Emoto Masaru [หม่าซ้ารึ
เอ๊ะโมโตะ] (江本 勝, 1943-2014) สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย
Yokohama Municipal
University ในแขนงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ. ต่อมาได้ประกาศนียบัตรและทำงานในฐานะของแพทย์ทางเลือกอยู่ระยะหนึ่ง.
เกือบตลอดชีวิต เขาศึกษาผลกระทบที่มีต่อน้ำ ที่เกิดจากระบบนิเวศ มลภาวะ
รวมทั้งอุปนิสัยใจคอ อารมณ์ความรู้สึก จิตสำนึกฯลฯ.
เขาใช้ชื่อเรียกผลกระทบดังกล่าวว่า Hado [หะโด๊] 波動
เจาะจงใช้อักษรจีนสองตัวนี้ ตัวแรกแปลว่า คลื่น ตัวที่สองแปลว่า การเคลื่อนไหว รวมกันในความหมายนัยของ พลังขับเคลื่อน (ตามความเข้าใจของโชติรส).
เขาอธิบายวิสัยทัศน์ของการตั้งสถาบันฮาโด ว่า « ฮาโดเป็นแพ็ตเทิร์นความถี่ในระดับอะตอมของสสาร
เป็นพลังงานหน่วยเล็กที่สุด. เป็นพลังงานที่เกิดจากพลังจิตสำนึกของคน ». เขาได้ศึกษาวิเคราะห์และทดลองด้วยการใช้น้ำเป็นตัวกลาง
เพื่อพิสูจน์ว่า ความคิดและความรู้สึกของคน ส่งผลกระทบต่อความจริงทางกายภาพของคนและต่อสภาพแวดล้อม.
น้ำเป็นหัวข้อที่เขาสนใจเสมอมา
และเมื่อนึกถึงผลึกหิมะที่ฝังใจเขามาในวัยเด็ก ทำให้เขาเริ่มสะสมน้ำจากที่ต่างๆ
นำมาแช่แข็งและถ่ายรูปผลึกน้ำแข็งออกมา (เท่ากับได้พัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพไปด้วย)
นำภาพทั้งหมด มาเปรียบเทียบกันเป็นจำนวนมาก และดึงข้อสรุปจากภาพทั้งหมดของเขา (จนถึงปัจจุบันนี้
สถาบันยังรับซื้อภาพผลึกหยดน้ำจากทั่วโลก รวมทั้งขายเครื่องประดับรูปผลึกน้ำสารพัดแบบด้วย).
เขาตั้งข้อเสนอแนะว่า หากคนพัฒนาระดับจิตใจให้ดี
มีศีลธรรม มีความรักเอื้อเฟื้อต่อกัน โลกรอบข้างย่อมดีไปด้วย เพราะพลังจิตของคน
เสริมและปรับเปลี่ยนพลังของจักรวาลได้.
ดูวิดีโอเรื่องผลึกน้ำที่เอโมโตแพร่ออกไปสู่ชาวโลก (เพื่อนพรรณงาม
เง่าธรรมสาร ส่งมาให้) รุ่นพี่อักษร อาจารย์ศศิธร รัชนี
เป็นผู้แปลจากคลิปภาษาอังกฤษ เป็นเวอชั่นปี 2007.
https://www.youtube.com/watch?v=tru4PyM0bEA&fbclid=IwAR10GM_ZcSLUwwduq60czHAJSQuEXcaE4p6Xrdsf7pjMyqzO8oETNqOXU0Yเอโมโตะไม่ใช่นักฟิสิกส์ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งแขนงใด ตรงตามความหมายนัย academic ที่เราเข้าใจกัน แต่ความมีจินตนาการลึกล้ำ พาเขาไปสู่การทดลองเพื่อนำ สารจากน้ำ มาสู่มวลชน (หนังสือเล่มแรกของเขาชื่อ The Message from Water). เขาไม่มีความรู้ระดับนักวิทยาศาสตร์-ฟิสิกส์ควอนตัมเพียงพอ ที่จะอธิบายด้วยการวัด การคำนวณเป็นเลขคณิต หรือด้วยสูตรเคมี ฯลฯ ตามหลักการวิทยาศาสตร์สากล. ความคิดดั้งเดิมที่ดีของเขารวมทั้งข้อมูลและหนังสือที่เขาเขียน มองในเชิงวิชาการนั้น ไม่ได้มาตรฐานสากล. เอโมโตะเอง ในฐานะคนญี่ปุ่น คิดอย่างญี่ปุ่น ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่เอื้อต่อการคิดตรงไปตรงมา แต่วนอ้อมไปมา จึงพูดซ้ำไปซ้ำมา ไม่ทันตรรกะตะวันตกที่ภาษาเป็นแบบ linear จึงไม่อาจต่อกรการซักไซ้ไล่เลียงของนักวิทยาศาสตร์ตัวจริงของฝรั่งเศสได้ ภาษาเป็นอุปสรรคด้วย เพราะไม่พูดภาษาอื่น.
ชมภาพผลึกน้ำในแบบต่างๆได้ในเพจนี้ >>
ดูแล้วคิดตาม >>
ดังที่รู้กันดีว่า
ภาพผลึกหิมะเป็นหกเหลี่ยมเสมอไม่เปลี่ยนแปลง
รูปลักษณ์ของผลึกหิมะเป็นผลมาจากอุณหภูมิและความชื้นในบรรยากาศ. ผลึกหกเหลี่ยมเกิดจากการรวมตัวของโมเลกุลน้ำแปดโมเลกุล
เชื่อกันว่าโครงสร้างหกเหลี่ยมแบบนี้มั่นคงที่สุด (แบบนี้หรือเปล่านะที่ทำให้พูดกันว่า
ตัดน้ำไม่ขาด).
รูปผลึกน้ำที่ถูกตรึงไว้ในเสี้ยววินาทีบนภาพถ่าย.
วินาทีต่อไป ผลึกเหมือนเดิมไหม?
และจะอยู่ในสภาพนั้นนานแค่ไหน ฯลฯ ไม่มีรายละเอียดยืนยัน.
ควอนตัมฟิสิกส์สอนมาแล้วว่า สายใยในโมเลกุลน้ำผนึกรวมตัว สลายลง รวมตัวกันขึ้นใหม่อย่างไม่หยุดทุกๆ 10-12 วินาที ทุกอย่างเกิดขึ้นในความเร็วสูง (การถ่ายภาพจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย). ดังนั้นรูปผลึกภายนอกอาจดูเหมือนเดิม
แต่การรวมตัวภายในโมเลกุลนั้น ไม่มีวันเหมือนเดิม
(เป็นข้อมูลที่พิสูจน์และยอมรับกันแล้ว). กระบวนการถ่ายภาพของเอโมโตะ สอดคล้องหรือไม่กับข้อเท็จจริงดังกล่าว ไม่มีการยืนยัน.
** บริบทเสริมที่เอโมโตะ เติมเข้าไปให้แก่น้ำ มีประเภทต่างๆเช่น เสียงดนตรี
คำพูด เสียงสวด จนถึงตัวอักษรและภาพ ล้วนมีผลกระทบต่อการแปรรูปของผลึกน้ำให้สวยงามมากน้อยจนน่าเกลียดน่ากลัว.
เสนอแต่ผล ไม่มีรายละเอียดอื่น. โชติรสคิดว่า
อาจต้องแยกประเภทของสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งเร้าที่เป็นคลื่นเสียง กับสิ่งเร้าที่เป็นภาพ.
สิ่งเร้าที่เป็นภาพ ผลไม่ชัดเจน เกี่ยวกับแสง การสะท้อนแสงด้วยไหมอย่างไร.
ไม่มีคำอธิบาย.
** เมื่อคนพูดคำว่า ความรัก ขอบคุณ หรือ ไอ้โง่ ฯลฯ เป็นคำญี่ปุ่นออกเสียงญี่ปุ่นในการทดลองของเอโมโตะ.
น้ำมิได้ตอบรับหรือมีปฏิกิริยากับคำพูดญี่ปุ่น ไม่ว่าเป็นคำดีหรือไม่ดี. น้ำตอบรับกับเสียง
และหรือจิตสำนึกของผู้ออกเสียงคำนั้นๆ.
การใช้ตัวอักษรเขียนติดบนขวดน้ำ อย่าหลงคิดว่าน้ำอ่านออก ไม่ว่าภาษาญี่ปุ่นหรือภาษาใด,
หรือการติดภาพเข้าที่ขวดน้ำ น้ำเห็นหรืออย่างไร? สรุปประเด็นเดิมเดียวกัน.
ประเด็นภาพ มีปัจจัยเรื่องแสงเข้าไปเกี่ยวข้องไหม?
** สิ่งเร้าที่เป็นเสียง ดนตรีประเภทต่างๆ มีจังหวะ ลีลาไม่เหมือนกัน เป็นความถี่คลื่นระดับต่างๆกัน
เสียงดนตรีจึงผ่านเข้าไปสัมผัสหรือกระทบความถี่ภายในน้ำได้ทันที. ข้อนี้ชัดเจน. (ดังตัวอย่างแผ่นทรายที่เคลื่อนไปตามความถี่ของคลื่นเสียง
ในวีดีโอเรื่อง Coherence ที่นำลงให้ดู)
** เสียงสวดมนต์ก็เช่นกัน เสียงสวดมนต์นอกจากเป็นเสียงพร้อมเพรียง
ยังเป็นเสียงอยู่ในระดับเสียงต่ำเพียงพอที่ทำให้สบายหู ทำให้จิตสงบ.
เสียงสวดมนต์ไม่ว่าในศาสนาใดมีสมบัติของเสียงคล้ายๆกัน คือเสียงลื่นไหล มีจังหวะสม่ำเสมอสอดคล้องกัน ไม่ว่าเป็นเสียงสวดมนต์ของพระสงฆ์
หรือของชาวมุสลิมเมื่อท่องบทสวดในคัมภีร์อัลกุรอ่าน. เสียงก้องจากลำคอผู้อ่าน
เสียงใสกังวาน เป็นเสียงที่มีคุณภาพ สร้างคลื่นเสียงที่มีพลังเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ที่แทรกเข้าไปกระเทือนโมเลกุลน้ำ.
เพิ่มเติมว่า ไม่เฉพาะเรื่องผลึกน้ำ เสียงส่งผลกระทบต่อโมเลกุลน้ำในร่างกายคนอย่างมากเช่นกัน
คุณภาพเสียง(สวด) เพิ่มความตื่นตัว เกิดพลังดีๆแก่คน ในขณะเดียวกัน เสียงสวดนั้น
ก็แผ่กระจายเป็นคลื่นไปในบรรยากาศโดยรอบ. (เคยมีประสบการณ์ได้ยินเสียงสวดในยามเช้าตรู่หรือยามค่ำ
ที่กังวานมาจากสุเหร่าที่อยู่ไกลออกไป เหมือนได้เห็นคลื่นเสียงนั้น ล่องลอยเหนือแม่น้ำไนล์มาเข้าหู
ทำให้ตื้นตัน สบายใจมาก).
ในทำนองเดียวกับการสวดมนต์เจริญน้ำพระพุทธมนต์(บทรัตนปริตร)
จิตสำนึกและความตั้งใจของผู้สวด บวกจังหวะและการต่อเนื่องของเสียงสวด คือคลื่นพลังดีๆในตัวผู้สวด
ที่ถ่ายทอดออกให้แก่น้ำ (ให้แก่คนฟังที่ใจเปิดรับด้วย) และทำให้น้ำเกิดพลังดีๆ เป็นน้ำมนต์ที่พระท่านใช้. จิตสำนึกของคนจึงส่งผลต่อทุกสิ่ง ตามหลักการของควอนตัมฟิสิกส์
อย่าหลงติดอยู่กับความเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์. ปาฏิหาริย์ใดคือปาฏิหาริย์ของพลังจิตของคน.
*** เพิ่มเติมเป็นแง่คิดว่า น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏอยู่ตามสถานที่ต่างๆในโลก
มีการนำมาวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ เช่นน้ำจากเมือง Lourdes
ประเทศฝรั่งเศส, น้ำ Zam
Zam Water จากเม็กกะ, น้ำของชุมชนชาว Hunzas
ทางเหนือของปากีสถาน ฯลฯ. พบว่า น้ำทั้งหลายมีสมบัติพิเศษกว่าน้ำทั่วๆไป
เช่นมีคุณสมบัติเป็นด่างสูงกว่า และมีสารอนุมูลอิสระจำนวนมาก
มีความตึงผิวต่ำเป็นต้น. สมบัติเหล่านี้(ดีต่อร่างกายคน) พิสูจน์ได้ด้วยหลักการชีวเคมี
โดยไม่ต้องโยงไปถึงเรื่องปาฏิหาริย์ก็ได้.
ดังที่ได้เล่ามาแล้วว่า
ทฤษฎี «น้ำมีความทรงจำ» ที่เป็นผลการวิเคราะห์วิจัยออกจากห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์จริงๆครั้งแรกในประวัติศาสตร์
คือการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อ เบ็นเวอนิสต์ ในปี 1980 (Jacques Benveniste,
1935-2004) ก่อนหน้านั้นในราวปี 1970 มีนักวิทยาศาสตร์รัสเซียที่ก็คิดเรื่องนี้
และพบปัญหาคือกำแพงความไม่เชื่อจากวงการวิทยาศาตร์. cf. ติดตามอ่านกรณีเบ็นเวอนิสต์ได้ตามลิงค์. เบ็นเวอนิสต์ยืนยันว่าน้ำมีความทรงจำ
สิบกว่าปีก่อนที่เอโมโตะจะรวบรวมภาพผลึกน้ำของเขาพิมพ์เป็นเล่มพร้อมคำอธิบายเล็กน้อยในปี
1999.
(水からの伝言: 世界初!! 水の結晶写真集 (Mizu kara no
dengon: sekaihatsu!! mizu no kesshō shashinshū) [Messages from Water] (in
Japanese). 1. Tokyo: Hado. 1999. ISBN 9784939098000.
English edition: The Message from Water: The Message
from Water is Telling Us to Take a Look at Ourselves. 1. Hado. 2000. ISBN 9784939098000.)
สถาบันฮาโดที่เอโมโตะสถาปนาขึ้น เริ่มด้วยวิสัยทัศน์ที่น่าสรรเสริญของเอโมโตะ ที่อยากให้เป็นสถาบันวิจัยเรื่องน้ำ. ต่อมาพัฒนาทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำ และโดยเฉพาะมุ่งประเทศด้อยพัฒนา เพื่อช่วยเหลือชุมชน ปรับระบบนิเวศ สร้างสันติภาพ และพัฒนาเทคโนโลยีอุปกรณ์น้ำจำหน่ายด้วย
รวมทั้งขายเทคโนโลยีการถ่ายภาพน้ำในสภาพแข็งและแห้ง (freeze-dried
water photographic technology). การพัฒนาเป็นธุรกิจเริ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในปี
2008
ที่มีการประชุมหรืออบรมสมาชิกจากทุกชาติ ทั้งศึกษาอุปกรณ์จากเทคโนโลยีน้ำของสถาบันนี้ด้วย
รวมทั้งการนำหนังสือ สารจากน้ำ เวอชั่นการ์ตูนไปแจกเด็กๆทุกชาติที่ไป. ตั้งแต่ปี 2008 ทุกอย่างของสถาบันมีบุตรชายของเอโมโตะ(สำเร็จการศึกษาจากสหรัฐฯ)และคนรุ่นใหม่เป็นผู้ดำเนินงาน
รวมถึงการออกวีดีโอใหม่ในหัวข้อเดิม เปลี่ยนการเขียนอธิบายงานทดลองให้มีเนื้อหาแน่นขึ้นในเว็บภาษาอังกฤษของสถาบัน
ตลอดจนการนำบทวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงของนักวิทยาศาสตร์นานาชาติมาลงเป็นภาษาอังกฤษด้วย. วีดีโอรุ่นแรกที่เอโมโตะทำออกเผยแพร่ เป็นหนังสือรวมภาพมากกว่าหนังสือวิชาความรู้
เป็นหนังสือแนะให้คิดมากกว่าอื่น จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์ตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์กันมากในเชิงลบ. วีดีโอรุ่นใหม่
จ้างคนเขียนเรียบเรียงความคิดใหม่ และแปลเป็นหลายภาษา ค่อยมีเนื้อหนังมากขึ้น แต่ยังขาดรายละเอียดข้อมูลความรู้เชิงวิทยาศาตร์ตามมาตรฐานสากล.
จุดมุ่งหมายของเอโมโตะ เน้นอุดมการณ์เชิงมานุษยวิทยาและนิเวศศาสตร์เป็นสำคัญ นับเป็นบริการสังคมประเภทหนึ่งด้วย. เพื่อให้เข้ากับบริบทสังคมประเภทต่างๆ บางครั้ง อุดมการณ์ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นเครื่องมือเผยแพร่ศาสนาด้วย
กรณีกลุ่มชุมชนมุสลิม
แทรกข้อความจากคัมภีร์อัลกุรอ่านหรือการขานเรียกพระนามให้กึกก้อง เพื่อรับพลังดีๆ
ฯลฯ กระชับความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ต่อคัมภีร์อัลกุรอ่าน ของพระนามศักดิ์สิทธิ์
แทนการใช้หลักฟิสิกส์อธิบาย. การให้ความรู้เรื่องใดแบบใด ย่อมมีประเด็นของระดับความรู้(และสติปัญญา)ของผู้รับ
กับบริบทสังคมที่ตอบรับได้มากน้อยเพียงใด. การเล่าเรื่องเดียวกันซ้ำๆมาสิบกว่าปี ตลอดจนการเพิ่มเป้าหมายเรื่องธุรกิจ
(ดูได้จาก company profile) ได้เปลี่ยนทีท่าของเอโมโตะ เป็นการโปรโหมดตนเองมากขึ้นๆ (เป็นข้อสังเกตส่วนตัว).
เท่าที่รู้เห็นจากวงวิชาการของญี่ปุ่นเอง การจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา
เขียนเรียบเรียงเนื้อหาให้เป็นภาษาญี่ปุ่นที่สละสลวยต่อเนื่อง มีตรรกะ(อย่างน้อยก็พอสมควร)
กระตุ้นความน่าเชื่อถือ เป็นเรื่องธรรมดาในญี่ปุ่น. การจ้างชาวต่างชาติให้แปลให้เขียนแต่งเติมให้ดูดีเพื่อเผยแพร่
จึงเป็นเรื่องธรรมดาในญี่ปุ่น ไม่ถือว่าผิดกฎ แม้การจ้างคนเขียนวิทยานิพนธ์
จากข้อมูลที่ผู้จ้างให้ก็เป็นเรื่องธรรมดา. (นึกถึงท่านอาจารย์จินตนา
ที่เคยเล่าว่า เขียนคำปราศรัยให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์. ท่านอาจารย์บอกว่า
เสียงของจอมพลสฤษดิ์มีพลังทีเดียว). สถาบันเอโมโตะฮาโด ก็จ้างชาวต่างชาติแปล
ทำวีดีโอขึ้นใหม่. เมื่อได้เห็นคลิปแรกๆ
เทียบกับคลิปหลังๆที่สถาบันนำออกเผยแพร่ช่วงทศวรรษที่ 2010 เป็นต้นมา คำพูดเสริมชวนให้คล้อยตามดีขึ้น และมีตัวอย่างภาพมากขึ้น. อีกประการหนึ่ง เราต่างตระหนักกันดีว่า การเขียนเพื่อโปรโหมด
เหมือนการโฆษณา(ชวนเชื่อ) รวมถึงการทำ résumé เปลี่ยนแปลงปรับปรุงไปตามจุดประสงค์ (และระดับผู้อ่าน).
นักเขียน (นักแต่ง) มืออาชีพ จากประเด็นความจริงนิดเดียว
แต่งให้เป็นนวนิยายขายดีได้!
นี่เป็นวิถีสังคมสมัยใหม่ มิได้วิจารณ์ใครอย่างเฉพาะเจาะจง.
พบรายการ ทันโลกทันธรรม
ตอน เรื่องมหัศจรรย์แห่งน้ำ ที่พูดถึงงานของเอโมโต (รายการปี 2012) ผู้สนใจอาจย้อนกลับไปดูได้ตามลิงค์นี้
>>
หากสนใจจะเปรียบเทียบวิดีโอภาคภาษาไทยสำหรับคนไทย (เวอชั่น 2007) กับวิดีโอภาษาไทยสำหรับชาวมุสลิม ตามไปดูคลิปนี้ เนื้อหาตอนต้นเหมือนกัน
แต่ฟังไปๆกลายเป็นการกระชับจิตสำนึกทางศาสนา (ดีไปอีกแบบหนึ่ง) >>
https://www.youtube.com/watch?v=xxqau_Q30bM (เวอชั่น 2014)
ขอจบลงตรงนี้ว่า ความคิดของเอโมโตะและผลึกน้ำของเขายังคงเป็นที่กล่าวถึง.
เนื้อหาเรื่องน้ำในฐานะของสสาร เป็นปริศนาข้อใหญ่ที่วิทยาศาสตร์คลาซสิกไม่อาจอธิบายได้
จึงไม่มีความก้าวหน้าในงานวิจัยเรื่องน้ำ เพราะธรรมชาติและพฤติกรรมน้ำขัดกับหลักการวิทยาศาสตร์เกือบทุกประเด็น.
ทฤษฎีควอนตัมที่ Max
Planck นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน สถาปนาขึ้นในปี 1900 เป็นก้าวกระโดดสำคัญที่สุดในวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เจาะดูธรรมชาติและพฤติกรรมของสสารและพลังงานในระดับอะตอม
โฟตอนหรืออิเล็กตรอน. ทฤษฎีนี้ได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่นั้น และนักวิทยาศาสตร์เห็นพิสูจน์นับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า
จิตสำนึก(ความตั้งใจของคน) มีอิทธิพลเหนือสสาร มวลสาร (matter)
ที่อาจส่งผลกระทบต่อๆออกไปจากระดับเล็กที่สุดไปถึงระดับจักรวาลที่ไร้ขอบเขต.
ภาพผลึกน้ำของเอโมโตเป็นตัวอย่างหนึ่งในระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคน.
ทฤษฎีควอนตัมเข้าไปพัฒนาการศึกษาวิจัยในวิทยาศาสตร์เกือบทุกแขนงทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา รวมถึงการแพทย์ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับน้ำ. การแพทย์ควอนตัม ที่รักษาด้วยเสียง ความถี่ ด้วยข้อมูลจากน้ำ ได้เริ่มขึ้นแล้วและได้ผลดีมีพยานหลักฐานยืนยันและพิสูจน์ได้. แต่หลายทศวรรษผ่านไป ยังมีฝ่ายผู้ไม่ยอมรับรู้การเปลี่ยนแปลง หรือมองความเป็นไปได้ เพราะขัดผลประโยชน์ที่รู้เห็นกันเหลือคณา จึงมักบิดเบือนหรือปิดบังความสำเร็จหรือความก้าวหน้าของทฤษฎีควอนตัม ที่ตอบโจทย์ได้มากกว่าในเกือบทุกเรื่อง ที่นับวันพลิกความเข้าใจเรื่องโลก จักรวาล เรื่องชีวิต เรื่องจิตอย่างสิ้นเชิง. ผู้สนใจติดตามหาอ่านเอกสารวีดีทัศน์ที่มีจำนวนมากในอินเตอเน็ตต่อได้.
ทฤษฎีควอนตัมเข้าไปพัฒนาการศึกษาวิจัยในวิทยาศาสตร์เกือบทุกแขนงทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา รวมถึงการแพทย์ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับน้ำ. การแพทย์ควอนตัม ที่รักษาด้วยเสียง ความถี่ ด้วยข้อมูลจากน้ำ ได้เริ่มขึ้นแล้วและได้ผลดีมีพยานหลักฐานยืนยันและพิสูจน์ได้. แต่หลายทศวรรษผ่านไป ยังมีฝ่ายผู้ไม่ยอมรับรู้การเปลี่ยนแปลง หรือมองความเป็นไปได้ เพราะขัดผลประโยชน์ที่รู้เห็นกันเหลือคณา จึงมักบิดเบือนหรือปิดบังความสำเร็จหรือความก้าวหน้าของทฤษฎีควอนตัม ที่ตอบโจทย์ได้มากกว่าในเกือบทุกเรื่อง ที่นับวันพลิกความเข้าใจเรื่องโลก จักรวาล เรื่องชีวิต เรื่องจิตอย่างสิ้นเชิง. ผู้สนใจติดตามหาอ่านเอกสารวีดีทัศน์ที่มีจำนวนมากในอินเตอเน็ตต่อได้.
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะก้าวไปไกลแค่ไหน
เราจะตามทันหรือไม่ ไม่สำคัญ.
การมีจิตสำนึกที่ดี คิดดี พูดดีและทำดี คือการเสริมสร้างพลังบวกให้แก่ชีวิตของตัวเอง.
นี่สิดีแน่ แลนา...
โชติรส
รายงาน
๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒.
-----------------------------------------
หากตามไปดูการค้นคว้าเรื่องน้ำในยุโรป บุคคลแรกที่โลกจารึกไว้ต้นศตวรรษที่
20 คือ Viktor Schauberger (1885-1958 ชาวออสเตรีย) เขาทำงานให้กับกรมการป่าไม้ของออสเตรีย เป็นคนช่างสังเกตและเข้าใจธรรมชาติของน้ำเหนือคนร่วมยุคเดียวกัน. น้ำเคลื่อนไหวเหมือนกับไอน้ำที่ลอยขึ้นจากถ้วยกาแฟร้อน หรือเหมือนลมหายใจออกของทั้งพืชและสัตว์. เลือดในร่างกายคนก็เช่นกัน
ไม่ได้ไหลเป็นเส้นตรงแต่ไหลวน (ตามแนวเส้นในตัวเลข 8) ไปตามเส้นเลือดใหญ่น้อย วนไปทั่วร่าง โดยมีการเต้นของหัวใจเหมือนเครื่องยนต์ที่ผลักให้เลือดไหลไปไม่หยุดยั้ง. นั่นคือน้ำหมุนวนออกจากใจกลางและไหลวนเช่นนั้นไปเหนือท้องน้ำ หาได้ไหลไปเป็นเส้นตรงไม่ (กรณีเดียวที่น้ำไหลเป็นเส้นตรงในธรรมชาติ
คือเมื่อมันจะเข้าทำละลายสารอื่นหรือจะดูดซึมสารอื่น). โดยธรรมชาติ น้ำจะพยายามกลับเข้าสู่รูปร่างกลมของมันเสมอ(หยดน้ำไม่มีเหลี่ยมหรือมุม). ถ้าสังเกตสรรพสิ่งรอบข้าง เราก็เห็นว่าลักษณะเวียนและวน (vortex) เป็นวิธีวิวัฒนาพลังงานภายในของสรรพชีวิต แนวเส้นโค้งมนเวียนไปเป็นวงๆบนเปลือกหอย หรือโครงสร้างดีเอ็นเอของคนก็เช่นกัน
หมุนวนเกลียวกันแบบนี้.
ข้อสังเกตของ Viktor Schauberger ไปกระทบกับเทคโนโลยีในวงการอุตสาหกรรมและแน่นอนรวมทั้งที่เกี่ยวกับการผลิต การวางท่อและการนำส่งน้ำในโลก เพราะ ท่อน้ำทั้งหลายสร้างเป็นท่อตรงและกลวง
เท่ากับจำกัดให้น้ำอยู่ในสภาวะของตัวทำละลายหรือตัวดูดซึม แทนการรักษาสรรพคุณของน้ำในแง่ที่เป็นตัวสร้างพลังงาน.
การนำส่งน้ำหรือการจัดการธารน้ำไหล (แม่น้ำ
น้ำตก ทะเลสาบฯลฯ) ในธรรมชาติ จำเป็นต้องคำนึงถึงธรรมชาติของน้ำและวิธีการไหลของน้ำ. ความคิดนี้จึงไม่สบอารมณ์ฝ่ายอุตสาหกรรมนัก ยิ่งระบบการวางท่อน้ำนั้นแผ่กระจายไปบนพื้นที่นับเป็นสิบๆถึงร้อยๆกิโลเมตรด้วยแล้ว
สรรพคุณน้ำถูกทำลายลงไปมาก และแม้ว่าประชาชนจะได้ผลประโยชน์มากมายจากการมีน้ำใช้แพร่ไปทั้งประเทศเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจลบล้างความจริงที่ว่าคุณสมบัติและเอกลักษณ์ที่สำคัญของน้ำสูญเสียไปกับการส่งน้ำ. เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจการเคลื่อนไหวของน้ำอย่างแน่นอนแล้วว่า
น้ำในธารน้ำธรรมชาติทั้งหลายไหลวนจากภายในลงสู่พื้นน้ำแล้วเวียนผ่านขึ้นสู่ผิวน้ำเป็นเกลียวโซ่ต่อกันไป โดยที่เกลียวตรงกลางมวลน้ำ เป็นเกลียวถี่แน่นกว่าเกลียวรอบๆมวลน้ำ ซึ่งหมายถึงความเร็วในการหมุนตัวของโมเลกุลภายในน้ำไม่เหมือนกันด้วย.
นอกจากนี้ความเร็วในการหมุนตัวของน้ำยังขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่น้ำไหลผ่าน เช่นมวลน้ำที่อยู่ชิดฝั่งไหลช้ากว่ามวลน้ำที่อยู่ตรงกลาง
แต่ในที่สุดก็จะเวียนเข้าสู่ใจกลาง เกาะเกี่ยวเข้าไปในจังหวะการไหลของมวลน้ำทั้งมวล.
ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาดินและน้ำของ
Viktor Schauberger ไปกระทบและพลิกเทคนิคที่ปฏิบัติกันมา จึงขัดกับผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมที่วางรากฐานกันมาแล้ว. น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันใด ความคิดอันถูกต้องของเขาจึงเป็นเพียงข้อเสนอแนะที่คนพยายามลืม (บันทึกข้อสังเกตเขียนด้วยลายมือของเขาเอง ที่ส่งเป็นรายงานต่อรัฐบาล
ถูกเก็บปิดเงียบเป็นความลับห้าสิบปี). บุตรชายและหลานชายได้ศึกษาและนำเทคโนโลยีของเขาสู่วงการวิทยาศาสตร์
และเป็นที่ยอมรับและชื่นชมอย่างแท้จริงเกือบหกสิบปีต่อมา. โลกทุกวันนี้ยอมรับว่า เขาเป็นผู้กรุยทางสู่เทคโนโลยีพลังน้ำสมัยใหม่
เป็นผู้วางรากฐานของ
vortex technology (เน้นให้เห็นพลังน้ำที่ไหลวน เหมือนการหมุนของหลุมดำสู่ความมืดมิดสนิทที่คนยังอธิบายไม่ได้.
ลมทอร์นาโดก็เช่นกันที่พัดหมุนดูดสรรพสิ่งรอบข้างเข้าสู่ศูนย์กลาง) เพื่ออนุรักษ์คุณสมบัติของน้ำ
เพื่อให้ชาวโลกมีน้ำคุณภาพดีใช้ ควบคู่ไปกับการดูแลทรัพยากรป่าไม้ของประเทศ. ติดตามอ่านผลงานของเขาได้ตามลิงค์นี้ >>
หรือติดตามไปดูเอกสารวีดีทัศน์อีกแห่งหนึ่งในหัวข้อว่า Viktor
Schauberger : Comprehend and Copy Nature (Documentary of 2008) ที่นี่ >>
https://www.youtube.com/watch?v=yXPrLGUGZsw
เอกสารเรื่องน้ำอีกเรื่องหนึ่งที่ฟังง่าย
เข้าใจง่าย ที่ทำให้ตระหนักว่า ความรู้เกี่ยวกับน้ำที่มีมาจนถึงวันนี้นั้น
เทียบได้กับหยดน้ำเพียงหยดเดียว ในความไพศาลของมหาสมุทรที่คือความไม่รู้ของคน. เรื่อง
The
Mystery of Water – What we know is a drop >>
หรือติดตามชีวิตและอุดมการณ์ของนักปรัชญาชาวออสเตรีย
Rudolf Steiner (1861-1925
ดูวิกิพีเดีย) ผู้ได้ให้แง่คิดไว้เมื่อร้อยปีกว่ามาแล้วว่า
การศึกษาต้องไม่จำกัดอยู่ที่การพัฒนาสติปัญญา แต่ต้องรวมถึงการปลูกฝังความมุ่งมั่น
ความตั้งใจและการเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของคนด้วย.
ฯลฯ