นไฟฟ้าที่มากระทบน้ำในตัวคน (เช่นจากโทรศัพท์มือถือ ที่เข้าไปกระทบกับประจุไฟฟ้าในโมเลกุลน้ำในตัวคน)
๒. มีมวลสารอิสระ เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ต้องการ (เม็ดทราย, ปลา, นก, โมเลกุลในร่างกายคน) และ
๓. มีสนามที่คลื่นผ่านไปมาได้ ที่อาจเป็นสนามในของเหลว ในอากาศ หรือในพื้นที่แข็งเช่นสนามหญ้า แผ่นโลหะ, น้ำ, อากาศ. สนามแบบสุดท้ายที่ต้องให้ความสนใจมากคือ พื้นที่ว่างควอนตัม เช่นภายในโมเลกุลน้ำ.

          หากเข้าใจหลักการของ coherence ในควอนตัมฟิสิกส์ดังกล่าว ก็ตระหนักว่า ทำไมถึงย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า 99% ของโมเลกุลที่ประกอบกันในร่างกายคน คือโมเลกุลน้ำ และ 99.99% ของโมเลกุลน้ำคือพื้นที่ว่าง.
        ความว่างในโมเลกุลน้ำจึงเป็นสนามของการเสวนาระหว่างอะตอมออกซิเจนกับอะตอมไฮโดรเจน (นั่นคือปฏิกิริยาของประจุอิเล็กตรอน โปรตอน) ที่สรุปรวบรัดตามประสาเราว่า การรวมกันเป็นน้ำ. น้ำจึงเป็นสารประกอบจากสองธาตุ น้ำเป็น compound  (ref. Louis-Bernard Guyton de Morveau ผู้สร้างความประหลาดใจเป็นล้นพ้น เมื่อเขาประกาศในปี 1789 ว่า น้ำเป็นสารประกอบ. ขัดกับขนบที่เชื่อกันมาตลอดหลายสิบศตวรรษว่า น้ำเป็นธาตุ ที่มิอาจแบ่งแยกย่อยเป็นมวลเล็กๆลงไปได้).
         เพียงข้อสรุปนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ทะเลาะกันวุ่น เพราะโบราณนานมา(ราว 450 BC) ชาวกรีกเชื่อว่า มีธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ. หนุนตามด้วยอริสโตเติล (384-322BC.) ผู้ยืนยันว่า ทุกอย่างประกอบขึ้นจากธาตุสี่ตัวนี้ ตามหลักการของความรักกับความชัง (รักกันก็รวมกัน ชังกันก็แยกทางกันไป) ที่กลายเป็นหลักปรัชญาไปด้วย. กว่าจะมาถึงสูตร H2O ที่ยังใช้อยู่ในทุกวันนี้ เวลาล่วงผ่านไปกว่าสิบแปดศตวรรษ (ref. Amadeo Avogadro, 1809).
         แต่น้ำก็มิใช่แค่ไฮโดรเจนสองส่วน ออกซิเจนหนึ่งส่วน นักฟิสิกส์ Marc Henry ชาวฝรั่งเศสวิจารณ์การใช้สูตรนี้  เพราะยังมีองค์ประกอบที่สามที่สำคัญและขาดเสียมิได้ คือความว่างภายในโมเลกุลน้ำ (มุมมองอเมริกัน ยังไม่เรียกพื้นที่นี้ว่าเป็นความว่าง. สามัญชนผู้ใช้ภาษาอังกฤษมะกันจำนวนมาก ยังมีปัญหาความเข้าใจว่า empty เท่ากับ nothing (เป็น economic obsession อย่างหนึ่ง).  ความว่าง (le vide) นี่เป็น French specialty โดยเฉพาะ (more morphological and philosophical obsession) ที่ตรงประเด็น เข้าใจง่าย และสะดวกกับการวิภาษและการอภิปรายต่อไป).  เพราะมีความว่างจึงมีการเคลื่อนที่ การแลกเปลี่ยนของคลื่นไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือคลื่นแสง. วิทยาศาสตร์ระบุว่า อิเล็กตรอนปรากฏได้ในหลายแห่งพร้อมกันในเวลาเดียวกัน (ในทำนองที่ชาวคริสต์พูดว่า พระเจ้าเป็น omnipresent) ที่ส่งผลต่อๆไป ข้ามมิติจากโมเลกุลสู่เซลล์ สู่เนื้อเยื่อ สู่อวัยวะ สู่ระบบการทำงานตามหน้าที่ต่างๆในร่างกาย สู่คน(สัตว์)... ไปสู่การสื่อสารกับจักรวาล!
          อย่าลืมอีกว่า วิทยาศาสตร์เจาะจงไว้ว่า มีน้ำในทุกอวัยวะของร่างกาย เช่น ในหัวใจและสมอง 73%, ในปอด 83%, ในไตและกล้ามเนื้อ 79%, ในผิวหนัง 64%, ในเลือด 85%, ในตับมี 70%, ในกระดูกมี 22 %, ในฟัน(ซึ่งเป็นส่วนที่แข็งที่สุดของร่างกายมนุษย์) ก็ยังมี 2-10 %.
          เพราะมีน้ำในร่างกายคน(และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ)นี่เอง ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตตอบรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้. สิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะคน เป็นเครื่องกลควอนตัมที่ดีที่สุด (quantum machine) และด้วยปัญญาญาณ คนอาจก้าวกระโดด เป็น quantum leap ไปในจักรภพได้ (เฉกเช่น พระพุทธเจ้า).
          การแลกเปลี่ยนหรือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในสนามควอนตัม ภาษาไอทีเรียกว่า การเก็บสะสมข้อมูล information (รวมการคัดเลือก จัดสรร กำจัดและลบทิ้ง) ที่เชื่อกันมาจนทุกวันนี้ว่า เป็นปฏิบัติการของสมอง. แต่มีช่องโหว่ให้คิดว่า อาจไม่ใช่แล้ว. เราส่งเสริมให้นักวิทยาศาสตร์เขาค้นศึกษากันต่อไป คงอีกหลายรุ่นกว่าจะตกลงกันได้. ระหว่างนี้ผู้สนใจอาจใช้วิกิพีเดียหาข้อมูลในเบื้องต้น, ตามด้วยเอกสารและปาฐกถาในสกุล edu หรือ org ในเบื้องกลาง ที่รวมถึงการผลักประตูสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ(ใหญ่ๆ) ด้วยการอ้างอิงไปถึงนามสำคัญๆของนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน, และจบลงเมื่อเข้าไปสถิตในความว่างของจิต ที่จักพาเขากระโดดข้ามมิติต่างๆ เป็น quantum leap สู่จักรวาลในเบื้องปลาย. 
มุมมองการเก็บข้อมูลควอนตัมนี้ นำไปสู่การค้นพบคุณสมบัติที่วิเศษสุดเกินความคาดคิด เกิดทฤษฎีว่า น้ำมีความทรงจำ.
(โอกาสหน้า จะเล่าต่อ แน่นอนถ้ายังจำได้)  

โชติรส กำลังเรียน กลับไปเริ่มคลาซวิทยาศาสตร์ใหม่
ควอนตัมฟิสิกส์ประดังเข้ามาในวัยเจ็ดสิบ
ตื่นจากความหลงเมื่อได้ฟังดนตรีโปรตีน
เห็นบทกวีแนวใหม่ที่มีแต่ตัวเลข...
เปิดมิติการตั้งอยู่ของโมเลกุลในความสมัครสมานกลมเกลียว
ชื่นชมเครือข่ายของอณูและอนุภาคที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
แล้วรังสรรค์สิ่งใหม่ๆ...
ตะลึงเมื่อเจาะลึกเข้าไปในใจกลางนิวเคลียส
เคลิบเคลิ้มกับความงามสมดุลของปัญญาบริสุทธิ์ในธรรมชาติ...
ชีวิตนี่ช่างมหัศจรรย์.

โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์.
๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๒.

คลิปที่น่าติดตาม (ภาษาฝรั่งเศส) เช่น