Saturday, July 25, 2020

The Bridal Portal

ประตูเจ้าสาว - Brautportal
ที่โบสถ์นักบุญเซบัล Sebalduskirche เมืองนูร์นแบร์ก Nürnberg ประเทศเยอรมนี มีประตูด้านทิศเหนือ (the north transept portal) ที่เรียกกันว่า ประตูเจ้าสาว. คู่บ่าวสาวที่ไปประกอบพิธีมงคลสมรสในวัดนักบุญเซบัล จะออกจากวัดทางประตูเจ้าสาวนี้ ด้วยความหวังว่า ทั้งคู่จะอยู่ด้วยกัน มีความอดทน ยึดมั่นในศรัทธา และใช้ชีวิตด้วยกันอย่างเป็นสุข.
รู้แล้วให้ข้องใจ ต้องตามไปแกะรอยที่มา ตามไปที่เมืองนูร์นแบร์ก ที่ต่อมากลายเป็นเมืองโปรดของฉัน. ไปยืนพิจารณาประตูเจ้าสาวที่นั่น เป็นดังนี้
เครดิตภาพ : Ferdinand Schmidt. Commons.wikimedia.org (Public domain) 
ประตูเจ้าสาว (Brautportal) อยู่ทางทิศเหนือของโบสถ์ Sebalduskirche. เริ่มสร้างในปี 1225 และเสร็จสิ้นลงในราวปี 1273-75. บนกำแพงสองข้างประตูทางเข้า มีรูปปั้นสตรีด้านละห้ารูป. รูปปั้นชุดนี้รังสรรค์ขึ้นในราวปี 1320.  ในราวปี 1360 เพิ่มส่วนโค้งเหมือนลายฉลุ สไตล์กอติคบนกำแพงด้านนอก ที่ไปบดบังรูปปั้นพระคริสต์ที่อยู่บนยอดของประตูโค้งด้านในเสียสิ้น. ต่อมาในปี 1440 ได้เพิ่มรูปปั้นพระแม่มารีอุ้มพระเยซูองค์น้อย และรูปปั้นของนักบุญเซบัล Sebald ในชุดนักจาริกแสวงบุญ (สวมหมวกที่มีหอยเชลล์ประดับ เท่ากับยืนยันว่าได้เดินทางหรือเป็นผู้จาริกไปสู่เมืองซันติอาโก เด กมโปซเตลา ในประเทศสเปน, มือขวาประคองแบบสถาปัตยกรรมโบสถ์ของโบสถ์ Sebalduskirche (ดังในภาพ).
จากนั้น ก็พิจารณารายละเอียดของรูปปั้น
รูปปั้นกลุ่มนี้ บนกำแพงด้ายซ้าย เป็นเด็กสาววัยเยาว์ หน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารัก
ถือถ้วยตะเกียงตั้งขึ้น
ส่วนอีกห้าคน บนกำแพงด้านขวา ยืนคอบิดไปข้างหนึ่ง
ถ้วย(ตะเกียง)ในมือคว่ำลง จะหลุดจากมือ
ทั้งหมดโยงไปถึงบทอุปมาอุปมัยบทหนึ่งในคัมภีร์ของแม็ทธิว (Matthew 25: 1-13, ที่รู้จักกันว่า บท Parable of the wise and Foolish Virgins ในภาษาฝรั่งเศสใช้สำนวนว่า Les Vierges Sages et les Vierges Folles). เนื้อเรื่องเล่าถึงสาวพรหมจรรย์สิบนางที่คอยการมาของเจ้าบ่าว. ห้านางได้เตรียมตะเกียงเติมน้ำมันมาเรียบร้อย ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะรอคอยไม่ว่านานเท่าใดก็จะรอ, ส่วนอีกห้านางไม่ได้เตรียมน้ำมันตะเกียงมา แต่มีตะเกียงติดตัว. เมื่อเจ้าบ่าวมาช้า เวลาล่วงไปเรื่อยๆ จากกลางวันเป็นกลางคืน น้ำมันตะเกียงของกลุ่มหลังหมดลง ต้องกลับ ในที่สุดห้านางนี้ไม่ได้พบเจ้าบ่าว. ส่วนแม่นางห้าคนผู้ได้เตรียมตัวมาอย่างดี เติมน้ำมันมาเต็มที่ รอคอยการมาอย่างสงบ อยู่จนพบเจ้าบ่าว และได้รับรางวัลตอบแทน.
      เรื่องที่เล่าไว้ในคัมภีร์ของนักบุญแม็ทธิว ดูเหมือนโยงไปถึงสภาพการณ์ทั่วไปก่อนคริสตกาล ยุคที่คนคอยการมาของพระมหาไถ่ จึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในยุคของพระเยซู. ชาวคริสต์รุ่นแรกๆ เชื่อว่า พระเยซูจะกลับมาจุติในโลกครั้งที่สอง เพื่อสถาปนาอาณาจักรของพระเจ้า, การมาของพระเยซูครั้งหน้า จะเกิดขึ้นในไม่ช้า.  เจ้าบ่าวที่สตรีทั้งหลายรอคอย  คือการมาของพระมหาไถ่. แต่เจ้าบ่าวยังมาไม่ถึง สตรีผู้มุ่งมั่น เตรียมพร้อมคอย ตั้งตาคอย ตั้งใจคอยอย่างสงบ, ส่วนสตรีผู้ฉาบฉวยคอยเหมือนกัน คอยเพราะไม่รู้จะทำอะไร คอยเหมือนคนอื่นๆ คอยไปเนือยๆ จนหมดไฟ.
     นักเทวศาสตร์วิเคราะห์ว่า สตรีทั้งสิบคน สะท้อนจิตสำนึกและชีวิตของคน ที่มีทั้งฉลาดและโง่. ผู้มีจิตศรัทธามั่นคง ใช้ชีวิตมุ่งมั่น อุทิศตน ถือศีลกินเจ สวดมนตร์ภาวนา เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมเพื่อต้อนรับพระมหาไถ่ ย่อมได้รางวัลตอบแทน คือการได้ “สัมผัส” พระเจ้า. นักเทววิทยา ยังโยงนัยไปถึงวันพิพากษาสุดท้าย เมื่อคนดีจะได้รางวัล ได้ไปสวรรค์.
     อุปมาอุปมัยเรื่องนี้ เป็นที่นิยมกันมากในยุคกลาง และได้แทรกเข้าเป็นเนื้อหาหนึ่งในศิลปะยุคกลางทั้งจิตรกรรม, ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ดังหลักฐานจากผลงานศิลปะยุคกลางที่เจริญแบ่งบานในเยอรมนีและฝรั่งเศส เช่นที่ วัด Sebalduskirche ที่นำมาให้ดูในตอนต้น.
      มีประเด็นถกเถียงกันว่า ทำไมสตรีห้าคนที่มีน้ำมันเต็มตะเกียง ไม่แบ่งน้ำมันให้สตรีอีกห้าคน? มันใจร้ายไปไหม? นึกถึงสำนวนหนึ่งว่า จงให้แสงสว่าง แต่อย่าให้น้ำมันตะเกียง, หรือช่วยส่องทางให้ แต่ให้น้ำมันตะเกียงไม่ได้. น้ำมันตะเกียงเหมือนศรัทธา, ความมุ่งมั่น เป็นสิ่งที่หยิบยื่นหรือแบ่งให้ไม่ได้ แต่ละคนต้องพัฒนาสั่งสมด้วยตัวเอง.
     ที่วัดนักบุญเซบัล ใกล้ๆประติมากรรมกลุ่มสตรีสิบนาง ยังมีรูปปั้นเดี่ยวอีกรูปหนึ่ง ที่เรียกกันว่า Fürst der Welt หรือ Prince of the World ฉันขอแปลว่า เจ้าชายแห่งโลกย์  ดูภาพข้างล่างนี้
รูปปั้นเจ้าชายหนุ่ม ยิ้มแย้ม ที่เสกสรรค์ขึ้นในราวปี 1330 เป็นรูปปั้นที่ต้องมองสองด้าน ทั้งด้านหน้าที่เป็นหนุ่มวัยคะนอง ชำนาญโลกชำนาญล่อหลอกให้คนหลง, หากมองด้านหลังของรูปปั้นเดียวกันนี้ จะเห็นว่า มีงู กบ เขียดกัดแทะร่างกายและอวัยวะ. นัยที่ต้องการสื่อ ชัดเจน ว่าหน้าตาภายนอกอาจไม่ใช่ตัวตนแท้จริงของคน อาจมีสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน, ซ่อนความคิดมุ่งร้ายต่างๆได้. คนจึงต้องตระหนักรู้อยู่เสมอ. ดังภาพข้างล่างนี้
(รูปปั้นนี้ปัจจุบันเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์)
การจำหลักรูปปั้นสองด้าน สื่อนัยผิวและนัยแฝงในศิลปะยุคกลาง นับว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพทีเดียว. นึกถึงวรรณกรรมเรื่อง The Portrait of Dorian Gray ของ Oscar Wilde ที่อาจได้แรงบันดาลใจจากรูปปั้นยุคกลางแบบนี้ ซึ่งมีปรากฏประดับโบสถ์ใหญ่ๆหลายแห่งในยุโรป ตั้งแต่ยุคกลางมาแล้ว  เช่นรูปปั้นจากมหาวิหารเมืองสต๊าซบูร์กดังภาพข้างล่างนี้
ที่มหาวิหารเมืองสตร๊าซบูร์ก เจ้าชายแห่งโลกย์ พยายามล่อสตรีคนโง่ ด้วยการอวดผลแอปเปิลทอง จูงคนไปบนเส้นทางของโลกียวิสัย. ด้านหลังของรูปปั้น ก็จำหลักภาพงู กบ เขียด กำลังกัดแทะเช่นกัน (มิอาจปีนกำแพงไปถ่ายรูปด้านหลังของรูปปั้นนี้ได้). ในศิละยุคกลาง มักใช้งู กบและเขียดเป็นสัญลักษณ์ยืนยันความเละเทะในจิตสำนึกของคน. ปัจจุบัน รูปปั้นจริงถูกเก็บไปไว้ในพิพิธภัณฑ์เช่นกัน.
นำกลุ่มสตรีคนฉลาด นักบุญ(หรือพระเจ้า?) ชี้มือไปในท่าประทานพร
เจ้าชายแห่งโลกย์ ถือแอปเปิลทองล่อใจสตรีคนโง่อยู่ทางซ้าย และมีรูปปั้นนักบุญชี้มือไปทางสตรีคนฉลาดทางขวา ที่เพิ่มเข้ามาเป็นผู้แนะนำสตรีสองกลุ่มในประติมากรรมชุดนี้.  การนับจำนวนสตรีคนฉลาดทางขวาและสตรีคนโง่ทางซ้าย ต้องนับต่อไปยังกำแพงด้านข้างๆด้วย ที่เห็นรูปปั้นแฝงอยู่สองรูป ก็จะครบสิบคนตามที่เล่าในคัมภีร์ของแม็ทธิว.

ที่โบสถ์ประจำเมืองแบร์น Bern ประเทศสวิตเซอแลนด์ กลุ่มประติมากรรมตรงด้านหน้าของโบสถ์ ก็มีรูปปั้นของสตรีคนฉลาดและสตรีคนโง่เหมือนกัน. โบสถ์ประจำเมืองแบร์น (Berner Münster) สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมกอติครุ่นสุดท้าย. โบสถ์ที่เห็นในวันนี้ เป็นหลังที่สามที่สร้างขึ้นในปี 1421 บนพื้นที่เดียวกันที่เคยมีวัดขนาดเล็กตรงนั้นเมื่อสองร้อยปีก่อนหน้านั้น ที่รู้จักกันในนามว่า Leutkirche (ที่แปลว่า วัดของมวลชน).  จากปี 1421 ใช้เวลาสร้างติดต่อกันหลักๆ 150 ปี (แล้วยังบูรณะตกแต่งเพิ่มเติมต่อมาจนถึงปี 1893) มีนายช่างหลายรุ่นในแขนงต่างๆที่สืบทอดการก่อสร้าง โดยยึดหลักการเดียวกัน คือให้เป็นสถาปัตยกรรมกอติค(รุ่นสุดท้าย)ที่ยิ่งใหญ่และในขณะเดียวกันก็ดูโปร่งเบา. โบสถ์เมืองแบร์นมีหอคอยเดียวโดดเด่น สูงที่สุดในประเทศ สูงกว่าหนึ่งร้อยเมตร มีบันได 312 ขั้นพาไปถึงชั้นชมวิวได้ (มีหลายชั้นให้หยุดชม ตามกำลังขา).
Berner Münster ดูเครดิตภาพที่นี่
ด้านหน้าของโบสถ์เมืองแบร์น มีซุ้มประตูสามประตู ประตูใหญ่และประตูหลัก คือประตูกลาง (บางทีปิดไว้ ให้คนเข้าทางประตูข้างด้านหนึ่งและออกทางประตูข้างอีกด้านหนึ่ง). มีประติมากรรมทั้งหมดในบริเวณนี้ 294 รูป. เนื้อหาของประติมากรรมบนหน้าบัน (tympanum) คือฉากการพิพากษาสุดท้าย. ตรงเสาที่แบ่งช่องประตูออกเป็นสองประตู มีรูปปั้นผู้หญิงสัญลักษณ์ของความยุติธรรม มือถือดาบ เทวทูตสองข้างคลี่กระดาษที่(อาจเป็นคำเตือนให้ยึดมั่นในการทำดีละเว้นความชั่ว) ใต้ลงไปเป็นนายช่างสองคนที่โผล่ออกมา มือจับกระดาษที่บอกเล่าเกี่ยวกับการวางศิลาฤกษ์เพื่อสร้างโบสถ์นี้ในปี 1421. (ผู้สนใจติดตามอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาของประติมากรรมด้านหน้าของโบสถ์นี้ได้ที่นี่ 
      
สิ่งที่เราสนใจในที่นี้ คือรูปปั้นสิบรูปบนกำแพงสองข้างประตูใหญ่นี้ ซึ่งก็คือรูปปั้นของสตรีคนฉลาด(ด้านซ้าย) กับสตรีคนโง่(ด้านขวา) ที่ถ่ายทอดบทอุปมาอุปมัยตามที่แม็ทธิวเล่าไว้ ดังได้กล่าวมาข้างต้น.
รูปปั้นเสนอภาพสตรีคนฉลาดห้าคน หน้าตายิ้มแย้ม ถือถ้วย(ตะเกียง)ตั้งตรง, ส่วนรูปปั้นครึ่งตัวที่โผล่ออกมาใต้รูปปั้นยืน คือพระนางชีบาและกษัตริย์ซาโลมอน ตัวแทนของบุคคลผู้มีศีลธรรมจรรยาในคัมภีร์เก่า
สตรีคนโง่ห้าคน (รูปปั้นที่สองจากซ้าย ดูเหมือนจะเป็นสาวผิวสี ไม่ธรรมดาเลย) ส่วนรูปปั้นครึ่งตัวที่โผล่ออกมา คิดกันว่า Zephaniah กับ Isaiah พระผู้เผยวัจนะในคัมภีร์เก่า
ตรงกลางเสา คือรูปปั้นสตรี สัญลักษณ์ของความยุติธรรม
(ไปยืนดูใกล้ๆ ออกจะประหลาดใจว่า หน้าตารูปปั้นดูจีนๆ)
ตัวอย่างประติมากรรมชุดสตรีคนฉลาดและสตรีคนโง่ที่ประดับโบสถ์มหาวิหารใหญ่ๆในยุโรป ที่มหาวิหารน็อตเตรอดามกรุงปารีสและเมืองอาเมียงก็มีเช่นกัน. ยืนยันความสำคัญของบทอุปมาอุปมัยในคัมภีร์ของแม็ทธิว. ในค่านิยมขนบคริสต์ การเข้าถึงพระเยซูคริสต์ เหมือนการรวมเป็นหนึ่งเดียวในพระองค์  จึงมีแม่ชีที่ใช้นามต่อท้ายชื่อตัว ว่า de Jesus ยืนยันว่าตนเป็นสมบัติของพระองค์ (พระเจ้าสร้างคน โดยปริยายคนจึงเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์).
ลองดูตัวอย่างด้านจิตรกรรมบ้าง ดังนี้
จิตรกรรมของ Francken, Hieronymus the Younger เสนอภาพเชิงเปรียบของสตรีคนฉลาดกับคนโง่ (ภาพราวปี 1616) จาก commons.wikimedia.org [public domain].
สตรีห้านางทางซ้าย ใช้เวลาบันเทิงเริงรมณ์ กิน ดื่ม เล่นดนตรี เล่มไพ่ หรือหลับใหล, ส่วนสตรีอีกห้าคนด้านขวา อ่านหนังสือธรรม สวดภาวนา เห็นตะเกียงที่พื้นจุดสว่างไว้. คนที่สวมชุดสีดำๆ กำลังเติมน้ำมันลงตะเกียง. ทั้งหมดตื่นและรู้ตัวตลอดเวลา. เหนือขึ้นไปตรงกลางภาพบนเนิน ในท้องฟ้า(สวรรค์) มีอาคารทรงกลม แสงสว่างเรืองรอง แนะว่าอาจเป็นทางเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า.
ภาพนี้ของ William Blake (1826) สตรีโง่ห้าคนกำลังโวยวายที่ขอน้ำมันตะเกียงจากสตรีผู้ฉลาดห้าคนไม่ได้  เครดิตภาพ 

เกร็ดเล็กน้อย เรื่องสตรีคนฉลาดและคนโง่  รู้ไว้ใช่ว่า 
ช่วยให้เข้าใจศิลปะตะวันตกมากขึ้น
บางคนอาจได้แรงบันดาลใจจากเรื่องนี้...
น่าคิดว่า ทำไมต้องเป็นผู้หญิง ผู้ชายฉลาดและโง่ก็มี
คิดต่อไปให้ถ้วนถี่ คุณธรรมทั้งหลายในพจนานุกรมภาษาที่พัฒนาจากภาษาละติน (Romance languages) ทั้งหมดเป็นคำเพศหญิง. สรุปได้เลยว่า ในเชิงวัฒนธรรม ผู้หญิงเป็นผู้ให้กำเนิด ปลูกฝังและสืบทอดคุณธรรม. ผู้ชายต้องรับใช้คุณธรรม เพื่อยกระดับตัวเอง.  

โชติรส รายงาน
๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓.

No comments:

Post a Comment